Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 23 เปิดประตูตำหนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงมีคลื่นอารมณ์อันแรงกล้า ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ฟื้นฟูความสงบเยือกเย็นกลับมาได้อย่างรวดเร็วยิ่ง เพราะผลลัพธ์เช่นนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว เป็นถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวคนหนึ่ง ต่อให้เข้าไปในชั้นที่สามของกรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาก็เกรงว่ายังยากที่จะนำสมบัติล้ำค่าจากไปได้
ก่อนหน้านี้ ข้อแรก เข้าสู่ชั้นที่สอง ต่อให้ไม่นึกอยากเข้าสู่ชั้นที่สาม ก็ต้องทำลายเนินเขาหินอุกกาบาตให้ได้มาซึ่งสมบัติล้ำค่า ข้อสอง ยังต้องมีโชคช่วยอีกด้วย
ถ้าพลาดก็คือชะตา ถ้าได้มาก็เป็นโชคดีของข้า! ถึงอย่างไรขุมทรัพย์เช่นนี้ ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งนึกอยากได้ก็เป็นความหวังที่เกินตัวอย่างแท้จริง
“บางทีอาจยังมีสมบัติล้ำค่าอันใดอยู่อีกก็เป็นได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่ภายในโถงตำหนักพลางมองตรวจตราเครื่องประดับตกแต่งทุกชิ้นอย่างละเอียด แม้กระทั่งแผ่นหินปูพื้นก็ตรวจตราอย่างละเอียดด้วย ก็ทำให้เขาค้นพบเครื่องประดับตกแต่งมูลค่าหลายร้อยศิลาปฐมโลกาหลายชิ้น แต่น่าเสียดายที่มิอาจเอาไปได้
“ปัง…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปถึงช่องประตูตำหนักแล้วลองเปิดประตูดู
ประตูตำหนักสีเทาเข้มปิดสนิท ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองแล้วก็มิอาจเปิดออกได้
หลังจากทดลองดูครั้งหนึ่งแล้วก็เดินกลับไปยังด้านข้างของบัลลังก์ไม้ทิพย์ภาพปีศาจ ก่อนจะตรวจดูบัลลังก์และค่ายกลปิดผนึกอย่างละเอียดแล้วเงยหน้าขึ้นมองค่ายกลที่รูปสลักเมฆดำบนผนังตำหนักสร้างขึ้น ดูว่าจะสามารถทำลายค่ายกลได้หรือไม่ จึงจะได้สมบัติล้ำค่ามา
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป…
สองชั่วยามผ่านไป…
“ค่ายกลของบัลลังก์ไม้ทิพย์ภาพปีศาจนั้นมิอาจตรวจตราได้ มีเพียงการใช้กำลังเท่านั้น พลังยุทธ์ไปถึงระดับขั้นที่สูงเพียงพอก็จะสามารถทำลายผนึกได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำพลางมองดูรูปสลักเมฆดำตรงหน้า “และรูปสลักเมฆดำนี้ เส้นสายลวดลายที่สลักเสลาชัดเจนอยู่ตรงหน้า สามารถมองเห็นได้แต่กลับลึกลับอย่างที่สุด… วิธีการที่จะตระหนักรู้ทะลุปรุโปร่งนั้น ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามชั่วยามก็ย่อมไม่มีความหวังอันใดอยู่แล้ว”
******
ณ ชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เทพขุมทรัพย์
หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์และหญิงสาวอาภรณ์เทามองดูอยู่ไกลๆ แล้วต่างก็เผยรอยยิ้ม พวกเขาสองคนเข้าใจกันโดยปริยาย แต่ก็มิได้ต่อสู้ประจันหน้ากันแต่อย่างใด เพียงเพราะว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีความมั่นใจ!หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์รู้แจ้งในพลังยุทธ์ของตนเป็นอย่างดี ส่วนหญิงสาวอาภรณ์เทาก็คิดว่า… สามคนตรงหน้านี้ต่างก็ล้ำเลิศอย่างยิ่ง และรั้งอยู่ที่ชั้นเดียวกันกับนางก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีลูกไม้บางอย่าง ก็ยังระวังตัวเอาไว้ก่อนดีกว่า
พวกเขาสองคนปลอดภัยไร้เรื่องราวมาจนกระทั่งถึงตอนนี้
“ไม่รู้เลยว่าน้องเฟยเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์เอ่ยพึมพำ “พวกเขาสามคนต่างก็อยู่ที่ชั้นที่สอง ถ้าหากต่อสู้กันขึ้นมาผลลัพธ์ก็ยากที่จะคาดเดาได้”
ครืน
ระลอกคลื่นห้วงมิติเคลื่อนเข้ามา ห่อหุ้มหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์และหญิงสาวอาภรณ์เทาเอาไว้ พวกเขาสองคนหายตัวไปกลางอากาศ
ผ่านไปสามวันเต็ม พวกเขาสองคนก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไป
……
ณ ชั้นที่สองของเจดีย์เทพขุมทรัพย์
เจ้าเมืองอมตะและบุรุษผู้องอาจต่างก็โจมตีเนินเขาหินอุกกาบาตตรงหน้าอย่างสุดกำลัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใกล้ถึงเวลาแล้ว เจ้าเมืองอมตะเอ๋ย โชคของเจ้าคราวนี้มันธรรมดาทั่วไปเสียแล้วสิ” บุรุษผู้องอาจพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “อย่างน้อยข้าก็ได้มาไว้ในมือแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเพิ่งจะได้สมบัติล้ำค่ามาเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นเองนี่”
เจ้าเมืองอมตะสีหน้าเยียบเย็น
คราวนี้โชคไม่ดีเอาเสียเลย เพิ่งจะลงมือจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกกดดันเสียแล้ว นี่เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงจงใจซ่อนเร้นพลังยุทธ์ ต่อมาใช้แรงงานอย่างยากเข็ญอยู่เป็นเวลากว่าสองวัน สมบัติล้ำค่าล้วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไปหมด ยังดีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สังหารเขา สามชั่วยามที่เหลืออยู่… เขากับบุรุษผู้องอาจต่างก็กำลังโจมตีเนินเขาหินอุกกาบาต
บุรุษผู้องอาจได้สมบัติล้ำค่ามาสามชิ้น มูลค่ากว่าพันศิลาปฐมโลกา
แต่เจ้าเมืองอมตะกลับได้มาเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น มูลค่าก็เพียงแค่สองร้อยกว่าศิลาปฐมโลกาเท่านั้น! เป็นเพียงแค่สองสามส่วนของสมบัติล้ำค่าบนตัวเขาก่อนจะมาที่นี่เท่านั้นเอง
“คนชุดขาวผู้นั้นช่างโชคดีเสียเหลือเกิน ได้เข้าไปยังชั้นที่สามแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้สมบัติล้ำค่ายิ่งใหญ่อันใดมาแล้วก็เป็นได้” เจ้าเมืองอมตะยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งรู้สึกว่าการเข้ามาในขุมทรัพย์จักรพรรดิเก้าเมฆาครั้งนี้นั้นสู้ไม่มาเสียดีกว่า!
ครืน!
ระลอกคลื่นห้วงมิติมาถึง
บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะก็ถูกเคลื่อนย้ายส่งตัวออกไปเช่นกัน
******
ท่ามกลางความมืดมิด
มีเงาร่างสายหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างกายโอนเอนน้อยๆ นัยน์ตาทั้งคู่มองดูเบื้องหน้าอย่างรางๆ
กลางอากาศตรงหน้ามีจอภาพปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือจอภาพภายในโถงตำหนักอันโบร่ำโบราณอันหนึ่ง
ภายในนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างกำลังเงยหน้ามองรูปสลักเมฆดำอยู่
“เจ้าเด็กผู้นี้…”
“ช่างเยาว์วัยเสียเหลือเกิน! ดูจากกลิ่นอายวิญญาณของเขาแล้วระยะเวลาในการบำเพ็ญช่างสั้นนักก็มาถึงพลังยุทธ์เช่นนี้แล้ว พูดถึงศักยภาพในการหยั่งรู้ก็นับได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่เข้ามาในกรุขุมทรัพย์เลยทีเดียว” นัยน์ตาของเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทอประกายจางๆ
ที่จริงแล้ว
ว่ากันซึ่งหน้าถึงศักยภาพในการหยั่งรู้ ที่วังทวีสูญ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่สำเร็จพลังรบระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้รวดเร็วที่สุด!
แน่นอนว่าดังเช่น ‘จอมกระบี่’ นั้น การหยั่งรู้ก็มิได้ด้อยไปกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเลย ถึงแม้ว่ายามที่จอมกระบี่มาถึงวังทวีสูญก็บำเพ็ญไปเกินครึ่งยุคจักรวาลแล้ว แต่ทว่า… นั่นต่างก็เป็นการบำเพ็ญในจักรวาลภูมิลำเนา มิได้มีทรัพยากรที่ดี มิได้มีตำรามากมายให้พลิกอ่าน เป็นการทุ่มเทบำเพ็ญของตนเองล้วนๆ ก็มาถึงระดับขั้นอลวนแล้ว
พอมาถึงวังทวีสูญ หลังจากการพลิกอ่านตำราและการปลีกวิเวก ก็เหยียบย่างเข้าสู่สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดโดยตรง!
การหยั่งรู้พรรค์นี้ ถ้าหากเข้ามายังวังทวีสูญ อย่าว่าแต่ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวเลย กลัวว่าแม้แต่การเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนก็จะสามารถทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น!
แต่ว่า…
ไม่ว่าจะเป็นจอมกระบี่หรือว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ต่างก็นับได้ว่ามีพรสวรรค์ในการหยั่งรู้อันสูงส่งเป็นที่สุด ผู้ที่มาถึงดินแดนเก้าเมฆาแล้วสามารถเข้าสู่ขุมทรัพย์จักรพรรดิเก้าเมฆาได้นั้นย่อมมีอยู่ไม่มากนัก ผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับตงป๋อเสวี่ยอิงได้ก็ไม่มีอยู่เลยจริงๆ! ถึงแม้ว่าจะเคยมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเข้าไปมาก่อนแล้ว ทว่านั่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเฒ่าชราที่บำเพ็ญมาตั้งไม่รู้เนิ่นนานเท่าใดแล้ว นึกอยากจะยกระดับอีกสักเล็กน้อยก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“ศักยภาพในการหยั่งรู้สูงส่งยิ่งนัก” เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่เอ่ยเสียงต่ำ “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมิใช่เบี้ยล่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์! และมิได้ถูกจอมมารดาควบคุม”
“ดีมาก”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรูปสลักเมฆดำบนผนังตำหนักตรงหน้า ในใจรับสัมผัสได้รางๆ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ระยะเวลาสามวันหมดลงแล้ว
“น่าเสียดายที่มาถึงกรุขุมทรัพย์ชั้นที่สาม ได้เห็นสิ่งล้ำค่าแล้ว แต่กลับมิอาจนำไปได้เสียนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “แต่คิดคำนวณดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว การมาที่เจดีย์เทพขุมทรัพย์ในครั้งนี้ก็ได้กำไรมหาศาลทีเดียว”
“หืม”
ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดวาบผ่าน ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัยพลางมองไปทั้งสี่ทิศรอบด้าน “เหตุใดจึงไม่มีความเคลื่อนไหวเลยเล่า”
อ้างอิงจากข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ พอครบสามวันแล้วก็จะเคลื่อนย้ายตนออกไปในทันที
ด้วยระดับขั้นของตนนั้นก็สามารถรับสัมผัสเวลาได้อย่างแม่นยำยิ่ง ระยะเวลาสามวันเต็ม! แต่ระลอกคลื่นห้วงมิติไม่มาอย่างนั้นหรือ
“ครืนนน…” ไกลออกไปประตูตำหนักที่ทดลองเปิดดูก่อนหน้านี้กลับถูกผลักเปิดออกเสียงดังครืน
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง “ประตูเปิดแล้วหรือ”
เขาเดินตรงไปทางช่องประตูตำหนักอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอันตรายเลย ลูกไม้ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาเหลือทิ้งเอาไว้จะฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ คาดว่าคงจะสามารถฆ่าได้โดยง่าย ไม่จำเป็นต้องสำแดงเล่ห์กลแต่อย่างใดเลย !
สามวันเต็มๆ แล้วแต่ตนเองก็ยังมิได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไป ประตูตำหนักนี้ก็ยังเปิดออกแล้วอีกด้วย
ด้านนอกประตูตำหนักนั้นเป็นเฉลียงทางเดินอันกว้างขวางเส้นหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูสองข้างทาง ทั้งสองข้างทางต่างก็ค่อนข้างลึกและเงียบงัน เห็นได้ชัดว่านี่คือวังขนาดใหญ่โตแห่งหนึ่ง โถงตำหนักด้านหน้านั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในนี้เท่านั้น
“ที่นี่คือที่ไหนกัน ไม่ได้พูดกันอยู่ว่าขุมทรัพย์ชั้นที่สามก็คือภายในโถงตำหนักหรอกหรือ ตอนนี้ข้ามาถึงด้านนอกของโถงตำหนักแล้วดูเหมือนว่าที่นี่จะใหญ่โตยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบประหลาดใจแล้วสุ่มเลือกเดินไปยังทิศทางหนึ่ง แล้วก็เดินผ่านโถงตำหนักอื่นๆ ที่ปิดผนึกอยู่จำนวนหนึ่ง ถึงแม้ว่าบริเวณไกลออกไปจะมีลานโล่งแจ้งอยู่แห่งหนึ่ง ตรงกลางลานโล่งมีเตาไฟขนาดใหญ่สีแดงเพลิงติดตั้งอยู่อันหนึ่ง เตาไฟขนาดใหญ่สีแดงเพลิงมีกลิ่นอายอันปั่นป่วนพวยพุ่ง กลิ่นอายมีลักษณะราวกับวิหค แรงกดดันของกลิ่นอายนั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก แรงกดดันนี้ไปถึงระดับเดียวกับบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เลยทีเดียว
……………………………………