Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 33 จิตข้าคือจิตฟ้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งในดินแดนเก้าเมฆา อาณาเขตของเขาปกคลุมได้กว้างใหญ่พอที่จะมองดูฉากความขุ่นข้องหมองใจและความเกลียดชังฉากแล้วฉากเล่าอยู่ไกลๆ
มีอยู่สองเผ่าที่กำลังรบราฆ่าฟันกันเพื่อวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้น
ทั้งยังมีมารที่กำลังสังหารเอาพื้นที่รวบรวมดวงวิญญาณหลายล้านดวงเพียงเพื่อบำเพ็ญเคล็ดวิชาลับอันชั่วร้าย บริเวณที่รวบรวมซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนและความคับข้องใจ… มีมารอยู่เพียงตนเดียวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตามลำพัง ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งตามทางเดินมิติที่ฉีกขาดแล้วพบภาพเหตุการณ์นี้เข้า เขาก็สำแดงแผนภาพคลื่นจานมาห่อหุ้มอีกฝ่ายเอาไว้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ภายใต้อาณาเขตของแผนภาพคลื่นจาน สองมือที่น่าหวาดกลัวของมารตนนั้นก็ขยับโบกอย่างขันแข็งหมายจะหลบหนี แต่เขาที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่สองของเจดีย์ดาว ยามที่อยู่ต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่มีแรงต่อกรเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายก็ถูกระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนกดดันร่างกายอย่างหนักหน่วงจนตายทั้งเป็น
“หึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางในดินแดนเก้าเมฆาต่อไป
……
ดูภาพเหตุการณ์ในแต่ละที่จนในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดมากมายมหาศาลพรั่งพรู
“หา นายน้อยฝูอี้หรือ”
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“เทพอากาศหรือ นายน้อยเขากลายเป็นเทพอากาศแล้วอย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้าเบื้องบนพลางมองลงมายังเขตแดนของนครแห่งหนึ่งเบื้องล่าง
สถานะที่สูงส่งที่สุดในนครแห่งนี้คือผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่ง สามารถกลายเป็นเทพอากาศได้ ก็นับว่าเป็นระดับสูงที่แท้จริงของนครแห่งนี้แล้ว ชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับมา ทำให้ทั้งตระกูลปั่นป่วนขึ้นมา
ภายในตระกูลมีเทพอากาศท่านหนึ่งถือกำเนิดขึ้น ทำให้สถานะของตระกูลยกระดับขึ้นมาอย่างมหาศาล
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูอยู่อย่างเงียบๆ ดูมาเป็นเวลาสามวันเต็มๆ แล้ว
มองดูนายน้อยท่านนี้กลายเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสพิทักษ์นครภายใต้บังคับบัญชาของ ‘ผู้ครองนคร’ สถานะของตระกูลยกระดับขึ้นมาอย่างมหาศาล อาณาเขตที่ตระกูลครอบครองภายในนครแห่งนี้ใหญ่กว่าในอดีตกว่าสิบเท่า ทรัพยากรในการบำเพ็ญของชนเผ่าก็ยกระดับขึ้นมาอย่างมหาศาล
“หนึ่งคนคุ้มกันหนึ่งครอบครัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเบาทุ้มต่ำ “ต่อสู้เพื่อสมบัติล้ำค่า ต่อสู้เพื่อการล้างแค้น สังหารเพื่อการบำเพ็ญ เหล่ามารอารมณ์ดีก็สังหาร อารมณ์ไม่ดีก็สังหาร…ผู้ที่โชคร้ายที่สุดก็คือผู้อ่อนแอไปตลอดกาล แม้กระทั่งควันหลงจากการต่อสู้ของผู้แกร่งกล้าก็ยังสามารถสังหารผลาญพวกเขาได้อย่างง่ายดาย”
“ถ้าหากผู้แกร่งกล้าปรารถนา หนึ่งคนก็สามารถคุ้มกันหนึ่งครอบครัวได้อย่างง่ายดาย”
“ถ้าหากเอาแต่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว มองดูผู้อ่อนแอถูกเข่นฆ่าด้วยสายตาเย็นชา…มารจำนวนนับไม่ถ้วนเหิมเกริม ผู้บำเพ็ญของระบบเหล่ากลืนกินจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนกินกันตามอำเภอใจ เกรงว่าเพียงไม่นานผู้อ่อนแอที่มีอยู่ทั้งหมดในอากาศอันสับสนอลหม่านและมหาโลกทิพย์ทั้งห้าก็คงจะพากันตายไปจนเกือบหมดสิ้นเลยกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงต่ำ
แต่ละคนต่างก็เก็บมือไม้ยืนดูเฉยๆ คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ผลลัพธ์ก็คือผู้อ่อนแอตายกันจนหมดสิ้น
เดินทางไปทั่วทุกหนแห่ง
เตร็ดเตร่อยู่ภายในดินแดนเก้าเมฆาเป็นระยะเวลาทั้งสิ้นกว่าสามปี
พรึ่บ
ห้วงมิติบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปในห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวนั้นแล้วไปจากดินแดนเก้าเมฆา
……
ณ จักรวาลภูมิลำเนา
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกของจวนจ้าวทะเลหมอกดำตงป๋อ
เขามองดูจวนของตนเอง ภรรยากำลังจิบชาอยู่ตามลำพัง บนโต๊ะยังมีกระบี่เทพอันคมกริบวางอยู่อีกด้วย
ตอนนี้อวี๋จิ้งชิวก็ฝึกฝนกระบี่อยู่เป็นประจำ
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างก็อยู่ภายในจวน กำลังฝึกฝนและทดสอบอยู่ในห้องลับบางแห่งภายในจวน
“พรึ่บ”
ความตระหนักรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแผ่ปกคลุมทุกหนแห่งในจักรวาลภูมิลำเนาในทันที
โลกวัตถุ หุบเหวลึกดำมืดและโลกเทพ… ดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนอยู่ภายใต้การตรวจสอบของตงป๋อเสวี่ยอิง ในบรรดาเหล่านั้นมีผู้ที่เขาคุ้นเคย แม้กระทั่งเพื่อนสนิทมิตรสหาย ทั้งยังมีคนแปลกหน้าอีกด้วย
พวกเขามีทั้งเด็กๆ ที่พูดเสียงเจื้อยแจ้ว มีหนุ่มวัยเยาว์ที่บำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งมาตั้งแต่เล็ก มีคุณชายตระกูลร่ำรวยจอมเสเพล มีชายชราหญิงชราผมขาวโพลน แน่นอนว่านอกจากบรรดามนุษย์ธรรมดาเหล่านี้แล้วยังมีผู้บำเพ็ญอยู่อีกมากมาย… พวกเขาหยั่งรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน อยู่บนเส้นทางของการบำเพ็ญ…
“ผู้ใดก็ไม่อยากทำลายทั้งหมดนี้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ภายใต้การสำรวจดินแดนเก้าเมฆาอย่างตั้งใจตลอดสามปีมานี้ ถึงขนาดที่จงใจตามระลอกคลื่นไป เขาได้เห็นการต่อสู้มามากมายเหลือเกิน ภาพเหตุการณ์ของการทำลายล้างทั้งชนเผ่าจำนวนมากมาย… มีบ้างที่ยามที่เขามาถึง การต่อสู้ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ดังนั้นกลับมายังบ้านเกิด เขาก็เกิดความกังวลใจว่าบ้านเกิดของเขาจะเผชิญกับทั้งหมดนี้เช่นกันโดยสัญชาตญาณ
ถึงแม้ว่าจักรวาลจะแกร่งกล้า แต่สุดท้ายก็สามารถถูกทำลายล้างได้อยู่ดี อย่างเช่นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่แข็งแกร่งมากสักหน่อยต่างก็สามารถทำลายล้างจักรวาลสักแห่งหนึ่งได้ด้วยกันทั้งสิ้น
อันตรายมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง…
ไม่ต้องพูดถึงจักรวาลเลย อย่างโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมในตอนแรกก็ยังถูกทำลายในท้ายที่สุด ด้วยเหตุนั้นสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจำนวนนับไม่ถ้วนก็เกือบจะถูกทำลายล้างไปจนหมดสิ้น
“มีกำลัง ก็ต้องยืนขึ้นมาสิ” สองตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งประกาย
“ถึงแม้ว่าอ่อนแอแล้วจะเป็นความผิด ก็มิได้เป็นโทษถึงตายเสียหน่อย!”
“เพราะว่าผู้แกร่งกล้าทุกคน ต่างก็มาจากผู้อ่อนแอ แล้วพัฒนาขึ้นมาทีละก้าวๆ กันทั้งนั้น”
“ผู้อ่อนแอจำเป็นต้องได้รับการคุ้มกัน”
“และจำเป็นต้องเป็นผู้แกร่งกล้าที่ยืนหยัดขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูท้องฟ้าพร่างพรายดาวอันกว้างใหญ่ การรับรู้แผ่ปกคลุมสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน “ผู้แกร่งกล้าไม่ยืนหยัดขึ้นมา แล้วผู้ใดจะยืนหยัดขึ้นมากันเล่า”
“มีกำลังความสามารถ ก็ต้องมีภาระความรับผิดชอบด้วยสิ”
“ภาระความรับผิดชอบในการปกป้องผู้อ่อนแออย่างไรเล่า”
ระดับจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นด้วยเช่นกัน
ในอดีตเขาคิดว่าการคำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนนั้นมิใช่เรื่องผิด แต่ตอนนี้แนวคิดของเขาแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว ยามที่ได้เห็นมือกระบี่มารหนีเอาชีวิตรอด เส้นทางที่ผ่านไปโดยมิได้ตั้งใจนำไปสู่การที่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนถูกผลกระทบจนตาย ถึงแม้ว่ามือกระบี่มารจะไม่เคยใส่ใจเลย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกรบกวนจิตใจ การสำรวจตลอดสามปีมานี้ ทำให้ในใจของเขาแน่วแน่มากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทวีความมั่นใจในการรับรู้ของตนเอง!
ผู้แกร่งกล้าล้วนคำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน โลกนี้ก็จบสิ้นแล้ว!
มีกำลังความสามารถ… ก็ต้องมีความรับผิดชอบ ต้องยืนหยัดขึ้นมา!
“บางทีพละกำลังอาจมีขีดจำกัด แต่ข้าก็แบกแผ่นฟ้าเอาไว้ แม้ตอนนี้ท้องฟ้าแผ่นนี้จะมีอาณาบริเวณค่อนข้างเล็ก แต่ก็เพียงพอที่จะคุ้มครองสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเบาๆ
พรึ่บ…
กลางเวหาของทะเลหมอกดำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนมองผืนฟ้าพร่างพรายดาวอยู่ที่นั่น ผิวกายของเขาค่อยๆ เริ่มเปล่งประกายทีละน้อยๆ นี่คือประกายที่มาจากดวงวิญญาณ
ผิวกายถึงกับค่อยๆ รวมตัวกันจนมีเสื้อคลุมประกายสีทองชั้นหนึ่งออกมา เสื้อคลุมชุดนี้เกิดขึ้นมาจากประกายวิญญาณตามธรรมชาติ พื้นผิวของเสื้อคลุมมีลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วน แฝงไว้ด้วยความเร้นลับอันสูงส่งเหนือสิ่งใด เสื้อคลุมชุดนี้ได้ถูกเรียกว่า ‘เสื้อคลุมมนตร์’ แสดงให้ประจักษ์ถึงกฎเกณฑ์อันสูงส่งหาใดเทียม
“นี่มันอะไรกัน”
บนจวนจ้าวเบื้องล่าง อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ และตงป๋อชิงเหยา รวมถึงจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ฉือชิวไป๋ และผู้เคารพหั่วเฉิงที่กำลังอ่านตำราอยู่ที่นี่ แต่ละคนต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจะถูกตัวอาคารบดบังอยู่บ้าง ทว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาสำแดงวิชาอันใดก็สามารถเห็นเงาร่างกลางท้องฟ้าร่างนั้นได้แล้ว
เสื้อคลุมมนตร์ตลอดร่าง ผิวกายเปล่งรัศมีอันอบอุ่น
รัศมีมิได้พร่างพรายจับตา แต่กลับอยู่ทั่วทุกหนแห่ง! ส่องสว่างเข้าไปในจิตวิญญาณของทุกคน พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็เห็นกันทั้งสิ้น
“ท่านพ่อหรือ” ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างก็มองเห็นเค้าโครงใบหน้าของเงาร่างนั้นอย่างชัดเจนแล้ว
“นี่…”
ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ประมุขเกาะกาลมิติ ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะอยู่ในที่มั่นของตนเอง ห่างไกลกันไม่รู้เท่าใด ทว่าแต่ละคนต่างก็มองเห็นเงาร่างที่เปล่งประกายจับตาที่อยู่กลางท้องฟ้าไกลออกไปสายนั้นกันทั้งสิ้น
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่
เหล่าเทพโลกา เหล่าวิญญาณเทพ เหล่าเหนือธรรมดา เหล่ามนุษย์ธรรมดา และบรรดาสัตว์เดรัจฉาน ดวงวิญญาณทั้งหมดทั่วจักรวาลต่างก็เห็นเงาร่างกลางท้องฟ้าสายนั้น เงาร่างนั้นดูคล้ายจะเปล่งประกายอันแรงกล้ามิอาจคาดคะเนได้ มีเสื้อคลุมมนตร์คลุมร่าง ผู้ที่ยิ่งมีพลังยุทธ์ยิ่งอ่อนแอก็ยิ่งยากที่จะเห็นเค้าโครงใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ชัดเจน
“เสื้อคลุมมนตร์คลุมร่าง ประกายกระจ่างเกินหยั่ง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็เอ่ยพึมพำอย่างตื่นตระหนกอยู่บ้าง “นี่ก็คือระดับจิตใจขั้นที่สาม ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ อย่างนั้นหรือ”
นี่คือตำนานเล่าขาน
หลายยุคของจักรวาลมานี้ ก่อนหน้านี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถทำได้ หนึ่งก็คือจอมกระบี่ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจอมมาร ในที่สุดตอนนี้ก็มีคนที่สามที่สามารถทำได้แล้ว
……………………………………….
(จบบทที่ 28)