Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 23 บริเวณ
บุรุษร่างอ้วนเตี้ย บรรพชนกาฬสยบ’ สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากหอทะเลสัตตดารา แล้วเดินทอดน่องบนทางสัญจรอย่างผ่อนคลาย เขามิได้รีบร้อนถึงเพียงนั้นแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็มีเวลาเตรียมตัวเล็กน้อย เขา บรรพชนกาฬสยบจึงจะสามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้
“เอ๊ะ”
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ”
จากนั้นบรรพชนกาฬสยบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “มิน่าเล่า รออยู่ในหอทะเลสัตตดาราตั้งแสนปี ที่แท้แล้วก็ได้รับรู้อะไรบางอย่างและบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้นับได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งจริงๆ เสียด้วย ความเร็วในการบำเพ็ญก็เร็วมากทีเดียว หากให้เวลามากหน่อย หลังจากเขาบรรลุถึงระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งและทำให้ระดับขั้นมั่นคงแล้ว และใช้ศาสตร์ลับยกระดับพลัง เกรงว่าคงจะสามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้ หากเป็นเช่นนั้นขึ้นมาก็ยุ่งยากแล้ว”
“ตอนนี้หรือ” นัยน์ตาของบรรพชนกาฬสยบแฝงแววหนาวเหน็บ
เพิ่งจะบรรลุ ระดับขั้นยังมิทันได้เปลี่ยนแปรเป็นพลัง บรรพชนกาฬสยบก็ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
แค่แสนปีเท่านั้น…เวลาสั้นเกินไปแล้ว! หอทะเลสัตตดารามิได้มีการเร่งเวลาอย่าง ‘ตำหนักกาลเวลา’ ต่อให้กินของล้ำค่าที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญบางชนิดลงไป โดยทั่วไปในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแสนปีก็ไม่มีทางก้าวหน้าเช่นนี้ได้! แต่บรรพชนกาฬสยบคิดไม่ถึงว่าพรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิงทางด้านวิถีโลกเทียมจะสูงส่งอย่างยิ่ง จึงสามารถรับรู้ศาสตร์ลับ ‘โลกอนธการ’ ได้รวดเร็วยิ่งนัก ทั้งยังกินผลปัดจิตวิญญาณลงไปอีก จนฝึกโลกอนธการกระบวนท่าที่หนึ่งสำเร็จแล้ว
“ในฐานะผู้อาวุโสตำหนักใน เขาจึงมีสมบัติล้ำค่าคุ้มกาย! สมบัติล้ำค่าคุ้มกายของผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญล้วนแต่เพียงพอจะสกัดกั้นขั้นอลวนได้ แต่จำเป็นต้องเร็ว! การลอบโจมตีของข้า จะต้องรวดเร็วเสียจนเขาตั้งตัวไม่ทัน มิทันได้กระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายขึ้นมา” บรรพชนกาฬสยบเข้าใจความยากของการลอบวังหารครั้งนี้เป็นอย่างดี
ทันทีที่กระตุ้นขึ้นมา
อย่าว่าแต่แค่ร่างแปรเลย ต่อให้เป็นร่างจริงมาเอง จะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เกรงว่าบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งวังทวีสูญคงจะต้องมาเยือนแน่!
“มั่นใจห้าส่วน” บรรพชนกาฬสยบมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา
เขามั่นใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง
แต่จะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงให้ตาย ทำให้อีกฝ่ายมิอาจตอบโต้ได้ และมิทันได้กระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายเขาก็กล้าพูดแค่ว่ามั่นใจห้าส่วนเท่านั้น!
……
บนทางสัญจร
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง ทั้งยังเข้าถึงศาสตร์ลับใหม่จนอารมณ์ดีอย่างยิ่งกำลังเดินอยู่บนท้องถนนพลางมองดูฝูงชนอันคึกคัก ในบรรดาฝูงชนเหล่านั้น มีเทพและเทพโลกาอยู่มากมาย และยังมีเด็กน้อยระดับขั้นเหนือธรรมดาอยู่ด้วย แต่ฝูงชนบนท้องถนนกลับหลบหลีกตงป๋อเสวี่ยอิงตามธรรมชาติ เพราะถึงอย่างไรกลิ่นอายของ ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ ก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพียงพอจะทำให้พวกเขาคร้ามเกรงได้แล้ว!
ระดับขั้นรวมเป็นหนึ่ง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น สามารถเข้าร่วมกองผู้ดำเนินงานแห่งเมืองวารีสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย! ในลัทธิทิพย์โบราณก็สามารถเป็น ‘ทูตทิพย์’ ได้
“ตู้ม”
เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยังเดินเล่นด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปรไป
“ใครน่ะ!!!”
เสียงตวาดพลันดังลั่นขึ้น
มิติในรัศมีพันลี้หยุดนิ่งไปสิ้น รวมถึงผู้คนบนถนนและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในจวนโดยรอบทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเหนือธรรมดาที่อ่อนแอ หรือแข็งแกร่งอย่างขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ตาม! ขณะนี้ทุกคนล้วนตกอยู่ในความเงียบงัน แต่ละคนล้วนมิอาจขยับได้
รัศมีพันลี้เต็มไปด้วยความมืดมิด
โลกอันมืดมิดปกคลุมไปนับพันลี้ กดดันทุกสิ่งจนหมด ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลายเป็นจักรพรรดิในรัศมีพันลี้! ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่าง มองไปทางโลกดำมืดด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยแววอาฆาต ณ จุดหนึ่งในจำนวนนั้นมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น เงาร่างสายนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกอนธการที่สามารถขยับเขยื้อนได้ นอกจากตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเอง
เขามีรูปร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาธรรมดาสามัญ เพียงแต่นัยน์ตาสีทองเข้มมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึง
“แข็งแกร่งนัก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ว่า ตอนนี้ หลังจากพละกำลังระลอกหนึ่งของอีกฝ่ายปะทุออกมาแล้ว ได้ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อบริเวณของกฎเกณฑ์ของตน
ใช่แล้ว บริเวณของกฎเกณฑ์
สำเร็จเป็นผู้ปกครองเทพแท้ มีกฎเกณฑ์นิรันดร์กาลก็เพียงพอจะสร้างบริเวณได้แล้ว บริเวณนั้นถูกปลดปล่อยออกมาภายนอกตลอดเวลาอยู่แล้ว ภายในบริเวณนี้ ผู้ปกครอง ‘พูดคำใดกฎก็เป็นไปตามนั้น’ เมื่อศัตรูเข้าไปในบริเวณแล้วก็แทบจะถูกค้นพบ นอกเสียจากระดับขั้นสูงเสียยิ่งกว่าสูง
เทพอากาศ ขั้นกำเนิด ขั้นรวมเป็นหนึ่งและขั้นอลวน เมื่อยกระดับขึ้น บริเวณของกฎเกณฑ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ในจำนวนนั้น
ระดับขั้นใหญ่เดียวกัน ยิ่งใช้กฎเกณฑ์ได้พิสดารเท่าใด ก็จะสามารถปรับปรุงบริเวณกฎเกณฑ์ให้สมบูรณ์ได้มากขึ้นเท่านั้น ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยวิถีโลกเทียมสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่ง และยังเข้าถึง ‘ฟองอากาศอนธการของโลกอนธการกระบวนท่าที่หนึ่ง’ ดังนั้นจึงสร้างกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของบริเวณกฎเกณฑ์ของตนตามวิธีของ ‘ฟองอากาศอนธการ’ ทำให้บริเวณของกฎเกณฑ์ของเขาพิสดารและแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง!
สามารถผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง สำหรับผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนแล้ว ความพิสดารของ ‘ฟองอากาศอนธการ’ ก็ยังเป็นเอกลักษณ์อยู่บ้าง!
ขั้นอลวนโบราณอย่างบรรพชนกาฬสยบผู้นี้ อาจจะสามารถแทรกซึมเข้าไปในบริเวณของกฎเกณฑ์ของขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจพอจะสามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น จะแทรกซึมเข้าไปในบริเวณของกฎเกณฑ์ของเขาก็ได้แต่ฝันไปแล้ว
……
รัศมีพันลี้เต็มไปด้วยความมืดมิดและเงียบงัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวประจันหน้ากับบรรพชนกาฬสยบอยู่ห่างๆ
“ตู้ม” ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงกระตุ้นแสงสีทองชั้นแล้วชั้นเล่าขึ้นมา ซึ่งก็คือป้ายคำสั่งรักษาชีวิตของผู้อาวุโสตำหนักในนั่นเองที่ถูกกระตุ้นขึ้นมา
ขณะเดียวกับที่กระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายขึ้นมานั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ฟิ้ววว…โลกดำมืดของภาพลวงร่อนลงมายังโลกจริงจากความว่างเปล่า แล้วดูดกลืนพลังฟ้าดินทันทีอย่างเป็นธรรมชาติ พลังฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ทำให้พลังงานทั่วทั้งเมืองวารีสวรรค์สั่นสะท้านไปหมด โลกดำมืดนี้หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มันหลีกเลี่ยงผู้บำเพ็ญทั้งหมด แล้วโอบล้อมไปทางบรรพชนกาฬสยบซึ่งอยู่ตรงกลางอย่างรวดเร็ว
บรรพชนกาฬสยบมองดูฉากนี้ นัยน์ตาสีทองเข้มมองตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มสายหนึ่ง
“เพิ่งจะสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่ง ความละเมียดละไมและพิสดารของบริเวณกฎเกณฑ์ของเจ้าก็เกือบจะเป็นจักรวาลขนาดเล็กจิ๋วแล้ว ดูจากกระบวนท่านี้ของเจ้าเกรงว่าคงเพียงพอที่จะฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้วกระมัง ข้าพ่ายแพ้แล้วทั้งปากทั้งใจ” บรรพชนกาฬสยบถ่ายเสียงพูดทันที จากนั้นโลกดำมืดก็หดเล็กลงจนเหมือนกับฟองอากาศ แล้วโอบล้อมบรรพชนกาฬสยบเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
โพละ!
ฟองอากาศอนธการระเบิดออกในพริบตา ภายในแตกสลายกลายเป็นผุยผงไปจนสิ้น
บรรพชนกาฬสยบอยู่ในฟองอากาศอนธการด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม พลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความสนอกสนใจนัก อยากนั้นก็มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน
ทุกสิ่งคืนสู่ความสงบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยืนอยู่บนถนน ผิวกายมีแสงสีทองเจิดจ้า โลกดำมืดรอบด้านยังคงแผ่กำจายออกไป เขาจงใจสำแดงโลกดำมืดให้แผ่ขยายออกไปเป็นรัศมีถึงสิบล้านลี้! ในโลกทิพย์ บริเวณกฎเกณฑ์ของผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งสามารถคงไว้ได้ที่รัศมีพันลี้เท่านั้น แต่เมื่อสำแดงกระบวนท่า ‘ฟองอากาศอนธการ’ นี้ออกไปจริงๆ แล้ว รัศมีที่ใหญ่ที่สุดสามารถคงไว้ได้ถึงสิบล้านลี้เลยทีเดียว
“สลายไปแล้วจริงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “เหมือนจะสลายไปเองหรือนี่”
อานุภาพการทำลายของฟองอากาศอนธการนั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่ขณะทำลายกลับสัมผัสมิได้ถึงแรงต้านเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมิได้ต้านทานแต่อย่างใด แล้วสลายหายไปด้วยตนเอง
“ภายในสิบล้านลี้ไม่มีผู้ต้องสงสัย” ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบดูโดยละเอียด
“ตู้ม!”
ค่ายกลพิทักษ์เมืองของทั้งเมืองวารีสวรรค์พลันถูกกระตุ้นขึ้นมา แสงหลากสีโดดเด่นสะดุดตา ทำให้ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองวารีสวรรค์พากันแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยความตกใจ พละกำลังของค่ายกลพิทักษ์เมืองที่โหมซัดทำเอาฟ้าดินสะท้านสะเทือนไปหมด
ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในรัศมีสิบล้านลี้ของโลกดำมืดต่างก็ตกใจและงุนงงไปหมด พวกเขาสามารถเห็นดวงอาทิตย์กลางฟากฟ้าได้ผ่านโลกดำมืด และมิได้รู้สึกว่าทำร้ายพวกเขาแต่อย่างใด
สวบ
เงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนที่ในพริบตาลงมาปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า ซึ่งก็คือบุรุษสวมอาภรณ์ยาวสีน้ำเงินเข้มผู้หนึ่ง
“ผู้อาวุโสตงป๋อ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” บุรุษสวมอาภรณ์ยาวสีน้ำเงินเข้มถาม “เมื่อครู่มีระลอกคลื่นอันแข็งแกร่งระลอกหนึ่ง”
เป็นการทำลายของฟองอากาศอนธการนั่นเอง แม้การทำลายจะเป็นเพียงแค่ภายในฟองอากาศเท่านั้น แต่ระดับความแข็งแกร่งของระลอกคลื่นนี้ก็ยังคงแข็งแกร่งเกินไปอยู่ดี ทำให้วิญญาณค่ายกลของเมืองวารีสวรรค์ผวาเสียจนต้องแจ้งร่างแปรของประมุขตำหนักวารีสวรรค์ซึ่งอยู่ในห้วงนิทราให้ทราบทันที
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บโลกดำมืดลงไปแล้วบินไปถึงข้างร่างแปรของประมุขตำหนักวารีสวรรค์ที่อยู่กลางฟากฟ้า เพียงแต่แสงทองคุ้มกายเขายังคงอยู่ เขาไม่กล้าประมาทเลย
“ข้าเพิ่งถูกลอบโจมตี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจริงจัง “น่าจะเป็นร่างแปรของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนสักคนหนึ่ง”
………………………..