Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 13 กอดกันกลางตัวเมือง
ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์
ภายในกรงขังหลายสิบคนล้วนมีผู้บำเพ็ญอยู่ พวกเขากว่าครึ่งเป็นผู้ปกครองเทพแท้ และยังมีส่วนน้อยที่เป็นเทพอากาศ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่ทูตทิพย์ชืออวิ๋นอาภรณ์ดำรู้สึกว่าพรสวรรค์สูงส่งพอขณะไปเผยแพร่ลัทธิอยู่ภายนอก ลำพังแค่อาศัยกรงขังก็มิอาจควบคุมได้ ดังนั้นจึงพาไปไว้ข้างกายก่อนชั่วคราว เพื่อเตรียมจะควบคุมด้วยตำหนักทิพย์ใต้ดินหลังกลับไปถึงฐานที่มั่น
จากนั้นเขาก็กลับไปยังฐานที่มั่นอย่างน่าอนาถ ไม่นานนักตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาลอบโจมตี! จนสุดท้ายทูตทิพย์ชืออวิ๋นอาภรณ์ดำได้ตายจากไป…
เพราะเมื่อตอนเริ่มต้นเขาคิดจะเคลื่อนย้ายรูปสลักจอมเทพเพียงอย่างเดียว ต่อมาจึงเผชิญกับความตายอย่างสิ้นหวัง เขาลืมไปว่าภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ยังจองจำผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งเอาไว้ ในใจเขารู้สึกว่าพวกนั้นก็แค่มดปลวกเท่านั้น เพียงแต่เพื่อให้ได้ผลงาน เขาจึงจงใจพาผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งไปด้วย
“เคราะห์ดีที่พวกเขายังมีชีวิตรอดอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมแปรสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แล้วส่งสติรับรู้ลงมายังสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แห่งนี้ จึงถอนหายใจออกมาได้เฮือกหนึ่ง
“ชิงรั่วก็ยังมีชีวิตอยู่”
เพราะเหลยเฉิน บุรุษร่างกำยำ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงตั้งใจเก็บรวบรวมข้อมูลของชิงรั่วภรรยาของเขาเอาไว้ จนรู้จักรูปร่างของอีกฝ่าย จึงจำชิงรั่วซึ่งอยู่ภายในกรงหนึ่งในนั้นได้ทันที
“แกร้กๆๆ…” พละกำลังของตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไป แต่ละกรงล้วนถูกเปิดออก บรรดาผู้บำเพ็ญด้านในซึ่งวิญญาณล้วนถูกผนึกเอาไว้ก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงแก้ผนึกไปทีละคนๆ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ไยจึงปล่อยพวกเราออกมาแล้วเล่า”
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้พากันมึนงงไปหมด
ลัทธิทิพย์โบราณระมัดระวังมาก ไม่มีทางปลดผนึกวิญญาณของพวกเขาเป็นแน่ เพราะหากปล่อยออกมาแล้ว พวกเขาก็สามารถปลิดชีพตนเองได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับลงมือปล่อยเสียเอง ทำให้ผู้บำเพ็ญเหล่านี้พอจะคาดเดาได้รางๆ ว่า บางทีพวกเขาอาจจะได้รับการช่วยเหลือแล้วก็เป็นได้
“ข้าจะพาพวกท่านไปยังเมืองวารีสวรรค์เร็วๆ นี้ ถึงตอนนั้นพวกท่านก็จะได้อิสรภาพกลับคืนมาแล้ว” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องไปทั่วสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์
“ถูกช่วยไว้แล้ว”
“เมืองวารีสวรรค์หรือ ต้องเป็นทูตพิเศษแห่งเมืองวารีสวรรค์อย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่า…”
แต่ละคนล้วนตื่นเต้นยินดี
เหล่าผู้บำเพ็ญซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในโลกทิพย์เหล่านี้ รู้ตั้งนานแล้วว่า ‘ลัทธิทิพย์โบราณ’ และ ‘ลัทธิจอมมารดา’ นั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด เมื่อถูกควบคุมแล้วก็จะต้องภักดีอย่างสิ้นเชิง ในฐานะผู้ปกครองเทพแท้หรือแม้กระทั่งเทพอากาศที่บำเพ็ญมาถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ และพวกเขาก็ยังมีพรสวรรค์สูงส่งมาก แต่ละคนจึงย่อมยืนหยัดต้านทานเอาไว้ ไม่ยอมเสียความเป็นตนเองไป
บัดนี้ ในที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือเสียที!
“ฟิ้ว” ท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้ ชิงรั่วซึ่งเป็นหนึ่งในนั้นกลับถูกเคลื่อนย้ายไปแล้วหายวับไปทันที
……
ชิงรั่วพลันรู้สึกว่ารอบด้านเปลี่ยนแปลงไป แล้วนางก็ปรากฏกายขึ้นภายในตัวเมืองปรักหักพังสีดำสนิท
ด้านข้างมีชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวอยู่คนหนึ่ง
“เขาคือผู้ใดกัน” ชิงรั่วสงสัยขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ข้างหนึ่งพลางโบกมือแล้วปล่อยเหลยเฉินออกไป
เหลยเฉินผู้มีร่างกายกำยำกังวลมากมาโดยตลอด เขากลัวว่าผู้อาวุโสตงป๋อแห่งวังทวีสูญจะไม่สามารถฝ่าที่นี่ไปได้! และก็กลัวว่าระหว่างทำลายที่นี่ ภรรยาของตนจะถูกลูกหลงจนสิ้นใจระหว่างการต่อสู้ โดยสรุปแล้ว ก่อนหน้านี้ในใจของเหลยเฉินเต็มไปด้วยความไม่สงบ แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงถูกเขาปล่อยออกมา เขาได้เห็นสตรีชุดสีครามตรงหน้า เขาก็สัมผัสได้ว่าวิญญาณสั่นสะท้านไปหมด
“ชิงรั่ว” เหลยเฉินพุ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น
“อาเฉิน” ชิงรั่วก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
พวกเขาทั้งสองครองรักกันมาตั้งแต่ยังอ่อนแอแล้ว ก้าวไปก้าวแล้วก้าวเล่า ก็บุกฝ่าเคียงข้างกัน ผ่านอันตรายด้วยกันมามากมาย และเคยประสบสิ่งมหัศจรรย์ร่วมกันมาก่อน พวกเขามองเห็นอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในชีวิต สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเสียอีก
ทั้งสองโผเข้าหากันอย่างอดมิได้ ก่อนจะกอดกันกลม
ด้านข้างไม่ไกลออกไปนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวมองดูฉากนี้ก็อดเผยรอยยิ้มออกมามิได้
แม้บรรดาศิษย์ทิพย์ภายในตัวเมืองแห่งนี้จะแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไป แต่อย่างน้อยตนก็ได้ช่วยเหลือคนไปบางส่วน รวมทั้งสามีภรรยาคู่นี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงอดคิดถึงภรรยาที่อยู่ไกลออกไปในจักรวาลบ้านเกิดมิได้
“จิ้งชิว เจ้ากับอวี้เอ๋อร์และชิงเหยายังดีอยู่หรือไม่ วางใจเถิด ข้าจะนำวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญที่ดีที่สุดกลับไปด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ บัดนี้ได้กลายเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว เขามั่นใจในอนาคตภายหน้าเป็นอันมาก
บนเส้นทางการบำเพ็ญสายนี้
เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน! ผู้ใดก็มิอาจสกัดกั้นเขาได้!
พลังแข็งแกร่งจึงจะมีโอกาสได้รับสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งขึ้นกลับไปพบภรรยาได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือมีคำสั่งส่งสานปรากฏขึ้นมา เขาติดต่อไปทันที “จอมมาร ข้าคือตงป๋อเสวี่ยอิง”
“มีเรื่องอันใดหรือ” จอมมารรับคำ
“ข้าทำลายฐานที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ “นี่คือที่อยู่ขอรับ” เขาส่งพิกัดแผนที่ไป
“ฐานที่มั่นสำคัญของโลกทิพย์โบราณหรือ เป็นฐานที่มั่นที่มีรูปสลักจอมเทพอยู่ หรือว่าเป็นที่พำนักทั่วไป” จอมมารถาม ทั้งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารามีฐานที่มั่นสำคัญทั้งหมดเก้าสิบแห่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงกำจัดไปแห่งหนึ่งแล้วอย่างนั้นหรือ และเท่าที่เขารู้ ค่ายกลของฐานที่มั่นร้ายกาจเป็นอันมาก บัดนี้พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำลายค่ายกลของฐานที่มั่นได้หรือไร คงจะเป็นที่พำนักเล็กๆ สักแห่งมากกว่ากระมัง
“ข้าได้รูปสลักจอมเทพมาไว้ในมือแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ดี ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
จอมมารไม่คลางแคลงใจอีกต่อไป รูปสลักจอมเทพมิอาจปลอมแปลงขึ้นมาได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บคำสั่งส่งสารลงไป
มองดูตัวเมืองสีดำอันเงียบสงบแห่งนี้ ณ สุดขอบฟ้าทางบูรพาทิศของตัวเมืองขาวดุจท้องปลา ท้องฟ้าสว่างรำไรขึ้นมา
“โครมมมม…”
ปณิธานอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งร่อนลงมากลางฟากฟ้าไกลออกไป แล้วเริ่มควบคุมพลังฟ้าดินรอบด้านอย่างบ้าคลัง พลังฟ้าดินโหมซัดและรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งและก่อให้เกิดน้ำวนอันยิ่งใหญ่ ความเคลื่อนไหวนี้ยิ่งใหญ่เสียจนทำให้เหลยเฉินและชิงรั่วสองสามีภรรยาที่กำลังจมอยู่ท่ามดลางความปีติยินดีนั้นอดเงยหน้ามองออกไปไกลมิได้ น้ำวนไกลออกไปนั้นใหญ่โตเกินไปแล้ว อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” เหลยเฉินรีบดึงตัวชิงรั่วผู้เป็นภรรยามาด้วยท่าทางละอายอยู่บ้าง “ขอบคุณผู้อาวุโสตงป๋อที่ช่วยเหลือข้า ทั้งยังช่วยภรรยาข้าด้วย บุญคุณที่ช่วยชีวิต พวกข้าสองสามีภรรยาจะจดจำไปชั่วชีวิตเลยขอรับ”
“ขอบคุณผู้อาวุโสตงป๋อที่ช่วยชีวิตเจ้าค่ะ” ชิงรั่วก็เอ่ยขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มมองสามีภรรยาคู่นี้พลางกล่าวว่า “ข้าก็แค่ออกแรงไปตามเรื่องเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ก็ยังต้องขอบคุณเหลยเฉินที่ช่วยข้าหาที่แห่งนี้จนพบด้วยซ้ำ”
ลัทธิทิพย์โบราณรอบคอบและระมัดระวังเพียงใด
จะหาฐานที่มั่นแห่งหนึ่งให้พบนั้นยากนัก เคราะห์ดีที่วิญญาณของเหลยเฉินและภรรยาเขาสามารถสัมผัสถึงกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ การสัมผัสผ่านวิญญาณนั้นลึกลับเกินไป ทูตทิพย์ชืออวิ๋นผู้นั้นก็คิดไม่ถึงเช่นกัน! ดังนั้นจึงถูกตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตามรอยไปได้
“นั่นมัน…” เหลยเฉินและชิงรั่วมองดูน้ำวนที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตกตะลึง แต่กลับไม่กล้าถามให้มากความ
ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามอง
น้ำวนไกลออกไปรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็กลายเป็นบุรุษท่าทางเยียบเย็นสวมอาภรณ์สีดำหรูหราคนหนึ่ง เขาไว้ผมยาวสีแดงโลหิต นัยน์ตากวาดมองไป เหลยเฉินและชิงรั่วรู้สึกว่าวิญญาณสั่นสะท้านเสียจนไม่หล้าเงยหน้ามอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวกลับถลาขึ้นสู่ฟ้าไปต้อนรับ
“จอมมาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
เนื่องจากอยู่บนดินแดนของวังทวีสูญ ดังนั้นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจึงสามารถส่งร่างแปรลงไปได้ ทว่าร่างแปรต้องควบคุมพลังฟ้าดินจึงจะรวมตัวกันขึ้นมาได้ ดังนั้นความเคลื่อนไหวจึงใหญ่นัก! ขั้นตอนในการส่งร่างลงไปจึงใช้เวลามากหน่อย และนี่ก็คือสาเหตุที่เมืองอลหม่านแต่ละแห่งล้วนมีร่างแปรของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนประจำการอยู่อย่างยาวนาน
ประจำการอยู่ที่นั่นจึงจะสามารถต่อสู้ได้ทันท่วงที
ส่วนการส่งร่างแปรไปยังที่อันไกลโพ้น ยังต้องควบคุมพลังฟ้าดินให้รวมตัวกันเป็นร่างแปรก็จะต้องถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าไป สำหรับผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงแล้ว เวลาน้อยนิดเท่านี้ก็สามารถเข่นฆ่าจนเกลี้ยงและหนีไปได้ไกลลิบแล้ว
ดังนั้นในฐานะผู้อาวุโสตำหนักใน ป้ายฐานะประจำตัวตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเป็นป้ายคำสั่งรักษาชีวิตด้วย ในยามคับขัน ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน แล้วค่อยเรียกคนมาช่วย!
อย่างบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ก็ล้วนสามารถส่งร่างแปรลงไปได้ ความเร็วในการส่งร่างแปรของพวกเขาทั้งสองไปนั้น เมื่อเทียบกันแล้วก็เร็วกว่ามากทีเดียว
และนี่ก็คือสาเหตุ…ว่าทำไมภายในวังดินแดนของทวีสูญ ลัทธิทิพย์โบราณจึงทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ในความมืด ไม่กล้าต่อสู้ในที่แจ้ง
“ร้ายกาจพอตัวทีเดียว” จอมมารมองตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “ทำลายฐานที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณลงได้หรือ”
“โชคดีน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาโบกมือคราหนึ่ง แล้วหยิบรูปสลักจอมเทพออกมา
“นี่คือรูปสลักจอมเทพที่ทำลายได้ค่อนข้างยากขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
จอมมารมองดูรอยยุบบนหน้าอกของรูปสลักจอมเทพแล้วก็อดตกใจขึ้นมาเล็กน้อยมิได้ เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง เห็นทีหนุ่มน้อยจากบ้านเกิดของตนคนนี้จะยังมีกลเม็ดซ่อนอยู่อีก! มิเช่นนั้นแล้วจะทำลายฐานที่มั่นแห่งหนึ่งลงไปได้อย่างไรกัน ทั้งยังสามารถทำให้รูปสลักจอมเทพได้รับความเสียหายได้อีกด้วย
“รูปสลักจอมเทพ หากขายให้โลกทิพย์โบราณก็คงได้กำไรงามทีเดียว น่าเสียดายที่ขายไม่ได้” จอมมารเอ่ย “ต้องนำออกไปทำลาย ระดับความแข็งแกร่งของมันเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศขั้นกลาง จะทำลายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ร่างแปรร่างนี้ของข้ามิอาจจัดการได้”
จากนั้นจอมมารก็มองเห็นเหลยเฉินและชิงรั่ว คู่สามีภรรยาซึ่งอยู่กลางตัวเมืองสีดำด้านล่าง
“ให้พวกเขามานี่เถิด ข้าจะทำลายตัวเมืองแห่งนี้ทิ้งเสีย” จอมมารกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
จากนั้นก็ทะยานตรงไปถามว่า “เหลยเฉิน พวกเจ้าสองคนจะกลับไปยังรัฐปีกทองหรือเมืองวารีสวรรค์กันเล่า” เพราะครั้งนี้มีเหลยเฉินอยู่ ตนจึงสามารถสร้างคุณูปการใหญ่หลวงได้ ดังนั้นเขาจึงยินดีเดินทางอ้อมเพื่อเหลยเฉิน!
เหลยเฉินและชิงรั่วสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นเหลยเฉินก็พูดขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อ พวกเราไปยังเมืองวารีสวรรค์กันเถิด”
พวกเขาวางแผนจะไปตั้งนานแล้ว
อีกทั้งครั้งนี้ก็ยังเผชิญกับหายนะด้วย สถานที่เล็กๆ อย่างรัฐปีกทองอันตรายเกินไปแล้ว หากมีโอกาสได้ไปยังเมืองวารีสวรรค์ ก็แน่นอนว่าต้องไป! แม้แต่ค่าใช้จ่ายในการส่งถ่ายค่ายกลก็ยังได้รับการยกเว้นด้วย
“ดี พวกท่านรออยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บพวกเขาเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ แล้วบินกลับไปอยู่ข้างกายจอมมาร
จอมมารกลับมองลงไปเบื้องล่าง มือขวายื่นออกไปกลบด้านล่างเอาไว้
“โครมมม…”
ลมหนาวอันไร้ที่สิ้นสุดถือกำเนิดขึ้นจากกลางอากาศ แล้วทำให้ทั้งตัวเมืองสีดำแข็งค้างไปอย่างรวดเร็ว แล้วตัวเมืองสีดำก็ส่งเสียงดังแกร๊กๆๆ ไปตามการควบคุมของจอมมาร ในที่สุดหลายบริเวณก็เริ่มถล่มลงอย่างต่อเนื่อง เพียงชั่วครู่เดียว ตัวเมืองสีดำแห่งนี้ก็แหลกสลายเป็นผุยผงจนสิ้นเช่นเดียวกับโถงตำหนักทิพย์ใต้ดินอันผุพังและผืนดินรอบด้าน และกลายเป็นความว่างเปล่าไป
หลุมใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมา
“ไป” จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงแหวกทางเชื่อมกาลมิติตรงเข้าไปในทางเชื่อมกาลมิติแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
………………………..