Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 5 ฆ่าไม่เว้น
“มีเทพอากาศผู้หนึ่งเก็บงำกลิ่นอายและซุกซ่อนอยู่ จับตัวเขาเสีย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารให้ผู้อาวุโสตำหนักนอกคนหนึ่งทันที ทั้งยังแนบเครื่องหมายบนแผนที่และรูปที่บอกลักษณะของเทพอากาศที่เก็บงำกลิ่นอายผู้นั้นไปด้วย
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปทันที
ทั่วทั้งรัฐปีกทอง เทพอากาศซึ่งเป็นที่รู้จักกันนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่คน ส่วนเทพอากาศนิรนามซึ่งมิได้มีบันทึกเอาไว้ในรายงานนั้น มีคนหนึ่งก็จับคนหนึ่ง! ส่วนเรื่องจะจับผิดตัวหรือไม่นั้น รอให้จับมาให้หมดก่อนแล้วค่อยๆ คัดกรอง
แต่ละครั้งสามารถตรวจสอบได้ในขอบเขตห้าแสนกว่าลี้เท่านั้น จากนั้นเขาก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปยังบริเวณอื่นแล้วตรวจสอบต่อไป ทั้งรัฐปีกทองมีขอบเขตถึงสิบล้านลี้ หากจะตรวจสอบให้ทั่ว…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องสำแดงแผนภาพคลื่นจานออกมาตรวจสอบหลายร้อยครั้ง แต่ละครั้งล้วนต้องตรวจสอบอย่างละเอียดยิบ หากจะตรวจสอบให้ทั่ว คาดว่าต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม!
“ตู้มมม…” เชือกร่อนลงไปแล้วแผ่คลุมไปทางบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ซึ่งเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้คนหนึ่ง บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์เห็นเข้าก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมา เขาแปรเป็นลำแสงทะยานหนีไปโดยไม่สนใจอะไรอื่นอีก
เชือกนั้นแผ่ไปทั่วท้องฟ้าเป็นขอบเขตพันลี้ ก่อนจะมัดตัวบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วพันธนาการเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
ทูตพิเศษทั้งแปดของเมืองวารีสวรรค์มองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
“เป็นเทพอากาศที่ซุกซ่อนอยู่คนหนึ่งจริงด้วย”
“ร้ายกาจยิ่งนัก”
“ผู้อาวุโสตงป๋อช่างร้ายกาจเสียจริง”
“เคล็ดลับการตรวจสอบของเขาสูงส่งกว่าพวกเรามากยิ่งนัก” เดิมทีกองกำลังทูตพิเศษซึ่งประกอบด้วยผู้อาวุโสตำหนักนอกสองท่านและผู้ดำเนินงานสามสิบท่านยังสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อาวุโสตำหนักใน แต่เมื่อพวกเขาลงมือจริงๆ ก็พบว่าจับมาแต่ละคนก็ล้วนแม่นยำทั้งสิ้น!
……
ภายในจวนลับแห่งนั้น
บุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงยังคงนั่งอุ้มสัตว์ประหลาดอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปรไป
“ทูตทิพย์ขอรับ มีศิษย์ทิพย์ระดับต่ำคนหนึ่งถูกจับตัวไป น่าจะเป็นกองกำลังเมืองวารีสวรรค์ขอรับ”
นี่คือข่าวชิ้นแรก
บุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงเพิ่งได้รับข่าวก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เป็นไปไม่ได้ พวกเราเพิ่งจะลงมือได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น หากเร่งเดินทางมาจากเมืองอลหม่าน ‘เมืองวารีสวรรค์’ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสกานอวี๋นำกองกำลังมาเองก็ไม่มีทางรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ หรือจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งคณะผู้อาวุโสเมืองวารีสวรรค์ ‘ผู้อาวุโสชุนอู้’ ออกเดินทางมาเอง เป็นไปได้อย่างไรกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผู้อาวุโสชุนอู้ไม่มีทางเคลื่อนไหวแน่”
เขารู้ดีนักว่า
สองคนที่มีสถานะสูงสุดของคณะผู้อาวุโสเมืองวารีสวรรค์ คนหนึ่งคือผู้อาวุโสชุนอู้ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แทบจะไร้ศัตรูในหมู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง ส่วนผู้อาวุโสกานอวี๋เป็นรองเพียงแค่เขา จึงน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งเช่นกัน
ทว่าคิดจะเร่งมาถึงรัฐปีกทองให้ได้ภายในเดือนเดียว ก็มีเพียงผู้อาวุโสชุนอู้เท่านั้นจึงจะสามารถทะลุอากาศได้รวดเร็วถึงเพียงนี้กระมัง! แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของคณะผู้อาวุโสคงไม่มีทางจากเมืองวารีสวรรค์มาง่ายๆ หรอก
“ทูตทิพย์ขอรับ มีศิษย์ทิพย์ระดับต่ำสองคนถูกจับตัวไป ต้องเป็นกองกำลังเมืองวารีสวรรค์อย่างแน่นอน มีสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่ง อีกทั้งพวกเขายังร่วมมือกันพลังรบก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”
“ทูตทิพย์ มีศิษย์ทิพย์ระดับต่ำคนหนึ่งถูกจับไป…”
“มีศิษย์ทิพย์ระดับต่ำถึงเก้าคนถูกจับตัวไปแล้วขอรับ”
ข่าวชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกส่งมา
บุรุษอาภรณ์สีดำผู้มีผมยาวสีม่วงสีหน้าเปลี่ยนแปรไป รวดเร็วเกินไปแล้ว ศิษย์ทิพย์ระดับต่ำแต่ละคนล้วนเป็นระดับขั้นเทพอากาศ แต่ละคนล้วนมีเคล็ดลับเก็บงำกลิ่นอายที่สืบทอดกันมาในลัทธิทิพย์โบราณ เมื่อพวกเขาซ่อนตัวก็ล้วนตรวจพบได้ยากนัก ขณะนี้กองกำลังเมืองวารีสวรรค์เพิ่งจะมาถึงเมื่อครู่ ศิษย์ทิพย์ที่เร้นกายอยู่ตามบริเวณต่างๆ ในรัฐปีกทองก็ถูกพบตัวอย่างต่อเนื่อง นี่ นี่มิใช่กองกำลังเมืองวารีสวรรค์ธรรมดาเสียแล้ว
“ไม่ดีแล้ว” แม้เขาจะทำนายอย่างไร ก็เชื่อว่าไม่มีทางที่ผู้อาวุโสชุนอู้จะมาเยือน แต่เขาก็ยังคงเข้าใจว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว!
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ศิษย์ทิพย์ทั้งหมดจงแบ่งเป็นสามกองกำลัง รีบรวมตัวกันแล้วจากไปให้เร็วที่สุด” บุรุษอาภรณ์สีดำรีบออกคำสั่ง
หลังจากเขาออกคำสั่งไป
เหล่ายอดฝีมือศิษย์ทิพย์ภายในรัฐปีกทองล้วนเริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว ศิษย์ทิพย์สามคนในจำนวนนั้นที่รู้จักการเคลื่อนที่ในพริบตาก็แยกกันเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ในพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าไปอย่างรวดเร็ว ไปพาสหายคนอื่นๆ มา เพื่อที่จะรวมตัวกันให้ได้รวดเร็วที่สุด ที่พวกเขาแบ่งเป็นกองกำลัง…ก็เพราะศิษย์ทิพย์ที่รู้จักเคลื่อนที่ในพริบตาก็มีเพียงสามท่านเท่านั้น
พวกเขาแบ่งกันเป็นสามจุดนัดพบ แล้วเริ่มรวบรวมยอดฝีมืออย่างรวดเร็ว
ในจำนวนนั้น สถานที่ของบุรุษอาภรณ์สีดำนั้นเป็นจุดนัดพบหลักที่สำคัญที่สุด ที่นี่มีเทพอากาศทั่วไปประจำการอยู่ถึงแปดท่าน ยามนี้เทพอากาศจำนวนมากขึ้นอยากมาที่นี่! เพราะในคราวคับขันระหว่างความเป็นความตาย ติดตาม ‘ทูตทิพย์’ ไปก็ปลอดภัยที่สุด
……
ราตรีมืดมิด เหนือท้องฟ้าของรัฐปีกทอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางปลดปล่อยระลอกคลื่นอันไร้รูปร่าง ออกมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวทั้งหมด
ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็ทะลุอากาศผ่านบริเวณการตรวจสอบของเขาไป
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา “ทะลุอากาศหรือ”
เขาตามรอยไปอย่างเงียบเชียบทันที
เงาร่างสายนี้เร่งทะลุอากาศไปจนถึงบริเวณแห่งหนึ่ง แล้วเก็บพรรคพวกคนหนึ่งเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ทันที จากนั้นก็เร่งเดินทางต่อไป แล้วพาพรรคพวกไปอีกคนหนึ่ง
“พวกเขาเตรียมตัวหนีแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบสัมผัสได้รางๆ ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล เพราะเหล่ามารร้ายพวกกลืนกินโดยทั่วไปล้วนเห็นแก่ตัวเป็นอันมาก เวลาจะหนีไปมักจะไม่สนใจพวกเดียวกัน
“พวกเขารวมตัวกันหนีไปเช่นนี้ ไม่กลัวถูกรวบไปรวดเดียวหมดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “มั่นใจมากหรือ”
เขาตามไปด้านหลังอย่างเงียบงัน
อาศัยการตรวจสอบของแผนภาพคลื่นจานแล้วตามรอยไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานนัก
ฝ่ายตรงข้ามก็เข้าไปในจวนแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าไปแล้วก็ปล่อยเทพอากาศสามคนที่เขาไปช่วยเหลือออกมา เมื่อตรวจสอบดูจวนแห่งนี้ ก็ทำให้หนังตาตงป๋อเสวี่ยอิงกระตุกขึ้นมา เพราะว่า…ภายในจวนแห่งนี้มีเทพอากาศทั่วไปถึงสิบห้าคน ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีถึงสองคน! ทั้งยังมีผู้ปกครองจำนวนมากถูกจองจำอยู่ในกรง
“เอ๊ะ” ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบนั้น สัตว์ประหลาดในอ้อมแขนของบุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงก็พลันผงกหัวขึ้นมา แล้วเปล่งเสียงร้อง ‘แคว่กกก’ ดังแสบแก้วหูออกมา
“ไม่ดีแล้ว” บุรุษอาภรณ์สีดำสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่
เขารู้ว่ามีศัตรูที่น่าหวาดหวั่นลอบตรวจสอบอยู่ ในฐานะที่เขาเป็นทูตทิพย์ก็ยังมิอาจตรวจสอบได้ วิธีการตรวจสอบเช่นนี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว
“รีบฝ่าค่ายกลจากไปเดี๋ยวนี้” บุรุษอาภรณ์สีดำรีบออกคำสั่งทันที
“ขอรับ”
ตู้มมมม….
ภายในจวนพลันมีแสงสีดำบาดตาสายหนึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วปะทะเข้ากับค่ายกลขนาดมหึมาเหนือฟากฟ้าของรัฐปีกทอง ทว่าเนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่งไว้ก่อนแล้ว ค่ายกลรักษาเมืองนี้จึงถูกพิทักษ์อย่างเต็มกำลังก่อนแล้ว เพียงชั่วครู่ พวกบุรุษอาภรณ์สีดำก็มิอาจฝ่าค่ายกลออกไปได้ทันที แต่ความเคลื่อนไหวที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ก็สะท้านสะเทือนไปทั่วรัฐปีกทองในทันที
กองกำลังซึ่งนำโดย ‘ผู้ดำเนินงานจิ่วฉี’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปก็สังเกตเห็นที่นี่ในทันที เขาเร่งทะลุอากาศมา เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงจนได้
“มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีตื่นเต้นอยู่บ้าง ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบก็พบว่าภายในจวนด้านล่างมีเทพอากาศอยู่กลุ่มหนึ่ง บัดนี้เทพอากาศเหล่านี้ล้วนแต่มิได้เก็บงำกลิ่นอาย เห็นได้ชัดว่าจะร่วมแรงกันฝ่าค่ายกล
“ฆ่ามัน!”
ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีออกคำสั่งคราหนึ่ง
ตู้ม!
เขาและผู้ดำเนินงานคนอื่นอีกเจ็ดคนด้านหลังพลันแปรเป็นประกายกระบี่อันเจิดจ้าสายหนึ่ง ประกายกระบี่มหึมาพลันพุ่งลงไปเยื้องล่าง
“กองกำลังเมืองวารีสวรรค์” ยามนี้บุรุษอาภรณ์สีดำกำลังนำผู้ใต้บังคับบัญชาฝ่าค่ายกลอยู่ เพราะถึงอย่างไรค่ายกลรักษาเมืองที่ผ่านการจัดการของรัฐปีกทองมานานปี ไม่รู้ว่าเสริมความแข็งแกร่งไปกี่ชั้นแล้ว ด้วยพลังของพวกเขา เกรงว่าต้องโจมตีแปดครั้งสิบครั้งจึงจะสามารถฝ่าออกไปได้ แต่คิดไม่ถึงว่ากองกำลังเมืองวารีสวรรค์จะมาถึงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
“ฆ่าพวกเขาเสียก่อน” นัยน์ตาของบุรุษอาภรณ์สีดำมีแววเยียบเย็นขึ้นมาทันที
ประกายสีดำอันสะดุดตาและประกายกระบี่มหึมาเข้าปะทะกันอย่างจัง
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงแผนภาพคลื่นจานออกมาแล้วซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดพลางลอบมองดู การตรวจสอบของเขาสามารถตัดสินอานุภาพการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย และรู้ว่ามิอาจคุกคามชีวิตของพวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีได้ เพราะถึงอย่างไรพวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีก็เข้าถึงค่ายกลที่ร่วมกันทั้งหมดซึ่งถ่ายทอดกันในวังทวีสูญ สำหรับใช้ต่อสู้โดยเฉพาะพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีก็ยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะรังแกกันได้ง่ายๆ
ตู้มมม…
อานุภาพทั้งสองระลอกปะทะกัน ทันใดนั้นก็กวาดล้างรอบด้านอย่างใหญ่หลวง กำแพงจวนพังถล่มลงมาเป็นจำนวนมาก กรงขังมากมายปรากฏขึ้น ตัวกรงเองมีการป้องกันอันดียิ่ง ทั้งยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงคอยคุ้มกันอย่างลับๆ นักโทษที่ถูกจองจำอยู่ในกรงจึงมิได้รับบาดเจ็บ ส่วนรอบจวนนั้น…ก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมไว้ ถ่ายแรงระลอกคลื่นทั้งหมดออกไปได้อย่างง่ายดาย จึงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์โดยรอบ
พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีทั้งแปดคนบินกลับไปกลางฟากฟ้า สีหน้าไม่น่ามองอยู่บ้าง “แข็งแกร่งนัก เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าพวกเราเสียอีก”
ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง
บุรุษอาภรณ์สีดำพาเทพอากาศกลุ่มใหญ่ด้านหลังพวกเขาไป พลางมองไปรอบทิศ คลื่นที่หลงเหลือจากการต่อสู้ของพวกเขาเพิ่งจะพุ่งออกจากอาณาเขตของจวน ก็ถูกถ่ายออกไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้บุรุษอาภรณ์สีดำสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน เขารู้ว่ามียอดฝีมือคนหนึ่งลอบดูทั้งหมดนี้อยู่
“ออกมาเถิด อาศัยแค่กองกำลังใต้บังคับบัญชาของเจ้าน่ะทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก” บุรุษอาภรณ์สีดำพูดพลางยิ้มเย็น
กลางท้องฟ้าไกลออกไปมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น
พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีทั้งแปดคนเห็นเข้าก็รีบบินเข้าไปด้วยความเคารพอย่างสูง “ผู้อาวุโสตงป๋อ”
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเหลือบมองลงมา “กล้าโอหังในรัฐปีกทองเช่นนี้ ช่างบังอาจนัก”
บุรุษอาภรณ์สีดำเห็นเข้าก็ถอนหายใจคราหนึ่ง เพราะเขามองออกว่า ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้เป็นเพียงขั้นกำเนิดคนหนึ่งเท่านั้น “คาดว่าคงจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักนอกสักคนหนึ่งที่บำเพ็ญเคล็ดลับที่ร้ายกาจบางอย่างของวังทวีสูญ”
ขั้นกำเนิด เขาก็ไม่หวั่นเกรง
“พวกเจ้าทำผิดแล้วกระมัง” บุรุษอาภรณ์สีดำพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “มารร้ายเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราเสียหน่อย หากข้าคิดจะกลืนกินตามอำเภอใจจริงๆ รัฐปีกทองจะสกัดกั้นข้าได้อย่างนั้นหรือ”
“สกัดกั้นเจ้าไม่ได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวซึ่งอยู่กลางอากาศพยักหน้า
“ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าใส่ร้ายข้าแล้วล่ะ” บุรุษอาภรณ์สีดำกล่าว “หากไม่ปล่อยข้าไป ข้าจะไม่ยอมตามน้ำไปแน่”
“มารร้ายเหล่านั้นล้วนสมควรตาย พวกเจ้าก็สมควรตายเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
บุรุษอาภรณ์สีดำสีหน้าเปลี่ยนแปรไปพลางพูดเสียงต่ำว่า “ทำไม จะสู้กันต่อไปจริงรึ เกรงว่าทั้งรัฐปีกทองคงจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีแน่ พวกคนที่เจ้าพามาก็คงจ้องตายกันไปเป็นส่วนใหญ่”
มีแต่ความเงียบงัน
พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
พวกเขามองออกแล้วว่า นี่มิใช่กองกำลังมารร้ายธรรมดาสามัญ หากแต่เป็นขุมอำนาจที่เป็นองค์กร แม้แต่พวกเขาก็ยังพอคาดเดาได้รางๆ แล้ว เพราะพวกเขามองเห็นกรงขังเหล่านั้น
จะหลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่ง หรือจะสู้กันต่อไปจริงๆ เล่า
ครั้งนี้พวกเขามาเพียงแค่รับมือมารร้ายธรรมดาทั่วไป พลังจึงไม่แข็งแกร่งพอ เกรงว่าสู้ต่อไปก็คงน่าอนาถนัก
……
ภายในกรงขัง
พวกผู้ที่โชคดีรอดชีวิตต่างพากันมองดูฉากนี้ พวกเขามองเห็นเทพอากาศกลุ่มใหญ่และบุรุษอาภรณ์สีดำ ทั้งยังมองเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวและเทพอากาศทั้งแปดที่อยู่กลางอากาศด้วย ทั้งสองฝ่ายกำลังประจันหน้ากัน
“หรือจะกลัวลัทธิทิพย์โบราณเข้าแล้ว ไม่กล้าลงมือแล้วอย่างนั้นหรือ” พวกเขาร้อนใจขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าปริปาก
เพราะสิ่งมีชีวิตระดับนี้ มิใช่ผู้ที่พวกเขาจะปากมากด้วยได้
“ลงมือสิ”
“ฆ่าพวกเขาเสีย”
ผู้บำเพ็ญที่ถูกคุมขังทั้งหลายต่างก็ร้อนใจเหลือแสน เพราะพวกเขารู้ว่าในเวลานี้รัฐปีกทองประสบหายนะใหญ่หลวงเพียงใด ต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดก็คือสิ่งมีชีวิตจากลัทธิทิพย์โบราณฝูงนี้นั่นเอง
……
“พวกเจ้าสังหารมารเหล่านั้นต่อไป แล้วพวกเราก็จากไป เป็นอย่างไรเล่า” บุรุษอาภรณ์สีดำพูดพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่กลางฟากฟ้าจับตามองโดยละเอียด “หากข้ามิได้ทายผิดแล้วล่ะก็ พวกเจ้าคือลัทธิทิพย์โบราณใช่หรือไม่”
บุรุษอาภรณ์สีดำสีหน้าเปลี่ยนแปรไปแล้ว
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาด้านหลังเขาก็หน้าถอดสีเช่นกัน พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีเองก็รู้สึกหัวใจบีบรัดแน่นขึ้นมา
พูดออกมาตรงๆ เลยอย่างนั้นหรือ หากพูดออกมาแล้วก็ไม่มีที่เหลือให้กลับตัวได้อีกแล้ว
“คามกฎวังทวีสูญของข้า ศิษย์ลัทธิทิพย์โบราณต้องสังหารให้เกลี้ยงโดยไร้ข้อยกเว้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวกล่าว เสียงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ฆ่ามัน” บุรุษอาภรณ์สีดำคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขานำผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งถลาขึ้นสู่ฟ้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง
เมื่อชี้มือออกไป
สวบๆๆ…
เกราะพลอันแน่นขนัดนับพันก็แปรเป็นปลาสีม่วงเข้ม ปลาสีม่วงนับพันตัวปกคลุมมาทางบุรุษอาภรณ์สีดำและพวกพ้องของเขาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
บรรดาผู้บำเพ็ญที่อยู่ในกรงขังเหล่านั้นพากันเงยหน้ามอง เมื่อก็เห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นชี้นิ้วออกไป ปลาสีม่วงเข้มจำนวนมากก็ปกคลุมไปทางยอดฝีมือลัทธิทิพย์โบราณกลุ่มนั้นพร้อมกลิ่นอายทำลายล้าง แต่ละคนอดที่จะตั้งตารอคอยด้วยใจระทึกมิได้
……………………