Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 12 มอดไหม้เป็นเถ้าธุลี
ภายในตัวเมืองสีดำมีศิษย์ทิพย์กลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ พวกเขาบินกรูออกมาประหนึ่งตั๊กแตน เมื่อเงยหน้ามองเห็นลูกไฟขนาดมหึมาที่แผ่ความร้อนระอุอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา พวกเขาก็พากันตะลึงงันไปหมด! ถึงอย่างไรพลังของศิษย์ทิพย์ก็อ่อนแอกว่ามากทีเดียว ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นพวกเทพอากาศทั่วไป หลายคนก็ยังเป็นเพียงเทพแท้เท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นของ ‘ขั้นอลวน’ ที่กดดันเข้ามา…
ก้นบึ้งหัวใจของพวกเขาก็เกิดความสิ้นหวังขึ้นมาอย่างห้ามมิได้
“ยังน่ากลัวกว่าดวงอาทิตย์กลางฟากฟ้าเสียอีก”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว”
ศิษย์ทิพย์เหล่านี้ล้วนไม่มีความคิดที่จะต้านทานเลย
ฟิ้ว
ลูกไฟอันใหญ่โตนั้นพลันหดเล็กลงทันใด แล้วกลายเป็นแสงรุ้งอันสะดุดตากระแทกเข้ากับพื้นแห่งหนึ่งกลางตัวเมืองสีดำ
“ตำหนักทิพย์!”
“เป็นตำหนักทิพย์ รีบสกัดกั้นเขาเอาไว้!”
ศิษย์ทิพย์เหล่านี้พลันตาแดงขึ้นมา และเกิดความภักดีโดยสัญชาตญาณของวิญญาณ ทำให้พวกเขาเมินเฉยต่อความหวั่นเกรงแล้วพุ่งไปยังทิศของตำหนักทิพย์ใต้ดินทันที ในความตระหนักรู้ของพวกเขา…ต่อให้ตาย ก็ต้องปกป้องตำหนักทิพย์เอาไว้เป็นอย่างดี!
ฟิ้วววว…
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดในขอบเขตสิบล้านลี้ได้อย่างง่ายดายโดยอาศัยค่ายกลห้วงอากาศ แน่นอนว่าต้องพบตำหนักทิพย์ใต้ดินแห่งนี้ ลูกไฟอันใหญ่โตหดเล็กลงอย่างรวดเร็วก่อนจะร่วงลงไปทันที แล้วกระแทกกลไกและสิ่งกีดขวางต่างๆ กลางทางที่จะไปยังตำหนักทิพย์ใต้ดินอย่างต่อเนื่องจนราบคาบ! อานุภาพขั้นสุดของน้ำเต้าสีดำนั้น หากจะคุ้มกายก็อาศัยการเข้าไปภายในลูกไฟ หากจะโจมตีก็ใช้ทั้งลูกไฟตรงเข้ากระแทก!
แค่ ‘กระแทก’ ธรรมดาคราหนึ่ง อานุภาพกลับยิ่งใหญ่เสียจนน่าหวาดหวั่น
ลูกไฟที่เทียบได้กับดวงอาทิตย์หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว อานุภาพทั้งหมดรวมตัวกันเข้ากระแทก! หากพูดถึงความเหิมเกริมแล้ว ต้องเป็นระดับแกนนำขั้นอลวนอย่างแน่นอน
ภายในตำหนักทิพย์ใต้ดิน
“ไม่ดีแล้ว เขามาแล้ว” ร่างกายของสตรีหกกรสั่นสะท้านเล็กน้อยพลางมองไปยังตำหนักนอก ทูตทิพย์ชืออวิ๋นบุรุษอาภรณ์ดำและทูตทิพย์คนอื่นๆ ต่างก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งที่ทำลายอุปสรรคระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังตำหนักทิพย์ใต้ดินทั้งหมดอย่างราบคาบ โครมมม…ลูกไฟที่หดเล็กลงจนเหลือเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงร้อยเมตรปรากฏขึ้นหน้าประตูตำหนักทิพย์แล้วกลิ้งเข้ามา
แสงของลูกไฟนี้สะดุดตา ต่อให้เป็นทูตทิพย์กลุ่มนี้ก็ยังรู้สึกว่าโดดเด่นเจิดจ้า ภายในลูกไฟมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏให้เห็นรางๆ
“หมดกัน” สตรีหกกรไม่มีความคิดที่จะต้านทานเกิดขึ้นมาเลย
เหมือนกับขั้นรวมเป็นหนึ่ง ระดับยอดซึ่งผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่สาม เมื่อเผชิญหน้ากับขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปซึ่งผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่ง ก็ย่อมเป็นการล้างสังหารยกใหญ่อย่างแน่นอน!
ส่วนยอดฝีมือที่บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นอลวนซึ่งผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า เมื่อเผชิญหน้ากับขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดก็สามารถล้างสังหารได้ทันที ต่อให้เผชิญหน้ากับร่างจริงของยอดฝีมือขั้นอลวนที่แท้จริงก็มีหวังหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างง่ายดาย อานุภาพของลูกไฟน้ำเต้าสีดำล้วนๆ ก็เพียงพอจะเทียบเทียมชั้นที่หกได้แล้ว ในด้านกลยุทธ์กลับอ่อนแอกว่ามากทีเดียว โดยรวมแล้วนับได้ว่ามีพลังรบชั้นที่ห้า
อาศัยน้ำเต้าสีดำนี้!
ขอเพียงร่างจริงขั้นอลวนไม่ลงมือก็จะสามารถปกป้องตนเองได้อย่างไร้ข้อกังขา จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตขั้นสุดอย่าง ‘กู่ฉี’ ให้ความสำคัญและรักใคร่ศิษย์ของตนเป็นอย่างมาก
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” ทูตทิพย์ชืออวิ๋นบุรุษอาภรณ์ดำส่งสารมาขอความช่วยเหลือด้วยความร้อนใจ ท่านพี่ของเขาอยู่ในโลกทิพย์โบราณอันไกลโพ้น ระยะทางไกลเช่นนี้คิดจะส่งสารก็ยากมากทีเดียว คนของลัทธิทิพย์โบราณที่อยู่ในฐานที่มั่นแห่งนี้ โดยทั่วไปก็จะติดต่อกับโลกทิพย์โบราณผ่านทางรูปสลักจอมเทพ ส่วนผู้ที่สามารถติดต่อกับโลกทิพย์โบราณผ่านวัตถุส่งสารได้ตลอดเวลามีเพียงสามท่านเท่านั้น
นอกจากมนุษย์น้ำแข็งและสตรีหกกร ก็คือทูตทิพย์ชืออวิ๋นแล้ว วัตถุส่งสารของเขาเป็นสิ่งที่ท่านพี่ของเขามอบให้ด้วยตนเอง
“พี่ใหญ่ๆ ช่วยด้วย ช่วยด้วยเถิด!” ยามนี้ทูตทิพย์ชืออวิ๋นสิ้นหวังและหวาดหวั่นอย่างสิ้นเชิง เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เขามองไม่เห็นความหวังที่จะหนีเอาชีวิตรอดเลย
อากาศถูกกดดันอย่างสมบูรณ์ จนมิอาจเคลื่อนที่ได้ ทำได้เพียงบินไปอย่างช้าๆ เท่านั้น
บินหรือ
สามารถหนีเอาชีวิตรอดจากตรงหน้าผู้อาวุโสตงป๋อที่ขับเคลื่อนลูกไฟอันน่าหวาดหวั่นได้อย่างนั้นหรือ
สตรีหกกรมองทูตทิพย์ชืออวิ๋นแวบหนึ่ง มองท่าทางร้อนใจของเขาก็อดยิ้มเย็นออกมามิได้ นางถ่ายเสียงตะคอกว่า “โง่เง่า หนีไม่พ้นแล้ว ต่อให้พี่ชายเจ้าอยากจะช่วยเจ้า เขาก็อยู่ไกลลิบถึงโลกทิพย์โบราณ จึงมิอาจเร่งเดินทางมาได้เลย”
“ตู้ม!” ลูกไฟอันใหญ่โตกลิ้งมาด้วยความเร็วสูงยิ่ง แล้วปะทะเข้ากับร่างของทูตทิพย์คนแล้วคนเล่า
เปลวเพลิงร้อนระอุกลับเป็นเรื่องรองลงมา สิ่งที่สำคัญก็คือสายพลังที่ปะทะเข้ามาต่างหาก
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ลูกไฟราวกับเงารางที่ปะทะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานไปตลอดทาง ขอเพียงเป็นทูตทิพย์ที่ถูกปะทะ ร่างกายก็จะแหลกสลายเป็นผุยผงไปในทันที ทว่าวัตถุที่พวกเขาพกติดตัวมากลับถูกตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยค่ายกลห้วงอากาศ ควบคุมอากาศแล้วปกป้องเอาไว้เป็นอย่างดี
“ปัง” ทูตทิพย์ชืออวิ๋นบุรุษอาภรณ์ดำซึ่งจัดเป็นอันดับสามของทูตทิพย์ในตำหนักทิพย์ใต้ดินถูกกระแทก ผิวกายของเขามีแสงคุ้มกายอยู่ แต่การโจมตีครั้งแรกของลูกไฟอันใหญ่โตก็ทำให้แสงสีดำคุ้มกายเหนือผิวกายบุรุษอาภรณ์ดำแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว มันชะลออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดดันเข้าไป บุรุษอาภรณ์ดำเบิกตาโพลงมองดูลูกไฟอันน่าหวาดหวั่นกดดันเข้ามา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
จากนั้นลูกไฟก็กดดันผ่านไป บุรุษอาภรณ์ดำแหลกสลายเป็นผุยผงไปในทันที วัตถุของเขาก็ถูกอากาศควบคุมให้ตรงเข้าไปภายในลูกไฟทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในลูกไฟ มิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย วัตถุชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกเขาดึงเข้ามาและเก็บลงไป
สตรีหกกรผู้นั้นเผชิญหน้ากับการกดดันของลูกไฟ ทั้งยังพุ่งพรวดไปอย่างบ้าคลั่ง แต่ละมือคว้ามีดโค้งเอาไว้ข้างละเล่ม ทันใดนั้นก็แปรเป็นแสงโลหิตอันร้ายกาจ แต่ภายใต้การปะทะและกดดันของลูกไฟ ร่างกายก็ยังคงถูกกระแทกจนแหลกเป็นผุยผง…
ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้!
สมบัติล้ำค่าคุ้มกายของทูตทิพย์ชืออวิ๋นบุรุษอาภรณ์ดำเพียงแค่ทำให้ลูกไฟชะงักอยู่กลางอากาศเล็กน้อยเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง
……
เพียงไม่ถึงชั่วลมหายใจ
ภายในตำหนักทิพย์ใต้ดิน ทูตทิพย์ทั้งหมดล้วนตายจนสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในลูกไฟ พลางมองรูปสลักจอมเทพนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งร่างของรูปสลักจอมเทพดุจแกะสลักขึ้นมาจากหยกสีนิล มีเสื้อคลุมเอาไว้ นัยน์ตาเรียบนิ่งทั้งยังเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความเร้นลับอันไร้ที่สิ้นสุด เมื่อมองรูปสลักจอมเทพร่างนี้แล้วก็ทำให้คนอยากจะสวามิภักดิ์อย่างอดมิได้
“จอมเทพหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ครอบครองโลกทิพย์โบราณเพียงลำพัง ต้องเป็นผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดอย่างไร้ข้อโต้แย้ง”
“ตู้ม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขับเคลื่อนลูกไฟพุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ตู้มมม…ลูกไฟปะทะเข้ากับร่างของรูปสลักจอมเทพ รูปสลักจอมเทพเป็นหนึ่งเดียวกับทั้งตำหนักทิพย์ มันตรึงแน่นอย่างสิ้นเชิงจนยากที่จะสั่นคลอนได้ ทว่าก่อนหน้านี้บรรดาทูตทิพย์ก็ได้ถอนตำหนักทิพย์ส่วนหนึ่งไปก่อนแล้ว ยามนี้การโจมตีอย่างเต็มแรงคราหนึ่งของลูกไฟก็ยังคงทำให้รูปสลักจอมเทพถูกกระแทกเสียงดังปังแล้วลอยกระเด็นไป จากนั้นก็กระแทกเข้ากับผนังตำหนักไกลออกไปจนล้มลง ตรงขาทั้งสองของรูปสลักยังมีโลหะสีดำต่อเนื่องกัน ตรงอกของรูปสลักยังมีรอยยุบลงไปอีกด้วย
“ตามรายงาน หลังจากได้รับรูปสลักจอมเทพมาแล้วต้องทำลายทิ้งเสีย” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ “ทว่ามันสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งนัก การปะทะอย่างเต็มแรงของข้านี้ทำให้มันเกิดรอยยุบลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองหรือ”
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอากาศเพื่อเก็บรูปสลักจอมเทพลงไปภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ใหม่เอี่ยมอันหนึ่ง เพื่อเก็บมันไว้เดี่ยวๆ
“ส่งกลับไปยังวังทวีสูญเถิด ค่อยๆ ไปทำลายในวังก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบตำหนักทิพย์ใต้ดินอันผุพังนี้อย่างคร่าวๆ จากนั้นก็ขับเคลื่อนลูกไฟให้ลอยออกไปอย่างรวดเร็วเสียงดังสวบ มันทะยานขึ้นสู่ฟ้า ก่อนจะบินออกไปตามทางเชื่อมที่เข้ามา
ณ โลกภายนอก
เดิมทีศิษย์ทิพย์กลุ่มใหญ่ภายในตัวเมืองสีดำต่างกำลังพุ่งตัวมาที่นี่ แต่ชั่วขณะที่รูปสลักจอมเทพถูกกระแทกจนกระเด็นลอยไปนั้น พวกเขาแต่ละคนก็หยุดลง แล้วเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
“จอมเทพ”
“จอมเทพ”
ศิษย์ทิพย์ทั้งหมดต่างพากันยืนนิ่ง มือทั้งสองประสานกันพลางเอ่ยปากว่า ‘จอมเทพ’
จากนั้นร่างกายของพวกเขาก็ล้วนแตกกระจายแล้วสลายเป็นความว่างเปล่า เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะเก็บรูปสลักจอมเทพลงไปแล้วขับเคลื่อนลูกไฟลอยออกมานั้น ก็เห็นว่าศิษย์ทิพย์จำนวนมากภายในตัวเมืองสีดำต่างก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าศรัทธา ร่างกายกำลังแปรเปลี่ยนไปเป็นความว่างเปล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทั้งหมดนี้อย่างเงียบงัน
ศิษย์ทิพย์ทั้งหมดภายในตัวเมืองสีดำตายไปหมด แต่ละคนล้วนกลายเป็นความว่างเปล่า บัดนี้ภายในทั้งตัวเมืองสีดำเหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีชีวิตรอดเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ลูกไฟล่องลอยอยู่กลางตัวเมืองสีดำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตัวเมืองสีดำที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาวังเวง
“ลัทธิทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดา สมควรตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดพึมพำเสียงต่ำมิได้ พวกเขาเผยแพร่ลัทธิและถึงขั้นฝืนควบคุมผู้บำเพ็ญมากมายตามอำเภอใจ นับแต่นั้นก็ภักดีต่อจอมเทพและจอมมารดาอย่างสิ้นเชิง หากพวกเขามิได้ถูกควบคุม ไหนเลยจะตายเพราะรูปสลักจอมเทพถูกช่วงชิงไปได้เล่า
………………………….