Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 18 น้ำลดตอผุด
ตู้มมม…ทันใดนั้นจานมนตร์ทั้งหกที่กำลังพลิกหมุนอยู่ จานมนตร์สามใบที่ชั้นนอกสุดซึ่งไว้ใช้แปรเปลี่ยนเป็นแรงโจมตีก็มลายหายไป ยังมีจานมนตร์ดำมืดอีกสามแห่งในตอนแรกสุดอยู่ จานมนตร์ดำมืดทั้งสามนี้ ปกคลุมร่างไอหมอกทะมึนของเจ้าเมืองอมตะเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ก่อนจะพุ่งทะยานลงไปตามบันไดมิติอย่างรวดเร็ว แม้มีดบินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงปล่อยออกไปจะเข้าโจมตีจานมนตร์อันดำมืดทั้งสามนั้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่สามารถโจมตีให้แตกออกได้
เพียงพริบตาเดียว เจ้าเมืองอมตะก็ทะยานลงจากบันไดมิติ เมื่อมาถึงพื้นดินจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งดังลั่นว่า “นับถือๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้พบยอดฝีมือซึ่งความสามารถกดดันข้าได้ภายในขุมทรัพย์ พวกเรารามือกันแต่เพียงเท่านี้ ดีหรือไม่เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปแล้วแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง เขาหันมองไปทางประตูศิลาเบื้องหน้า ทันใดนั้นมีดบินประกายสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนก็โจมตีลงบนประตูศิลาตรงหน้าอย่างไม่ขาดสาย
“หยุดมือแล้ว”
“คนผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นี้ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่อีกหรือนี่” สตรีอาภรณ์เทา ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์และบุรุษผู้องอาจต่างพากันลอบตกใจเล็กน้อย แม้จะกล่าวว่าเจ้าเมืองอมตะเห็นท่าไม่ดีก็รีบถอยไป มิได้ห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายจนถึงที่สุดก็ตามที! แต่สถานการณ์นั้นชัดเจนมากว่า…เจ้าเมืองอมตะสำแดง ‘จานมนตร์อมตะ’ ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาออกมา แต่ก็ยังคงพ่ายแพ้จนต้องถอยหลังไป นี่ทำให้พวกเขาแต่ละคนระมัดระวังตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันมาก
แม้แต่ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ก็ยังลอบพึมพำว่า “ที่แท้แล้วพี่เฟยเสวี่ยมีความเป็นมาอย่างไรหนอ ต้องมิใช่อย่างที่เขาพูดเป็นแน่ เพิ่งจะเก็บตัวแล้วบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่ง ผู้ที่เพิ่งจะเก็บตัวแล้วบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งจะมีพลังแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ดูจากพลังของเขาแล้ว ไม่เหมือนกับผู้ทรงอำนาจคนใดในดินแดนเก้าเมฆาของเราเลย คงจะมาจากโลกภายนอก!”
โลกภายนอก
นั่นก็คือโลกทิพย์ทั้งสามหรือไม่ก็ลัทธิใหญ่ทั้งสอง นั่นมิใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรดินแดนเก้าเมฆาก็เป็นเพียงดินแดนเล็กๆ โลกทิพย์ทั้งสามและลัทธิใหญ่ทั้งสองมีผู้ที่มีพลังถึงเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าตั้งมากมายก่ายกอง…อย่างวังทวีสูญนั้นใช้กลยุทธ์เฟ้นหาผู้ที่เยี่ยมยอด จำนวนศิษย์ที่รับน้อยนิดยิ่งนัก แต่ผู้อาวุโสตำหนักในก็มีหลายสิบท่าน ซึ่งวังทวีสูญนั้นเป็นเพียงแค่สถานที่สำคัญภายใน ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในโลกทิพย์ทั้งสามเท่านั้นเอง
“ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ช่วยเหลือเขากระบี่สวรรค์ของเราเอาไว้ และยังช่วยชีวิตข้าด้วย” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์พึมพำ “ทว่าด้วยเบื้องหลังพลังเช่นเขา ในภายหน้าข้ารักษาระยะห่างกับเขาเอาไว้เสียหน่อยดีกว่า หากเข้าไปเกี่ยวพันกับการต่อสู้ระหว่างโลกทิพย์ทั้งสามและสองลัทธิใหญ่ ก็เกรงว่าร่างคงต้องแตก กระดูกคงต้องสลายไปในพริบตา”
……
“ตู้ม” ทันใดนั้นบุรุษผู้องอาจไกลออกไปกลับพลันสับขวานออกมา ในที่สุดก็ฟันทะลุประตูศิลาลงไปจนได้
ประตูศิลาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นทางเข้ามิติ
บุรุษผู้องอาจพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “สองคนลงมือ ข้ากลับแค่เสียเปรียบเล็กน้อยเท่านั้น เข้าไปก่อนล่ะ” พูดจบเขาก็เก็บขวานเล่มใหญ่ลงไป แล้วเดินเข้าไปตามทางเข้าของประตูศิลาก่อนจะหายวับไป
“ไปชั้นที่สองแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหัวใจบีบแน่นขึ้นมา มีดบินซึ่งมีเกราะพลหมุนเวียนอยู่เป็นจำนวนมากโจมตีต่อเนื่องกัน
ส่วนเจ้าเมืองอมตะก็กลับมายังปลายบันไดมิติของตนและโจมตีประตูศิลา แม้จะกำลังโจมตีอยู่ แต่กลับระแวดระวังทางตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ตลอดเวลา หากตงป๋อเสวี่ยอิงบุกสังหารเข้ามา เกรงว่าเขาก็คงจะรุดหนีไปทันที
“เฮอะๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรายตามองเจ้าเมืองอมตะที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ทว่ากลับมิได้สนใจแต่อย่างใด เขาโจมตีประตูศิลาต่อไป
ตู้ม…
ประตูศิลาถูกมีดบินกลุ่มหนึ่งแทงทะลุเสียงดังกัมปนาท เผยให้เห็นทางเข้ามิตินี้
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก้าวเข้าไปข้างใน รู้สึกเพียงว่ามิติเปลี่ยนแปรไป ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เบื้องหน้าคือทุ่งร้างผืนหนึ่ง
เหนือทุ่งร้างมีอุกกาบาตขนาดมหึมาอยู่เป็นจำนวนมาก อุกกาบาตแต่ละก้อนล้วนสูงราวร้อยลี้ ราวกับเนินเขาย่อมๆ ลูกหนึ่ง
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม” บุรุษผู้องอาจที่อยู่ไกลออกไปผู้้นั้นกำลังถือขวานเหล็กสีดำเล่มใหญ่เอาไว้ในมือ ร่างกายขยายใหญ่จนมีขนาดสูงราวร้อยจ้าง เขากำลังฟันฟาดอุกกาบาตเบื้องหน้าอย่างรุนแรง ตู้มๆๆ แต่ละครั้งที่ขวานฟันลงไปอย่างรุนแรง ก็แค่ทำให้อุกกาบาตส่วนหนึ่งแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง
แต่กลับหาทางเข้ามิติตอนที่เข้ามาไม่พบ ทว่านี่ก็เป็นเรื่องธรรมดานัก ทางเข้ามิติซึ่งเกิดจากประตูศิลาแต่ละแห่งระเบิดออกนั้นเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น! หลังจากเข้ามาแล้ว ทางเข้ามิติก็จะสลายหายไป
ดังนั้น…
ในขุมทรัพย์ชั้นที่หนึ่ง สามารถหนีออกไปทางประตูเจดีย์เทพได้
แต่ในชั้นที่สองหรือชั้นที่สามนั้น ล้วนต้อรอให้ครบสามวันเต็มจึงจะถูกย้ายออกไปได้
“เนินเขาอุกกาบาตนี้ช่างตัดยากเสียจริง” บุรุษผู้องอาจพูดเสียงดังกังวาน
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกเนินเขาอุกกาบาตลูกที่อยู่ใกล้ตนมากที่สุดตามอำเภอใจ ทันใดนั้นมีดบินจำนวนมากก็ปรากฏขึ้น เหนือมีดบินแต่ละเล่มล้วนมีเกราะพลไหลเวียนอยู่ มันแปรเป็นลำแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีบริเวณหนึ่งในนั้นจนสิ้น หลังจากเสียงดังกัมปนาทต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการแตกสลายขึ้นมาบ้าง และมีรอยยุบปรากฏขึ้นอย่างพอถูไถ เรื่องนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
ตามรายงาน จะต้องทำลายเนินเขาอุกกาบาตนี้จนหมด ทั้งยังต้องทำลายให้กลายสภาพเป็นผุยผงอีกด้วย! หากเพียงแค่แตกออกเป็นแปดส่วนสิบส่วนก็ไม่ได้ เมื่อกลายเป็นผุยผงจนสิ้นแล้ว ก็จะมีทางเข้ามิติปรากฏขึ้น และสามารถอาศัยมันเข้าไปยังขุมทรัพย์ชั้นสูงสุดอย่าง ‘ชั้นที่สาม’ ได้ ซึ่งสมบัติล้ำค่าที่เก็บอยู่ในชั้นที่สามนั้นก็ล้ำค่ามากทีเดียว
เป็นสมบัติล้ำค่าที่สำหรับจักรพรรดิเก้าเมฆาแล้วก็มีความสำคัญมาก โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่วางเอาไว้ในชั้นที่สามของเจดีย์เทพขุมทรัพย์แห่งหนึ่งก็มีเพียงแค่สองสามชิ้นเท่านั้น
ทว่าจะเข้าไปก็ยากเกินไปแล้ว
หากเพียงแค่ทำลายเนินเขาอุกกาบาตให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังง่ายกว่า แต่จะทำให้แหลกละเอียดกลายเป็นผุยผงอย่างสิ้นเชิงนั้น…ยากเกินไปแล้ว! โดยทั่วไปต้องเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจึงจะสามารถทำได้ หากเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง โดยทั่วไปพลังจะต้องถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเสียก่อนจึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้
แน่นอนว่า…
มิอาจทำได้ ก็ต้องได้อะไรมาบ้างเช่นเดียวกัน เพราะภายในเนินเขาอุกกาบาตแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่ามากมายแอบซ่อนอยู่! ระหว่างที่ทำลายเนินเขา ทำลายก้อนหินแต่ละก้อนให้แหลกละเอียดลงไปนั้น ก็จะค่อยๆ พบสมบัติล้ำค่า
“ฟิ้ว”
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังศึกษาเนินเขาอุกกาบาตนั่นเอง ภายในมิติของขุมทรัพย์ชั้นที่สองก็มีเงาร่างอีกสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือเจ้าเมืองอมตะนั่นเอง
……
“พวกเขาสามคนล้วนไปยังชั้นที่สอง เจ้าคิดจะไปบ้างหรือไม่” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ซึ่งยืนอยู่บนบันไดมิติพูดเสียงดังกังวาน
“เมื่อเข้าไปยังชั้นที่สองแล้ว ต้องรอสามวันจึงจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป คิดจะหนีก็ไม่มีที่ให้หนีได้ พวกเจ้าเมืองอมตะเข้าไปก็อาจจะพอมีหลักประกันว่าจะเอาชีวิตรอดได้ แต่พวกเราเข้าไปน่ะ จะเอาชีวิตไปทิ้งหรือไร” สตรีอาภรณ์เทาส่ายหน้า นางก็เป็นคนที่หยิ่งทะนงอย่างยิ่งคนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงต่อกรกับเจ้าเมืองอมตะแล้ว ก็เลือกที่จะไม่เข้าไปยังชั้นที่สองด้วยไหวพริบของตน
ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ยิ้มแล้วยิ้มอีก แต่กลับระมัดระวังขึ้นมา
เพราะเขาก็ไม่คิดที่จะไปยังชั้นที่สองเช่นกัน! เวลาสามวันต่อจากนี้ก็ต้องระวังสตรีอาภรณ์เทานางนี้แล้ว
******
ณ มิติชั้นที่สองของเจดีย์เทพขุมทรัพย์
หลังจากเจ้าเมืองอมตะเข้ามาแล้ว
“ตู้ม” บุรุษผู้องอาจซึ่งเดิมทียังกวัดแกว่งขวานเหล็กสีดำเล่มใหญ่ในมือก็พลันเก็บขวานเล่มใหญ่ลงไป เขาเหยียบพื้นเสียงดังสนั่น พื้นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง อานุภาพนี้ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งมีจิตคิดระวังอยู่ก่อนแล้ว ณ ที่ไกลออกไปสีหน้าเปลี่ยนแปรไปทันที เป็นพละกำลังที่น่าหวาดหวั่นนัก! นี่เป็นมิติเจดีย์เทพขุมทรัพย์ เพียงขาข้างเดียวก็ทำให้ทั้งผืนดินสั่นไหวได้แล้วหรือ พละกำลังนี้ย่อมเหนือกว่าตนอย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะเหนือกว่าเป็นสิบเท่า!
บุรุษผู้องอาจรวดเร็วเกินไปแล้ว ตงป๋อความเร็วนั้นเร็วอย่างยิ่งยวด เสวี่ยอิงปราดตามอง ความเร็วของอีกฝ่ายน่าจะเร็วกว่าตนสักห้าส่วนเลยทีเดียว!
“ยอดฝีมือโผล่มาจากไหนกันนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ เขาเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าบุรุษผู้องอาจต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่นี่ก็ออกจะเกินความคาดหมายไปหน่อยแล้ว
“แหลกละเอียดเสียเถอะ!”
แขนทั้งสองของบุรุษผู้องอาจซึ่งใหญ่หนาอย่างเห็นได้ชัดพลันเปล่งแสงสีทองอันสะดุดตาออกมา เหนือแขนแต่ละข้างมีรูปสลักสิ่งมีชีวิตอันอัปลักษณ์อยู่มากมาย ม่านตาของตงป๋อเสวี่ยอิงหดลง เขาจำได้แล้ว…รูปสลักสิ่งมีชีวิตอันอัปลักษณ์เหล่านี้ เป็นลักษณะของฝูงมารผลาญทำลายที่พรมแดนมิตินั่นเอง บนแขนแต่ละข้างของบุรุษผู้องอาจมีรูปสลักของฝูงมารผลาญทำลายอยู่ถึงแปดตนด้วยกัน ทำให้แขนทั้งสองของเขามีพละกำลังที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ามีแรงคุกคามอันแรงกล้า ฝ่ามือทั้งสองของเขาสวมชุดหมัดอาวุธเอาไว้ หมัดที่เปี่ยมพลังทั้งสองข้างชกเข้ามาอย่างดุเดือดพร้อมกัน ราวกับเสาสวรรค์สองต้นฟาดตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตายเสียเถอะ เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะยอมแพ้ง่ายๆ ถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง” เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าร่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง จานมนตร์ดำมืดทั้งหกปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แม้เมื่อครู่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เจ้าเมืองอมตะรามือย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น ก็เป็นเพราะบุรุษผู้องอาจลอบถ่ายเสียง
“หากเจ้าไม่ตาย พวกเราสองคนก็มิอาจสงบจิตใจได้” นัยน์ตาของบุรุษผู้องอาจเต็มไปด้วยแววบ้าคลั่ง “หากเจ้าตายแล้ว ไม้อสนีบาตสายทองก็จะเป็นของพวกเราสองคนแบ่งกัน”
ในเจดีย์เทพขุมทรัพย์ชั้นที่สอง ต่อให้ทำลายเนินเขาอุกกาบาตสามวันต่อเนื่องกัน แม้จะนำสมบัติล้ำค่าที่ได้มารวมเข้าด้วยกัน ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ไม้อสนีบาตสายทองได้!
………………………….