Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 3 ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว
ทิวเขายาวต่อเนื่อง ต้นไม้ละลานตา
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นที่โลกชั้นนี้ เขายืนมองโลกชั้นนี้อยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง นี่คือโลกชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาว ตอนที่ตนเป็นเทพอากาศขั้นกำเนิดก็ต่อสู้อยู่ที่ชั้นนี้
“มาแล้ว” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปกลางอากาศไกลออกไป
“ฟิ้วๆๆ” บริเวณส่วนลึกของภูเขามีลำแสงสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนสายแล้วสายเล่าลอยออกมา ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่จุดหนึ่งกลางอากาศไกลออกไป ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่สวมชุดเกราะสีแดงโลหิตตนหนึ่ง ผิวหนังของเขาดำทะมึน ตลอดร่างดูเหมือนหลอมขึ้นมาจากโลหะสีดำ แต่มีเส้นผมสีดำทั่วหนังศีรษะ เส้นผมสีดำถักเป็นเปียกว่าร้อยเส้น
สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตเอียงศีรษะเล็กน้อย ตาเดี่ยวนัยน์ตาสีเทามองสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิง“พลังยุทธ์ยกระดับแล้วหรือ ในที่สุดก็กล้ามาท้าประลองข้าอีกครั้งแล้วสินะ”
ระลอกกลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมาทำให้กฎเกณฑ์ฟ้าดินบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ดูคล้ายว่าเขามีชีวิตขึ้นมาเพื่อบดขยี้ทำลายทุกสรรพสิ่ง
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้ามาจากแห่งหนใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“เจ้าไม่มีสิทธิ์หรอก” สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ยอมรับความตายเสียเถิด”
ปัง!
ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดระลอกคลื่นอันน่าหวั่นเกรงออกมา ระลอกคลื่นพลันกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทาง ระลอกคลื่นทุกสายต่างก็แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายอันร้ายกาจ ตามการกวาดผ่านของระลอกคลื่น ดูเหมือนไม่มีการโจมตีใดๆ แต่ดอกไม้ใบหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนบนภูเขากลับเหี่ยวเฉาในทันใด ใบไม้บนต้นไม้ก็เหี่ยวแห้งร่วงโรยจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว โลกชั้นนี้พลันแปรเปลี่ยนเป็นแดนสังหารอันเยียบเย็น
ทว่ายามที่ระลอกคลื่นกวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นกลับถูกขัดขวางเอาไว้ตั้งแต่ระยะห่างพันลี้ เมื่อเทียบกันแล้วอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แกร่งกว่าอยู่มากโข
“น่าสนุก ยิ่งมาก็ยิ่งน่าสนุกแล้ว” สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตรู้สึกว่าแผนที่วางมาแต่เดิมนั้นไร้ประโยชน์จึงล้มเลิกไปในทันทีแล้วตัดสินใจบุกสังหารซึ่งๆ หน้า!
พรึ่บ
เขาหายตัวไปกลางอากาศ
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยืนอย่างนิ่งสงบอยู่บนยอดเขาเช่นเดิม แต่ว่ารัศมีพันลี้รอบตัวเขาพลันตกอยู่ในความมืดมิดเงียบงัน ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็หันหน้ามองไปทางทิศหนึ่ง ณ ตำแหน่งไกลออกไปพันลี้ก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตที่เคลื่อนที่ในพริบตาเข้ามาบุกสังหาร ตอนนี้เขาอยู่ในอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงแม้ว่าจะยังสามารถฝืนเคลื่อนไหวได้ แต่ว่าความเร็วกลับเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้ความกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์เกรงว่าจะสามารถสำแดงพลังยุทธ์ออกมาได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น
“ตายซะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกคิด
“พรึ่บ”
โลกดำมืดในรัศมีหมื่นลี้แห่งหนึ่งเคลื่อนมาจากกลางภาพมายาแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความจริง จากนั้นก็ดูดกลืนพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ อย่างบ้าคลั่งในทันใด
สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตมองดูโลกดำมืดในบริเวณโดยรอบที่เคลื่อนเข้ามา โลกดำทะมึนใบนี้เต็มไปด้วยความเงียบงัน แต่สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตสามารถรู้สึกได้ว่า… เบื้องหลังของความเงียบงันเช่นนี้หล่อหลอมพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นหาใดเทียมเอาไว้ นี่ทำให้เขาอดที่จะหน้าถอดสีมิได้ เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้เจ้าเด็กตรงหน้าผู้นี้เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วก็ตาม การที่จะโจมตีเขาก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่ตอนนี้ดูแล้วผิดถนัดเลยทีเดียว
“คราวก่อนเห็นว่าเขายังเป็นขั้นกำเนิด เขาเพิ่งจะบรรลุได้นานสักเท่าใด ก็สามารถบุกสังหารข้าได้อย่างง่ายดายแล้วหรือ ผู้อาวุโสแห่งวังทวีสูญมิได้บำเพ็ญอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้หรอกกระมัง” สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตคำรามเสียงต่ำพลางพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความรวดเร็วอย่างไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง แต่ความเร็วของเขาในตอนนี้เชื่องช้ามากอย่างแท้จริง
โลกดำมืดที่อยู่ล้อมรอบสิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตหดเล็กลงอย่างฉับพลัน! ยามที่หดเล็กลงถึงหนึ่งร้อยเมตร ก็คล้ายกับว่าฟองอากาศขนาดใหญ่ฟองหนึ่งห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตที่กำลังพยายามเหินบินเอาไว้ตรงกลาง
โพละ!
ฟองอากาศอนธการระเบิดออก พลังผลาญทำลายโลกรวมตัวกันอยู่บนร่างของสิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตจนหมดสิ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเอาเป็นเอาตาย จากนั้นก็แหลกสลายไปจนหมดสิ้น ทว่ายามที่แหลกสลายนั้นกลับเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงโลหิตทะลวงเข้าไปกลางทิวเขายาวต่อเนื่องเช่นเดิม
“ไปชั้นที่ห้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรถ้าดูจากประสบการณ์ของประมุขโลกอนธการ เคล็ดวิชาฟองอากาศอนธการก็เพียงพอสำหรับการผ่านชั้นที่ห้าได้แล้ว การจัดการกับชั้นที่สี่นั้นก็ย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
……
ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวมีความหมายพิเศษเป็นอย่างมาก ผ่านชั้นนี้ไปก็เท่ากับว่าพลังยุทธ์ไปถึงธรณีประตูของขั้นอลวนแล้ว แสดงถึงว่าแทบจะไร้ซึ่งศัตรูในขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว! สำหรับการบุกผ่านชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ดน่ะหรือ นั่นล้วนเคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อนแล้ว ณ ตอนนี้ในยุคปัจจุบัน ไม่มีขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่หกนั้นก็น้อยจนสามารถนับนิ้วได้! ความเป็นไปได้ที่จะพบพานนั้นยังน้อยกว่าการพบเจอเทพจักรวาลเสียอีก!
ที่วังทวีสูญ ขั้นรวมเป็นหนึ่งที่บุกผ่านชั้นนี้ได้ก็เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว
“บุกผ่านชั้นนี้จึงจะสามารถล่วงรู้ถึงความลับที่ซ่อนเร้นเอาไว้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางบริเวณรกร้างทุรกันดารแห่งหนึ่ง ท่ามกลางความรกร้างนั้นมีงูสายฟ้าสายแล้วสายเล่าฟาดลงบนพื้นส่งเสียงเปรี้ยงปร้างอยู่ตลอดเวลา แต่สายฟ้าเหล่านี้ไปรวมตัวกันอยู่ที่พื้นที่แห่งหนึ่งในบริเวณไกลออกไป ทว่าบริเวณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นี้กลับเงียบสงบ
“ที่แท้แล้วคือความลับอันใดกัน ท่านอาจารย์กู่ฉีของข้าก็ไม่ยอมบอกข้าเสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงฉงนใจ
“ใกล้แล้ว”
“โจมตีคู่ต่อสู้ในชั้นนี้แล้วข้าก็จะได้รู้แล้วสินะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งหน้าตั้งตารอคอย
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงมายังบริเวณไกลออกไปอย่างดุเดือด ลำแสงสีแดงโลหิตจำนวนมากบนพื้นดินพรั่งพรูมาบรรจบกันแล้วรวมตัวกันกลายเป็นผู้แกร่งกล้าในชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่ง เขามีแขนสี่ข้าง มีผิวหนังสีเงินยวง รูปร่างสูงใหญ่ มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเย็นชา
“คนเดียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
อ้างอิงจากประสบการณ์ของเขา ชั้นที่หนึ่งของเจดีย์ดาวคือสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาตนหนึ่ง ชั้นที่สองคือศัตรูในชุดเกราะสีเทาสิบคน ชั้นที่สามคือศัตรูในชุดเกราะสีเทาร้อยคน! ชั้นที่สี่คือศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่ง ชั้นที่ห้าก็ยังคงเป็นเพียงศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่งเช่นเดิมอย่างนั้นหรือ แต่รูปลักษณ์ก็ย่อมไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ ฆ่ามัน!” ทว่าผู้แกร่งกล้าสี่แขนผิวหนังสีเงินยวงในชุดเกราะสีแดงโลหิตผู้นี้กลับคร้านที่จะเปลืองน้ำลาย เขาจึงลงมือในทันที
พรึ่บ
เขาเคลื่อนที่ในพริบตามาเฉียดใกล้รัศมีพันลี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ก็ถูกอาณาเขตกฎเกณฑ์บีบให้ปรากฏกายเช่นเดียวกัน ภายในอาณาเขตกฎเกณฑ์อันเงียบสงัดดำมืด สีหน้าของผู้แกร่งกล้าสี่แขนผู้นี้ไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงบินทะยานมาด้วยความเร็วสูงเช่นเดิม! ความเร็วในการบินทะยานของเขารวดเร็วเกินไปแล้ว ภายใต้การกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ก็ยังคงพุ่งมาถึงข้างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงในชั่วพริบตาเช่นเดิม
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงด้วยเหตุนี้แล้วเคลื่อนที่ในพริบตา เพราะถึงแม้ว่าจะมีการกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ แต่ความเร็วในการเหินทะยานของเขาก็ยังสู้อีกฝ่ายมิได้อยู่ดี! ทำได้เพียงแค่เคลื่อนที่ในพริบตาหลบเลี่ยงไป
สำหรับการต่อสู้ประชิดตัวนั้นหรือ
ความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวของเขาในตอนนี้ ยังมิอาจเทียบชั้นกับวิชาโลกอนธการได้เลย ไม่ว่าจะเป็นระบบผู้ท่องอากาศ วิถีเข่นฆ่า หรือวิถีระลอกคลื่น ต่างก็ยังไปไม่ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ชั่วคราว เกรงว่าคงจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ประชิดตัวอย่างรวดเร็วยิ่ง
“แคว่กกก” ในขณะที่ผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตพุ่งมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเอง แขนสี่ข้างที่ยื่นออกมาพร้อมกันพลันฉีกขาด แม้กระทั่งอากาศก็ยังถูกฉีกทึ้งจนกระจุยกระจาย เงารางที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือทิ้งเอาไว้ก็แตกกระจายไปด้วย
แต่ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเคลื่อนที่ในพริบตาอยู่ในฟ้าดินโลกเทียม นอกจากนี้เคล็ด ‘ฟองอากาศอนธการ’ ก็สำแดงออกมาในทันใด
ฟิ้ว!
ฟองอากาศอนธการเคลื่อนเข้ามา โลกอนธการแห่งหนึ่งเคลื่อนมาจากภาพมายา นอกจากนี้ยังแปรเปลี่ยนเป็นความจริง ทั้งยังหดเล็กลงอย่างฉับพลัน พลังฟ้าดินมารวมตัวกันอย่างปั่นป่วน ถึงแม้ว่าผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตจะบุกไล่สังหารตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเร็วสูง แต่ ‘ฟองอากาศอนธการ’ ก็ยังห่อหุ้มเขาเอาไว้เช่นเดิม นอกจากนี้ หลังจากที่หดเล็กลงอย่างฉับพลันแล้วก็ระเบิดออกในทันที ตู้ม! พลังทำลายล้างภายในฟองอากาศมารวมตัวกันอยู่บนร่างของคู่ต่อสู้จนหมดสิ้น
ผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตสะดุ้งเล็กน้อย เพราะร่างกายของเขาถูกระเบิดออกจนเกิดบาดแผลจำนวนมาก แต่ภายใต้การโคจรของลำแสงสีแดงโลหิต บาดแผลของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ
“สามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้ด้วยหรือ” ผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตคำรามเสียงต่ำอย่างแฝงไว้ด้วยความเดือดดาลเสียงหนึ่ง ยามที่เคลื่อนที่ในพริบตาเฉียดเข้าใกล้ตงป๋อเสวี่ยอิงในระยะพันลี้ ความเร็วของเขาก็พุ่งพรวดขึ้นอีกครั้ง บุกสังหารไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเร็วสูงเช่นเดิมท่ามกลางอาณาเขตกฎเกณฑ์ สำหรับการเคลื่อนที่ในพริบตานั้น…สุดท้ายระบบผู้ท่องอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมิได้บรรลุไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง การเคลื่อนที่ในพริบตาก็ยังสู้อีกฝ่ายมิได้
“เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้นเองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ถึงภัยคุกคามของเคล็ด ‘ฟองอากาศอนธการ’ นี้กระจ่างดี
“เช่นนั้นก็มาเถิด” นัยน์ตาทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงเยียบเย็น หลังจากที่ฝึกฝนศาสตร์ลับศาสตร์นี้แล้ว ในที่สุดเขาก็สำแดงออกมาอย่างสุดกำลัง
ปังๆๆๆๆๆ!!!!!!
โลกดำมืดแห่งหนึ่งเคลื่อนมาจากภาพมายา หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโลกดำมืดแห่งหนึ่งห่อหุ้มโลกดำมืดชั้นหนึ่งตรงหน้าเอาไว้ โลกอนธการแห่งที่สาม โลกอนธการแห่งที่สี่…
โลกดำมืดทั้งหมดหกแห่ง โลกหนึ่งห่อหุ้มอีกโลก
พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นความจริงแล้วต่างก็ดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง นอกจากนี้ต่างก็หดเล็กลง จนในที่สุดก็กลายเป็นฟองอากาศหกฟอง จากเล็กเป็นใหญ่ แต่ละฟองล้วนห่อหุ้มศัตรูเอาไว้
โพละ! โพละ! โพละ! โพละ! โพละ! โพละ!
ฟองอากาศอนธการหกฟองพากันแตกระเบิด
ด้วยความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการจะสำแดงเคล็ดวิชาอันซับซ้อนเช่นนี้ ก็สามารถทำได้เพียงแค่สร้างโลกอนธการหกโลกออกมาในเวลาเดียวกัน มากกว่านี้ก็จะเกินกว่าขีดจำกัดของตนแล้ว ฟองอากาศอนธการหกฟองระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง พลังคุกคามทำงานบนร่างศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตของชั้นที่ห้าผู้นี้อย่างหนักหน่วง…
………………………………….