Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 8 สะกดรอย
ผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวมองบุรุษร่างกำยำปราดหนึ่งอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง ผู้ปกครองตัวเล็กจ้อยผู้นี้ ตนเองยังมิได้เปิดปากพูด เขาก็ชิงเอ่ยวาจาขึ้นมาก่อนเสียแล้ว
“เรียนผู้อาวุโสตงป๋อ เขาชื่อเหลยเฉิน เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญที่ถูกสำนักทิพย์โบราณจับตัวไปคุมขังในคราวนี้ เป็นผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในรัฐปีกทอง ส่วนภรรยาของเขานั้นมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเหนือกว่าเขาเสียอีก” ผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวพูดอย่างเคารพ ก่อนหน้านี้เขาก็รับผิดชอบการตรวจตรา ความทรงจำของเขาร้ายกาจถึงเพียงไหน ย่อมต้องจดจำได้อย่างกระจ่างแจ้งอยู่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วมองบุรุษผู้ปกครองเทพแท้ที่มีร่างกายค่อนข้างบึกบึนตรงหน้าผู้นี้ปราดหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์คนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
ภรรยาของเขายังมีพรสวรรค์เหนือกว่าเขาอีกหรือ
“เจ้ารู้หรือว่าทูตทิพย์ของสำนักทิพย์โบราณผู้นั้นอยู่ที่ไหน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม “เจ้ามั่นใจหรือ ตอนนี้เขาเร่งร้อนหลบหนีอยู่ ส่วนจะหลบหนีไปที่ใดนั้นเกรงว่านอกจากตัวเขาเองแล้วก็มิมีผู้ใดแน่ใจได้หรอกกระมัง”
“ข้ามีความมั่นใจเกินเก้าส่วนเสียอีก! ” เหลยเฉิน บุรุษร่างกำยำพูด
“พูดให้กระจ่างสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
บุรุษร่างกำยำเหลยเฉินเผชิญหน้ากับบุรุษในอาภรณ์สีขาวตรงหน้าผู้นี้แล้วก็อดที่จะรู้สึกถึงความวิตกกังวลและกระวนกระวายมิได้ เขารู้แจ้งแก่ใจดีว่าพลังยุทธ์อันน้อยนิดเช่นนี้ของตนย่อมมิอาจช่วยเหลือภรรยาได้! ส่วนสำนักทิพย์โบราณ…ว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้สูงส่งเหนือผู้ใดของโลกทิพย์โบราณ เมื่ออยู่ต่อหน้าขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้ เขาก็เป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ประมุขรัฐปีกทองที่แข็งแกร่งกว่าเป็นพันเป็นหมื่นเท่าก็ยังเป็นมดปลวกเลย!
และชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวตรงหน้าผู้นี้ก็มีสถานะอันสูงส่งเป็นที่สุด เป็นผู้แกร่งกล้าแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วังทวีสูญ! ยามอยู่ต่อหน้าเขา แม้กระทั่งบรรดาทูตพิเศษแห่งเมืองวารีสวรรค์คนอื่นๆ และประมุขรัฐปีกทองก็ยังมีความเคารพนบนอบเป็นอย่างยิ่ง และเกรงว่ามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเหลือภรรยาของตนได้!
เขาย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
เพื่อช่วยเหลือภรรยา เขาก็ไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น!
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” เหลยเฉินเอ่ยอย่างเคารพ “ข้ากับภรรยาชิงรั่วบำเพ็ญมาทีละก้าวๆ จนถึงบัดนี้ก็ประสบภยันตรายกันมามากมาย แต่ก็เคยผจญภัยกันมาก่อนด้วย! การผจญภัยครั้งหนึ่งในนั้นทำให้ดวงวิญญาณของข้าและภรรยาต่างก็ได้รับการแปลงสภาพ จนกระทั่งดวงวิญญาณต่างก็สามารถรับสัมผัสซึ่งกันและกันได้ ถ้าหากสำแดงเคล็ดวิชาลับรับสัมผัสอย่างสุดกำลัง ระยะห่างที่รับสัมผัสได้นั้นก็จะยิ่งห่างไกลเป็นที่สุด ข้าได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสตงป๋อให้ออกมาจากสำนักทิพย์โบราณแห่งนั้น หลังจากที่คลายผนึกฟื้นฟูพลังยุทธ์แล้วก็รับสัมผัสระบุตำแหน่งของภรรยาข้าในทันที พอรับสัมผัสแล้วข้ากลับพบว่าภรรยาของข้าอยู่ห่างไกลจากรัฐปีกทองอย่างเหลือแสน! ทั้งยังมุ่งหน้าไกลออกไปด้วยความเร็วสูงที่สุดอย่างไม่หยุดหย่อนอีกด้วย ความเร็วที่สูงจนน่าหวาดกลัวเช่นนี้จะต้องกำลังเคลื่อนที่ผ่านอากาศอยู่อย่างแน่นอน! ชิงรั่วนางยังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่มีทางเคลื่อนที่ในพริบตาได้อยู่แล้ว ดังนั้นจะต้องมีผู้แกร่งกล้าคนอื่นพาตัวนางหนีไปอย่างแน่นอน”
“ในรัฐปีกทอง จะมีใครพาตัวนางหนีไปได้หรือ นอกจากนี้ยังสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อีกด้วย ทั้งยังห่างไกลจากรัฐปีกทองอย่างมากมาย” เหลยเฉินพูด “ข้าเพียงแค่คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น! ข้าถูกจับตัวไปแล้ว พรสวรรค์ของชิงรั่ว ภรรยาข้าเหนือกว่าข้า ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วรัฐปีกทอง เกรงว่าสำนักทิพย์โบราณจะไม่ยอมละเว้นนาง คาดว่าคงไปจับตัวนาง หรืออาจเป็นเพราะภรรยาข้าต้องตาทูตทิพย์ท่านนั้นเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าจะถูกคุมขังเอาไว้ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของทูตทิพย์ท่านนั้น”
พอเหลยเฉินพูดจบก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
เขาตื่นเต้นนัก
จะไปช่วยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อาวุโสตงป๋อผู้ลึกลับแห่งวังทวีสูญผู้นี้
เขาจะรับปากหรือไม่ หากไปช่วยแล้วอาจประสบอันตรายก็ได้ ผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้จะเต็มใจไปเผชิญอันตรายหรือไม่กันหนอ
“ระยะห่างจากรัฐปีกทองช่างไกลแสนไกล การเคลื่อนที่ผ่านอากาศ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังคิดไตร่ตรอง
ทั่วทั้งรัฐปีกทองมีผู้ที่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้น้อยจนสามารถนับนิ้วได้! คนอื่นๆ อีกหลายคนถ้าไม่ต่อสู้จนตัวตายก็ยังอยู่ในรัฐปีกทอง มีเพียงบุรุษในอาภรณ์ดำคนเดียวเท่านั้นที่หนีออกมาได้! แต่การที่ไปปรากฏตัวในตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลแสนไกลจากรัฐปีกทอง การเคลื่อนที่ผ่านอากาศธรรมดาๆ นั้นยากยิ่งที่จะไปถึงบริเวณไกลๆ เช่นนั้นได้ เพราะตนเองเร่งเดินทางมาจากเมือง ข-29 ก็ยังสิ้นเปลืองเวลาไปถึงหนึ่งเดือน! บุรุษในอาภรณ์ดำผู้นั้นสำแดงการเคลื่อนย้ายอากาศจากที่ห่างไกลเพื่อหนีเอาชีวิตรอด ก็ตรงตามการคาดเดานี้
นอกจากนี้ยามที่เหลยเฉินรับสัมผัส อีกฝ่ายก็ยังรีบเร่งอยู่!
บวกกับ…
สำนักทิพย์โบราณให้ความสำคัญกับผู้ที่มีพลังยุทธ์กล้าแกร่งหรือผู้มีพรสวรรค์สูงส่งเป็นที่สุด และยิ่งอยากให้พวกเขาศรัทธาต่อสำนักทิพย์โบราณ! ดังนั้นทูตทิพย์ท่านนั้นจึงไปจับตัว ‘ชิงรั่ว’ ผู้มีพรสวรรค์สูงส่งแล้วควบคุมด้วยตนเอง นี่เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเหลยเฉินพลางพูดยิ้มๆ “แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง”
“ที่ข้าพูดนั้นไม่มีความเท็จเลยแม้แต่ประโยคเดียวขอรับ” เหลยเฉินร้อนรนเสียแล้ว “ผู้อาวุโสตงป๋อ ข้า…”
สีหน้าที่เดิมทีกระวนกระวายและอารมณ์อันปั่นป่วนของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในทันใด
เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเหนี่ยวนำดวงวิญญาณของเขาเข้ามาในเขตลวงอย่างไร้สุ้มเสียง เขาสำเร็จวิชา ‘ระบบกฎเกณฑ์โลกเทียม’ มาก่อนแล้ว นอกจากนี้ยังประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูงอีกด้วย ถ้าหากเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นเทพอากาศที่ค่อนข้างโง่เง่าจำนวนหนึ่งก็อาจจะติดกับได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเหลยเฉินผู้อยู่ตรงหน้ายังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้น เขาจึงติดอยู่ในนั้นโดยสมบูรณ์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ข้าถามเจ้า เจ้ากับภรรยาของเจ้า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อไป
ผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวที่อยู่ด้านข้างฉงนใจอยู่บ้าง พร้อมกันนั้นเขาก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าผู้ปกครองที่ชื่อว่าเหลยเฉินผู้นี้มีความมึนงงอยู่บ้างจนเริ่มต้นตอบคำถามอย่างต่อเนื่อง
เพียงชั่วครู่
เหลยเฉินรู้สึกว่าดวงวิญญาณสั่นสะท้านคราหนึ่งแล้วก็ตื่นตัวโดยสมบูรณ์ ทว่าเขารู้สึกคลุมเครือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขามองชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวตรงหน้าผู้นี้อย่างตกตะลึงอยู่บ้าง เขาไม่ใคร่กระจ่างแจ้งนักว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ แต่ก็เข้าใจอยู่เล็กน้อยว่า…ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวผู้นี้จะต้องเล่นลูกไม้อะไรกับเขาอย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้เพื่อช่วยเหลือภรรยาแล้วเขาก็มิได้มีปากเสียงแต่อย่างใดเลย
“เอาล่ะ เจ้าสร้างร่างแยกออกมาร่างหนึ่งก่อน หลังจากสร้างร่างแยกแล้วพวกเราจะออกเดินทางในทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวพูด
“ไม่ต้องหรอก พวกเราต้องร่นเวลาให้สั้นที่สุด” เหลยเฉินเอ่ยอย่างเร่งร้อน
“สะกดรอยไปก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน แค่นี้ก็มิได้ต่างกันหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพูด “ไปเถิด”
เหลยเฉินกระวนกระวายทว่าก็ได้แต่รับบัญชาไป
พร้อมกันกับที่เขาฟูมฟักตัวอ่อนจากเลือดเนื้อออกมาตัวหนึ่งด้วยความเร็วสูงสุด ดวงวิญญาณก็แบ่งออกเป็นสองส่วน นอกจากนี้เวลาก็ยังเร่งความเร็วขึ้นด้วย เพียงสองชั่วยามเขาก็กลับมาพบตงป๋อเสวี่ยอิงอีกครั้งด้วยการนำทางของผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยว
“ข้าจะไปสะกดรอยสำนักทิพย์โบราณ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวแล้วเอ่ยบัญชาว่า “พวกเจ้ามาจัดการปิดฉากเรื่องราวที่นี่ด้วย หลังจากนั้นก็ตรงกลับไปยังเมืองวารีสวรรค์”
“ขอรับ” ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวจะมีความกังวลใจอยู่บ้างแต่ก็มิกล้าทัดทาน เขารับบัญชาในทันที
“พวกเราไปกันเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนำทางเหลยเฉินออกเดินทางกลางราตรี
กลางผืนฟ้ายามราตรี ดวงจันทราแห่งโลกทิพย์ลอยเด่น ตงป๋อเสวี่ยอิงนำทางเหลยเฉินอยู่กลางเวหาเบื้องบนของรัฐปีกทอง บนคูเมืองของรัฐปีกทองยังคงมีค่ายกลรักษาเมืองล้อมรอบอยู่
“ทูตทิพย์อาภรณ์ดำผู้นั้นอยู่แห่งหนใด อยู่ไกลจากที่นี่สักประมาณเท่าใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“เรียนผู้อาวุโสตงป๋อ” เหลยเฉินโบกมือคราหนึ่ง เบื้องหน้าก็มีแผนที่ขนาดมโหฬารฉบับหนึ่งปรากฏขึ้น บนแผนที่ทำเครื่องหมายไว้บนพื้นที่บริเวณหนึ่ง เขาเอ่ยด้วยเสียงต่ำๆว่า “เพราะว่าอยู่ไกลเกินไป ข้าจึงรับสัมผัสได้อย่างเลือนรางนัก สามารถแน่ใจได้เพียงว่าอยู่ในบริเวณแถบๆ นี้เท่านั้นขอรับ”
“การรับสัมผัสของเจ้าช่างเลือนรางเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า พื้นที่บริเวณนี้กว้างใหญ่พอดูทีเดียว
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังตกตะลึงอยู่บ้าง
สิ่งที่เขาตกตะลึงก็คือทูตทิพย์อาภรณ์ดำเคลื่อนย้ายไปด้วยระยะทางที่ไกลเหลือเกิน!
“ดูเหมือนว่าวัตถุคุ้มกันชีพที่เขาใช้ในการเคลื่อนย้ายจะให้ผลลัพธ์ที่สูงส่งกว่าป้ายสัญลักษณ์เคลื่อนย้ายของศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ
“ขอเพียงแค่ระยะทางใกล้ การรับสัมผัสของข้าก็จะกระจ่างชัดขึ้นกว่านี้ขอรับ” เหลยเฉินพูด
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพาเขาหลบหลีกในอากาศไปโดยตรง
ถึงแม้ว่าเขาจะยังรักษาป้ายสัญลักษณ์เคลื่อนย้ายที่สามารถเคลื่อนย้ายไปด้วยระยะทางที่ไกลแสนไกลได้ยามที่เป็นศิษย์อาภรณ์ทองเอาไว้อยู่เช่นเดิม ซึ่งความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นเหนือกว่าที่ตนจะสามารถควบคุมได้ คาดว่าอย่างน้อยป้ายสัญลักษณ์เคลื่อนย้ายก็เป็นระดับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่าบรรพชนเทียนอวี๋หลอมขึ้นมาด้วยตนเอง ภายในยังประกอบด้วยพลานุภาพอีกด้วย เมื่อพลานุภาพหมดสิ้นลงเมื่อใดก็จำเป็นต้องใช้ป้ายสัญลักษณ์ในการฟื้นฟูเติมเต็ม
ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีสมบัติล้ำค่าที่ล้ำเลิศในการหลบหนีมากกว่าอยู่ก็จริง แต่หากยังไม่ถึงคราวจำเป็น เขาก็จะไม่รีบใช้งาน
ถึงอย่างไรวัตถุประสงค์ของเขาก็คือการสะกดรอยทูตทิพย์อาภรณ์ดำ ค้นหาฐานที่มั่นสำคัญของสำนักทิพย์โบราณให้พบ!
……
สะกดรอยมาตลอดทาง
นอกจากสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายที่ทูตทิพย์อาภรณ์ดำสำแดงออกมาในตอนเพิ่งเริ่มต้นแล้ว เวลาอื่นๆ ก็รีบเร่งเคลื่อนที่ผ่านอากาศอย่างไม่หยุดหย่อน เป็นถึงผู้บำเพ็ญที่กล้าแกร่งก็มิได้สนใจการเคลื่อนผ่านของเวลาสักเท่าใดนักอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะสิ้นเปลืองเวลาไปกว่าหกร้อยปี ไม่ไปยังเมือง ข-29 ที่อยู่ใกล้ที่สุด หากแต่จงใจใช้ทางอ้อมไปยัง ‘เมือง ก-29’ ที่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วอยู่ไกลกว่า
บรรดาผู้รักษาการณ์เมือง ก-29 ต่างก็ไม่รู้ว่ามนุษย์ชุดดำผู้นี้เป็นคนของสำนักทิพย์โบราณ ก็ย่อมปล่อยไปตลอดอยู่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลัวหายนะ ถูกบีบให้สำแดงสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายสะกดรอยไปถึงเมือง ก-29
……
ด้วยการเคลื่อนผ่านคูเมือง ในท้ายที่สุดก็ไปถึงเมือง ก-35 สุดท้ายก็เคลื่อนที่ผ่านอากาศมาสิบเก้าปีแล้ว
“ถึงแล้ว” ทูตทิพย์อาภรณ์ดำมองดูคูเมืองสีดำอันไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นยังที่ไกลๆ ทั้งคูเมืองกินบริเวณเพียงหนึ่งแสนลี้ ดูเหมือนจะเป็นขุมอำนาจที่เล็กจ้อยอย่างยิ่ง! แต่ความจริงแล้วที่นี่กลับเป็นฐานที่มั่นที่ค่อนข้างสำคัญแห่งหนึ่งของสำนักทิพย์โบราณ
“คราวนี้ลูกน้องข้าตายกันไปหมดแล้ว” ทูตทิพย์อาภรณ์ดำกลัดกลุ้มใจอยู่บ้าง “แต่ไหนแต่ไรข้าก็ทำภารกิจมากมายสำเร็จมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานจนเกือบจะได้ยกระดับเป็นทูตทิพย์ระดับสูงอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าคราวนี้ลูกน้องมาตายกันไปหมด ไม่รู้ว่าจะต้องรอคอยไปอีกนานเพียงไหนกว่าจะได้เป็นทูตทิพย์ระดับสูง”
ภายในสำนักทิพย์โบราณนั้นมีลำดับขั้นอันเข้มงวด
คิดอยากจะยกระดับสักขั้นหนึ่งนั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก
“คนที่ชื่อผู้อาวุโสตงป๋ออะไรนั่นน่ะหรือ” ทูตทิพย์อาภรณ์ดำมีเพลิงโทสะฉายชัดในดวงตา แต่เขาก็รู้ดีว่าถึงแม้ขุมอำนาจ ‘โลกทิพย์โบราณ’ จะแข็งแกร่งกว่าวังทวีสูญ! แต่ที่นี่คืออาณาเขตของวังทวีสูญ เขาอยากจะต่อสู้จริงๆ ก็เอาชนะผู้อาวุโสตงป๋อผู้นั้นมิได้ ก็ได้แต่อดทนแล้ว
พรึ่บ
ทูตทิพย์อาภรณ์ดำแปลงร่างเป็นลำแสงแล้วบินตรงเข้าไปในคูเมืองสีดำแห่งนั้น
เวลาผ่านไปเพียงชั่วจิบชาถ้วยหนึ่ง
กลางผืนฟ้ายามราตรีมีเงาร่างสองสายปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงและเหลยเฉิน
“ผ่านการสะกดรอยมาหกร้อยกว่าปี ในที่สุดก็ค้นพบสถานที่แห่งนี้เสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูคูเมืองสีดำที่อยู่ไกลออกไปด้วยใบหน้าคลี่รอยยิ้ม
…………………………………………