Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 24 ร่องรอย
บัดนี้ค่ายกลพิทักษ์เมืองของเมืองวารีสวรรค์ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดภายในเมืองก็อย่าได้คิดที่จะหนีออกไปภายนอก ซึ่งนี่ร้ายกาจกว่าค่ายกลรักษาเมืองของรัฐเล็กๆ เช่นรัฐปีกทองตั้งไม่รู้มากมายเท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋ตั้งใจหลอมแปรขึ้นมา ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนก็มิอาจเล็ดรอดไปได้
กลางฟากฟ้า
ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ในอาภรณ์ยาวสีน้ำเงินเข้มทั้งร่างยืนกลางอากาศเคียงข้างกับตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว
“ลอบสังหารหรือ” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์สีหน้าเปลี่ยนแปรไป “ท่านถูกลอบสังหารหรือ”
“ถูกต้อง ร้ายกาจนัก เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้ข้าบรรลุได้บ้าง จนถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้คงจะอันตรายจริงๆ แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง วิธีการแทรกซึมของอีกฝ่ายร้ายกาจอย่างยิ่งโดยแท้ เคราะห์ดีที่บัดนี้บริเวณของกฎเกณฑ์ซึ่งตนวางโครงสร้างขึ้นมาใหม่ตาม ‘ฟองอากาศอนธการ’ แข็งแกร่งขึ้นมาก ขึงสามารถพบศัตรูได้
หากเป็นก่อนที่จะบรรลุ อาศัยบริเวณของกฎเกณฑ์ที่อาศัยแผนภาพคลื่นจานสร้างขึ้นมา เป็นเพียงแค่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สาม ก็ไม่มั่นใจจริงๆ ว่าจะสามารถพบศัตรูได้
หากมิอาจพบได้ล่ะก็
เกรงว่าการโจมตีของศัตรูคงต้องมาถึงร่างตนเสียก่อนจึงจะรู้ตัว! ถ้าโชคดีก็อาจจะกระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกาขึ้นมาระหว่างเส้นกั้นความเป็นความตายได้ หากโชคร้ายหน่อยแล้ว ตนก็อาจจะถูกโจมตีจนต้องสังเวยชีวิตก็เป็นได้!
“ผู้ใดกัน ผู้ใดที่กล้าลอบสังหารผู้อาวุโสตำหนักในของวังทวีสูญเรา” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์เหลือบมองลงไปยังเมืองวารีสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง “ยังคงอยู่ภายในเมืองอลหม่านของพวกเรา”
สายตาของประมุขตำหนักวารีสวรรค์หยุดอยู่ที่ตำแหน่งของระลอกคลื่นก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือสถานที่ที่ฟองอากาศอนธการซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมาก่อนหน้านี้แตกทำลายไปนั่นเอง
ฟิ้ววว…
ด้วยสภาพรอบด้าน จะต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อตรวจดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ประมุขตำหนักวารีสวรรค์มองภาพการย้อนเวลาบนถนน เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง รอบด้านเต็มไปด้วยความมืดมิด จากนั้นการย้อนเวลากลับสั่นสะเทือนแล้วพังทลายลงในที่สุด
“มิอาจตรวจสอบได้หรือนี่” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ขบกรามแน่น “ช่างระมัดระวังเสียจริง แม้แต่ข้ายังมิอาจตรวจดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้เลย”
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ท่านพอจะจำได้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ถามทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง
“ไม่รู้จักน่ะสิ ในบรรดาผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนไปจนถึงเทพจักรวาลที่ข้ารู้จัก ไม่มีเขาอยู่ในนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “คงจะปลอมแปลงรูปร่างหน้าตา”
“เทพจักรวาลหรือ ฮ่าฮ่า สถานะระดับนั้นคงไม่ถึงกับมาลอบโจมตีสังหารท่านหรอก เสียหน้าเกินไปแล้ว” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ส่ายศีรษะ “ไม่รู้ว่าขั้นอลวนคนไหนที่บังอาจถึงเพียงนี้”
เรื่องนี้เพียงพอจะทำให้วังทวีสูญโกรธเกรี้ยวได้แล้ว เมื่อมาลอบสังหาร การปลอมแปลงรูปโฉมไปจนถึงกลิ่นอายก็เป็นเรื่องปกตินัก
“ท่านรีบกลับไปวังทวีสูญโดยเร็วเถิด ข้าได้รายงานเรื่องนี้ขึ้นไปแล้ว ภายในวังต้องมีการตรวจสอบโดยละเอียดแน่ เรื่องนี้วังทวีสูญของเราไม่มีทางรามือง่ายๆ แน่นอน!” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์กล่าว “การจะสืบหาร่องรอย นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วยังมีวิธีอื่นอีกตั้งมากมาย เจ้าคนที่ลงมือนั่นคิดหนีรึ ไม่ง่ายถึงเพียงนั้นหรอก!”
“อื้ม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เมื่อเพิ่งจะบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่ง เดิมทีเขาก็คิดจะกลับไปยังวังทวีสูญเช่นกัน อีกทั้งการลอยสังหารในครั้งนี้ก็ทำให้เขาเกิดความระแวดระวังเพิ่มขึ้น ที่แท้แล้วผู้ใดคิดจะสังหารตนกันแน่ ในโลกทิพย์ทั้งห้า ตนน่าจะไม่มีศัตรูคู่แค้นที่แข็งแกร่งมากเท่าใดนัก แม้ท่านอาจารย์ ‘กู่ฉี’ จะสร้างภัยใหญ่หลวงขึ้นมา ทว่าแต่ไหนแต่ไรตนก็ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
******
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับจากเมืองวารีสวรรค์ไปยังวังทวีสูญทันที
ณ ตำหนักทวีสูญ
บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่นั่งอยู่ ณ จุดสูงสุด
ทั้งสองข้างของพวกเขายังมีประมุขตำหนักหกท่านนั่งอยู่ สองข้างของตำหนักใหญ่คือผู้อาวุโสตำหนักในทั้งหลาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืนอยู่ท่ามกลางผู้อาวุโสตำหนักใน
“กล้าลอบสังหารผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญของเราเชียวรึ” บรรพชนเทียนอวี๋นั่งอยู่ตรงนั้นพลางพูดเสียงเย็นชา “ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ต้องรบกวนท่านแล้ว”
“ได้ ข้าจะดูเสียหน่อยว่าที่แท้แล้วเป็นผู้ใดที่บังอาจถึงเพียงนี้”
หนึ่งในประมุขตำหนักหกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นยืดกายขึ้น เขามีผมยาวสีเงิน ผิวหนังสีดำ ซึ่งก็คือ ‘ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์’ ผู้มีสถานะค่อนข้างพิเศษในบรรดาประมุขตำหนักแห่งวังทวีสูญทั้งหลาย ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์…ต่อให้อยู่ภายในวังทวีสูญ ขอเพียงยินดีก็ล้วนสามารถตรวจตราโลกทิพย์ทั้งห้าไปจนถึงอากาศอันสับสนอลหม่านได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นจุดใดก็ตาม
“วิ้ง”
นัยน์ตาดำขลับของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองไปยังอากาศอันเวิ้งว้างตรงหน้า กลางอากาศก็มีภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นกลางถนนสายหนึ่งภายในเมืองวารีสวรรค์ ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเดินอยู่บนถนนแห่งนี้อย่างสบายอกสบายใจ ทันใดนั้นการลอบโจมตีก็มาถึงตัว
ภายในขอบเขตพันลี้เงียบงันและหยุดชะงักลงอย่างสิ้นเชิง
มนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในขอบเขตพันลี้มิอาจขยับเขยื้อนได้ มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงและศัตรูผู้นั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้
“เอ๊ะ” บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่และประมุขตำหนัก รวมถึงผู้อาวุโสตำหนักในด้านล่างทั้งหลายพากันตกตะลึง เป็นบริเวณของกฎเกณฑ์ที่ร้ายกาจนัก!
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับถอนหายใจออกมา ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ช่างเก่งกาจโดยแท้ เห็นได้ชัดว่ามือสังหารผู้นั้นทำให้กาลมิติสับสน จนประมุขตำหนักวารีสวรรค์ยากจะตรวจสอบได้ แต่ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์กลับสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย
“บุรุษร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้ มิใช่ผู้แกร่งกล้าที่รู้จักกันอยู่แล้ว เขาจะต้องปลอมแปลงรูปโฉมและกลิ่นอายมาอย่างแน่นอน” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูดด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ขอเพียงเขาลงมือ ก็สามารถวิเคราะห์ตัวตนของเขาได้จากกระบวนท่าที่เขาลงมือแล้ว”
“เขาน่าจะระมัดระวังตัวมากทีเดียว จึงสำแดงกระบวนท่าที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนอออกมา” ประมุขตำหนักคนอื่นๆ พากันเอ่ยปาก ในโลกทิพย์ทั้งห้า บรรดาผู้แกร่งกล้าทั้งหลายมีสิ่งที่เชี่ยวชาญแตกต่างกันไป
โดยทั่วไปจึงสามารถคาดเดาตัวตนที่เป็นไปได้ของคนร้ายจากวิธีการที่เชี่ยวชาญ
“เอ๊ะ”
ทุกคนในที่นั้นพากันหน้าถอดสี
เพราะต่อจากนั้นกลางอากาศอันเวิ้งว้าง ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีแสงสีทองคุ้มกายปรากฏขึ้น นอกจากนี้โลกดำมืดก็ยังปกคลุมลงมาแล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว แปรเป็นฟองอากาศอนธการฟองหนึ่งก่อนจะเข้าทำลายบุรุษร่างอ้วนเตี้ยผู้นั้น ทว่าบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่และอีกหลายคนมีสายตาสูงส่งยิ่งนัก จึงมองออกว่าบุรุษร่างอ้วนเตี้ยผู้นั้นมิได้ต่อต้านแต่อย่างใด และเป็นฝ่ายสลายร่างแปรไปด้วยตนเอง
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแต่ละคนตกใจจนหน้าถอดสีก็คือ…อานุภาพของฟองอากาศอนธการนี้!
พวกเขาแต่ละคนส่งสายตามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง นัยน์ตาแฝงแววตกใจ ตกตะลึง นับถือและสงสัยไปพร้อมกัน
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยปากพูด “ตอนนี้เจ้าคงจะสามารถผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้วกระมัง”
“เรียนท่านบรรพชน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยความเคารพ “ข้าได้ซื้อศาสตร์ลับโลกอนธการซึ่งมีเพียงเล่มเดียวมาจากงานประมูลสมบัติล้ำค่าของหอทะเลสัตตดารา ศาสตร์ลับนี้เหมาะกับข้านัก ทำให้ข้ารู้แจ้งและบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่ง และเข้าถึงโลกอนธการกระบวนท่าที่หนึ่ง ‘ฟองอากาศอนธการ’ ได้ในรวดเดียว แน่นอนว่าผลปัดจิตวิญญาณก็มีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน”
“แค่ข้าเห็นก็จำได้แล้วว่าเป็นหนึ่งในกระบวนท่าอันเลื่องลือของประมุขโลกอนธการในตอนนั้น” ชายชราผมดำซึ่งเป็นหนึ่งในประมุขตำหนักทั้งหกที่นั่งอยู่ตรงนั้นพูดพลางหัวเราะฮิฮิ “ครั้งที่แล้วผู้อาวุโสตงป๋อยังเป็นขั้นกำเนิด เพิ่งจะไปยังเมืองวารีสวรรค์ได้เพียงแสนกว่าปี ก็ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งและยังสามารถเข้าถึงศาสตร์ลับเช่นนี้ได้ เมื่อเห็นพวกเจ้าก็รู้สึกว่าแก่แล้ว แก่แล้วจริงๆ”
“ประมุขตำหนักอลหม่านชมเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นทันที
ชายชราผมดำผู้นี้ก็คือ ‘ประมุขตำหนักอลหม่าน’ ซึ่งมีพลังลึกล้ำเกินหยั่ง จนจัดเป็นอันดับหนึ่งของวังทวีสูญ
“หากข้าจะก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง คิดว่าคงจะต้องบำเพ็ญเป็นแสนล้านปีจึงจะสามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปได้ เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสตงป๋อแล้ว ช่างน่าละอายเสียจริง”
“เพิ่งสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีพลังเช่นนี้แล้ว นับถือๆ”
ผู้อาวุโสตำหนักในกลุ่มหนึ่งพากันชมเชย
พวกเขาล้วนรู้สึกนับถือจากก้นบึ้งของหัวใจ!
บัดนี้ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญในยุคนี้ ล้วนแต่มีพลังชั้นที่ห้า ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไร้เทียมทานเกินไปแล้ว บัดนี้มีพลังชั้นที่ห้า เกรงว่าในภายหน้าคงมีโอกาสมากที่จะสำเร็จเป็นชั้นที่หกได้ การรับรู้เช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าจะสำเร็จเป็นขั้นอลวน บวกกับที่วังทวีสูญมีกฎเกณฑ์เข้มงวด ภายในจึงค่อนข้างสามัคคีกันมาก พวกเขาจึงดีใจมากที่ได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ท่านสามารถตรวจสอบตัวตนของเขาได้หรือไม่” บรรพชนเทียนอวี๋ถาม
“เขาเป็นฝ่ายสลายหายไปเองโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยสักนิด ข้าหมดหนทางที่จะสืบหาตัวตนของเขาได้แล้ว” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ส่ายศีรษะแล้วกลับไปยังที่นั่งของตน
“ข้าลองดูเสียหน่อยซิ”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมา
แต่ละคนพากันมองไป ผู้ที่เอ่ยวาจาก็คือจอมกระบี่นั่นเอง
นัยน์ตาทั้งสองของจอมกระบี่ลึกล้ำเกินหยั่ง อักขระเทพจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนอยู่กลางอากาศอันเวิ้งว้างตรงหน้าเขา เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏให้เห็นรางๆ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีเงาร่างอีกสายหนึ่งพยายามก่อตัวขึ้น
ทันใดนั้นเงาร่างอันเลือนรางสายนั้นก็พลันกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง ชายชราแสยะยิ้ม “ฮ่าฮ่า หอหมื่นโลกา ซื้อขายอย่างยุติธรรม หวังว่าจะให้อภัยด้วย”
จากนั้นเงารางทั้งหมดก็มลายหายไป
สีหน้าของบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เปลี่ยนแปลงไป
“ปีศาจเฒ่าหมื่นโลกา!” จอมกระบี่แค่นเสียงเหอะคราหนึ่ง บรรพชนเทียนอวี๋ก็เข้าใจว่าแค้นนี้ไม่มีทางชำระได้แล้ว
“หอหมื่นโลกาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจแล้วว่า มีศัตรูคู่แค้นขอให้หอหมื่นโลกาสังหารตนเอง “ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกัน”
(จบบทที่ 27)
………………………………