Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 13 มิอาจสำแดงออกมาได้อย่างนั้นหรือ
หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์กำลังจะพูด แต่ในขณะนี้เองแม่นางอีจื่อกลับส่งสุราอาหารชั้นเลิศขึ้นมาให้ แล้วนางยังรินสุราให้ตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเองอีกด้วย “ผู้อาวุโส นี่คือสุราผลไม้ ‘ฝนกระบี่’ ที่ข้าบ่มเองกับมือ ปกติข้าให้เฉพาะท่านพ่อดื่มเท่านั้น” นางพูดพลางยกจอกสุราขึ้นส่งให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วรับมาชิมรสดูคำหนึ่ง พอดื่มแล้วเขาก็รู้ว่าสุราผลไม้นี้คงจะมิได้มีราคาสูงนัก ที่วังทวีสูญเขาได้ดื่มยอดสุราชั้นดีมาไม่น้อยแล้ว
แต่สุราผลไม้นี้ค่อนข้างเข้มข้น ทำให้คนมึน มีความรู้สึกคล้ายตกอยู่ในเขตลวงจางๆ
“น่าสนใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชม
“บุตรสาวของข้าคนนี้ค่อนข้างมีพรสวรรค์ในการบ่มสุรา ก็ด้วยพรสวรรค์ในการบำเพ็ญอ่อนแอไปสักหน่อย จนถึงตอนนี้เพิ่งฝืนเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นเทพอากาศได้อย่างทุลักทุเล” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ส่ายศีรษะเบาๆ “แค่นี้ก็ดีพอแล้ว เพียงแค่สามารถเป็นเทพแท้ได้ก็จะมีอายุขัยชั่วนิรันดร์ แต่ได้อยู่เคียงคู่กัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” ตอนนี้ภรรยาและบุตรชายของตนต่างก็ติดอยู่ที่ขั้นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้น มิได้เป็นแม้กระทั่งเทพแท้ นี่คือปมที่ใหญ่ที่สุดในใจของตน
“ใช่แล้ว สามารถมีอายุขัยชั่วนิรันดร์ ได้อยู่เคียงคู่กัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งอย่างทอดถอนใจอยู่บ้าง เขาบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลายาวนานจนกระทั่งถึงบัดนี้ คนใกล้ชิดก็เหลืออยู่เพียงแค่บุตรสาวคนเดียวเท่านั้น
“อีจื่อ เจ้าออกไปก่อน” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” แม่นางอีจื่อจากไปอย่างเชื่อฟัง
ภายในลานบ้านก็เหลืออยู่เพียงพวกเขาสองคน หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์จึงเอ่ยว่า “หากต้องการจะเข้าไปในกรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาก็ต้องใช้ปิ่นทองห้าอัน ท่านรวมกับข้าเพิ่งจะมีปิ่นทองทั้งหมดเพียงสองอันเท่านั้นเอง… ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง ในบรรดาผู้บำเพ็ญที่เขารู้จักก็สามารถส่งมอบปิ่นทองให้ได้สามอัน แน่นอนว่าความจริงแล้วปิ่นทองสามอันนั่นอยู่กับผู้บำเพ็ญคนใดเขาก็มิได้บอกข้า แต่ขอเพียงข้าได้มาสองอัน ก็จะสามารถร่วมมือกับเขาทางนั้นได้”
“ร่วมมือหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพูด “ถ้าหากพวกเราพบหน้ากันก็อาจเจอกับการคิดบัญชีได้ใช่หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกำลังเสาะหาปิ่นทองอยู่อย่างลับๆ ก็เป็นได้”
“วางใจเถิด”
หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูดยิ้มๆ “ถ้าหากจะพบหน้าก็จะต้องไปพบกันที่คูเมืองที่บรรพชนกฎฉุนอีสร้างขึ้น ที่ใกล้ที่นี่ที่สุดก็คือ ‘เมืองฉุนอวี้” ที่เมืองฉุนอวี้นั้นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนก็มิกล้าบุกเข้ามาตามอำเภอใจ ก็เพราะยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนของมหาโลกทิพย์ทั้งสามและสองสำนักใหญ่ล้วนมิกล้าล่วงเกินบรรพชนกฎฉุนอี”
“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ดินแดนเก้าเมฆา…
สุดท้ายแล้วเจ้าของที่แท้จริงก็คือบรรพชนกฎฉุนอีท่านนั้นนั่นเอง! ถึงแม้ว่าเขาจะสันโดษ ไม่อยากเข้าร่วมในการต่อสู้ของสองขุมอำนาจใหญ่ แต่ก็ไม่อยากเห็น ‘ดินแดนเก้าเมฆา’ ที่ตนอาศัยอยู่อย่างสันโดษแห่งนี้ถูกสองขุมอำนาจใหญ่ทำลายทิ้ง ดังนั้นจึงกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้มากมาย
อย่างเช่นห้ามสร้างค่ายกลห้วงมิติใดๆ! ทำให้ดินแดนเก้าเมฆายากที่จะติดต่อกับสถานที่อื่นๆ
หรืออย่างเช่นการที่เขาสร้างคูเมืองขึ้นมามากถึงสิบสองแห่ง กระจายอยู่ทั่วทุกที่ในดินแดนเก้าเมฆา คูเมืองทุกแห่งล้วนมีค่ายกลที่เขาวางไว้ด้วยตนเอง รวมถึงร่างแปรที่เขาทิ้งเอาไว้รักษาการณ์ที่นั่น!ร่างแปรของเทพจักรวาลท่านหนึ่ง… ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปก็มิอาจสังหารร่างจริงของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนได้ แต่ภายในอาณาเขตของตนมีค่ายกลช่วยเหลืออยู่ก็ไม่เหมือนกันแล้ว
คูเมืองสิบสองแห่งนี้ แต่ละแห่งล้วนมีค่ายกลที่บรรพชนกฎสร้างขึ้นด้วยตนเอง พอร่างแปรของบรรพชนกฎฉุนอีอยู่ในนั้นก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้ว
นอกจากนี้เขายังมีบัญญัติว่า…ห้ามขั้นอลวนเข้ามาในคูเมืองของเขา!
จุดประสงค์ที่เขาสร้างคูเมืองก็คือให้เหลือดินแดนที่บริสุทธิ์แห่งหนึ่งเอาไว้ ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้าที่มิได้มีเจตนาจะสู้รบจำนวนหนึ่งสามารถบำเพ็ญอย่างสงบสุขที่นี่ได้
“ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าก็จะแจ้งสหายผู้นั้นของข้าแล้วล่ะนะ” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูด
“ได้ กรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา หากไปได้ข้าก็จะต้องไปแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ฮ่าฮ่า นี่คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญคนใดๆ ในดินแดนเก้าเมฆาของพวกเราต่างก็ปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น”หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์หัวเราะแล้วก็ส่งสารติดต่อไป เพียงชั่วครู่เขาก็เอ่ยว่า “ทางนั้นตกลงเรียบร้อยแล้ว พวกเราสามารถพบปะกันที่เมืองฉุนอวี้ได้! พวกเขาทางนั้นมีบางคนที่อาศัยอยู่ที่เมืองฉุนอวี้ มีบางคนที่อาศัยอยู่ใกล้กว่า คาดว่าต้องใช้เวลาห้าสิบล้านปีเป็นอย่างช้าที่สุดจึงจะไปถึงได้ ข้าทางนี้ต้องช้าหน่อยต้องใช้เวลาแปดสิบล้านปี น้องเฟยเสวี่ย…เพื่อความปลอดภัย เจ้ากับข้าแยกกันเดินทาง เช่นนี้ก็จะปลอดภัยกับทั้งเจ้าและข้า”
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขาเข้าใจในความระมัดระวังของอีกฝ่าย
เพียงแค่แยกกันเดินทาง เช่นนั้นจะใช้เส้นทางอย่างไร ต่างฝ่ายต่างก็รู้ของตัวเอง ศัตรูจะลอบวางแผนซุ่มโจมตีก็มิสามารถทำได้
“เส้นทางยาวไกล ข้าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ข้าต้องใช้เวลาเดินทางแปดสิบล้านปี เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอกนะ” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูด เขายังอยากให้บุตรสาวและยอดฝีมือผู้นี้ใกล้ชิดกันให้มากๆ ถ้าหากสามารถคารวะเป็นศิษย์ในสำนักของอีกฝ่ายได้ก็ยิ่งดี ถึงอย่างไรก็ได้ยินบุตรสาวพูดว่าคราวนี้อีกฝ่ายบรรลุแล้วจึงได้ออกจากการปลีกวิเวก ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจยังสามารถก้าวเข้าไปใกล้ขั้นรวมเป็นหนึ่ง สถานะอันไร้เทียมทานก็เป็นได้
พลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวก็ย่อมเป็นระดับสูงในแดนศักดิ์สิทธิ์ของมหาโลกทิพย์ทั้งสามอย่างแน่นอน ที่ดินแดนเก้าเมฆา เพียงแค่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนไม่กี่คนไม่ออกมาก็สามารถเดินยืดอกได้แล้ว
ต่อให้มิได้ยกระดับอีกก็มีพลังยุทธ์เทียบเคียงกับเขาผู้เป็นหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์แล้ว ทั้งยังมีบุญคุณช่วยชีวิตตนอีกด้วย
“ข้าเพิ่งออกมาจากการปลีกวิเวกได้ไม่นานสักเท่าใด ก็เลยอยากจะอาศัยโอกาสนี้ไปเตร็ดเตร่ข้างนอกให้มากหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ก็ได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่รั้งน้องเฟยเสวี่ยเอาไว้แล้วล่ะนะ” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูดยิ้มๆ “พอถึงเวลาพวกเราก็พบกันที่เมืองฉุนอวี้ ไปยังกรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาพร้อมกัน”
……
วันที่สอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อำลาจากไป บนเขากระบี่สวรรค์ แม่นางอีจื่อก็ยังมิอาจตัดใจได้อยู่บ้าง นางมีความรู้สึกซาบซึ้งและยกย่องตงป๋อเสวี่ยอิง คิดอยากจะกราบเป็นอาจารย์ แต่น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินจากไปง่ายๆ เสียแล้ว
วันต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินอยู่บนพื้นดินของดินแดนเก้าเมฆาแห่งนี้
ชมดูทัศนียภาพของชิ้นส่วนที่แตกสลายของ ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ที่หลงเหลืออยู่ชิ้นนี้แล้วนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญบนพื้นที่รกร้างเป็นระยะๆ บ้างก็พบกับเรื่องอยุติธรรม บ้างก็พบฝูงมารที่กลืนกินหมู่บ้านสักแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงพบเข้าก็ลงมือในทันที หลังจากตรวจสอบวิญญาณโดยสัญชาตญาณแล้วก็สังหารทิ้งทันใด!…ทั้งยังได้ชี้แนะเด็กจำนวนหนึ่งอยู่เป็นระยะๆ ด้วย
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าสิบล้านปีแล้ว
บนยอดเขา
ภายในเคหาสน์ไม้ ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก้าวเดินออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น “ข้าได้เรียนรู้ความลึกลับของวิชาโลกอนธการกระบวนท่าที่สองอย่างกระจ่างแจ้งทั้งหมดแล้ว แต่ก็มิอาจสำแดงออกมาได้ นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน”
บำเพ็ญอยู่ภายในตำหนักกาลเวลาแห่งวังทวีสูญเป็นเวลาหนึ่งหมื่นแปดพันล้านปี วิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกาและแผนภาพคลื่นจานต่างก็บำเพ็ญไปจนถึงระดับพลังยุทธ์ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวแล้ว แม้กระทั่งกระบี่ที่ห้าผลาญโลกา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อยให้ง่ายลง กลายเป็นเคล็ดวิชามังกรมัจฉาปลิดชีพอันใหม่…ในส่วนทางด้านวิถีโลกเทียมที่มีพรสวรรค์สูงส่งที่สุด ตงป๋อเสวี่ยอิงได้หยั่งรู้ความลับต่างๆ นานาที่ผนวกรวมอยู่ในกระบวนท่าที่สองของวิชาโลกอนธการ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ จนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็มิอาจสำแดงออกมาได้
แม้ว่าเขาจะแก้ไขและปรับปรุงกระบวนท่าที่หนึ่ง‘ฟองอากาศอนธการ’ ไปแล้วหลายครั้ง ปรับปรุงจนเหมาะสมกับตนเองอย่างหาใดเทียม
ตอนนี้มาถึงดินแดนเก้าเมฆา ท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทิศตลอดห้าสิบล้านปีมานี้ แต่กลับมิได้บำเพ็ญอย่างผ่อนคลายเลยมาโดยตลอด
“นี่มันเรื่องอันใดกัน”
“เห็นๆ อยู่ว่าตระหนักรู้จนหมดแล้ว กระบวนท่าใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์นี้ สำหรับข้าแล้วไม่มีส่วนใดที่สับสนอีก แต่เวลาที่สำแดงนั้นกลับสำแดงไม่ออกอยู่ตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง “ข้าดัดแปลงวิชากระบี่ที่ห้าผลาญโลกาให้ง่ายลงเรียบร้อยแล้ว กระบี่ที่หกผลาญโลกาก็หยั่งรู้ไปไม่น้อยแล้ว อ้างอิงจากความเร็วเช่นนี้ ไม่แน่ว่าพอหยั่งรู้กระบี่ที่หกผลาญโลกาแล้ว ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ นี้ก็อาจยังสำแดงออกมามิได้เช่นเดิม”
ดังเช่นศาสตร์ลับของวังทวีสูญ พอเรียนได้แล้วก็คือเรียนได้เลย!
แต่เห็นได้ชัดว่าวิชาโลกอนธการกระบวนท่าที่สองนี้ พอเรียนได้แล้วแต่กลับมิอาจสำแดงออกมาได้ อีกทั้งประมุขโลกอนธการผู้นั้นก็ยังมิได้อธิบายเอาไว้ในศาสตร์ลับด้วย
“หรือว่าข้าจะเข้าใจผิดเสียแล้ว เป็นไปไม่ได้ ด้วยความสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมของข้าแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดความผิดพลาดในระดับต่ำได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ “จะต้องมีปัญหาตรงไหนอย่างแน่นอน”
“ควรออกเดินทางได้แล้ว”
“ไปเมืองฉุนอวี้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสเล็กน้อย ภายในรัศมีสามสิบล้านลี้รอบด้านไม่มีผู้บำเพ็ญคนใดอยู่เลย
ฟิ้ว
โบกมือคราหนึ่ง
กลางเวหาเบื้องหน้ามีน้ำวนกาลมิติอันบิดเบี้ยวที่กินอาณาบริเวณร้อยจั้งปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ก้าวเข้าไปข้างใน เข้าสู่ช่องทางของน้ำวนกาลมิติแล้วเริ่มออกเดินทาง!
ในท้ายที่สุดดินแดนเก้าเมฆาก็กว้างใหญ่เกินไป หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์เลือกที่ตั้งของสำนัก ‘เขากระบี่สวรรค์’ ก็ย่อมเข้าใกล้หนึ่งในคูเมืองแห่งหนึ่งที่บรรพชนกฎฉุนอีสร้างขึ้นอย่างสุดกำลัง เขากระบี่สวรรค์นั้นนับได้ว่าอยู่ค่อนข้างใกล้กับเมืองฉุนอวี้แล้ว หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์จำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางแปดสิบล้านปีจึงจะมาถึงได้ ในดินแดนเก้าเมฆาก็นับได้ว่าระยะเวลาเดินทางแสนสั้นเป็นอย่างยิ่งแล้ว
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางผ่านน้ำวนกาลมิติก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว
เพียงสามร้อยปีให้หลัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบบริเวณสถานที่รกร้างไร้ซึ่งผู้คนแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ใช้การเคลื่อนที่ผ่านอากาศบินทะยานไปเป็นระยะเวลาหนึ่งจิบชาก็เห็นคูเมืองโบร่ำโบราณอันตระการตาที่อยู่ห่างออกไปแห่งหนึ่งคูเมือง ด้านบนมีแสงสีไหลวน นั่นก็คือรัศมีของค่ายกลนั่นเอง
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งแล้วบินมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง เพิ่งร่อนลงที่ปากประตูเมืองเพียงไม่กี่ก้าว ก็เคลื่อนที่ผ่านอาณาบริเวณของประตูเมืองออกมา ปากประตูเมืองก็มีรัศมีของค่ายกลโคจรอยู่เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มิได้ประสบกับการขับไล่ของคูเมืองที่เทพจักรวาลสร้างขึ้นแห่งนี้เลย
……………………………………….