Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 6 ก่อนการเดินทางไกล
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดก็มีผู้ที่มิปรารถนาจะต่อสู้กับสองขุมอำนาจใหญ่ ดังเช่นประมุขหอหมื่นโลกา โดยปกติแล้วพวกเขาหลายคนต่างก็อาศัยอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน เพราะยามที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายตอนนั้น มีชิ้นส่วนบางชิ้นที่แตกสลาย มีแผ่นดินบางพวกของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมที่พิเศษเป็นที่สุดมิได้ถูกล้างผลาญไปในการระเบิด ล่องลอยไปยังอากาศอันสับสนอลหม่าน ดังนั้นท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่แสนเวิ้งว้าง นอกจากแผ่นดินธรรมดาและจักรวาลแล้วก็ยังมีแผ่นดินที่แปลกประหลาดอยู่ด้วย ทั้งยังมีเทพจักรวาลที่ยินดีจะอยู่อาศัยในระยะยาวอีกด้วย
ดินแดนเก้าเมฆาเป็นชิ้นส่วนที่แตกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมที่ใหญ่ที่สุดนอกเหนือจาก ‘โลกทิพย์โบราณ’ ทั้งยังมีเทพจักรวาล ‘บรรพชนกฎฉุนอี’ อาศัยอยู่คนหนึ่งด้วย
ถึงแม้ว่าบรรพชนกฎฉุนอีจะอาศัยอยู่แต่ค่อนข้างจะสันโดษ ไม่เข้าร่วมการต่อสู้กับสองขุมอำนาจใหญ่
บวกกับการที่สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดมีจำนวนน้อยเกินไป ถ้าไม่ต้องการนั่งประจำอยู่ที่โลกทิพย์ก็ต้องการไปนั่งประจำอยู่ที่ชายขอบของห้วงอากาศ มีเพียง ‘ดินแดนเก้าเมฆา’ ที่มีขนาดหนึ่งในยี่สิบส่วนของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา บุคคลผู้อยู่ในระดับสูงสุดของสองขุมอำนาจใหญ่ก็เป็นขั้นอลวนเช่นกัน! ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่เป็นผู้อาวุโสตำหนักในมีสมบัติล้ำค่าคุ้มกายอยู่ พอกระตุ้นขึ้นมาแล้วหากเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้เป็นระยะเวลาพอสมควร
เพียงแค่ระมัดระวังสักหน่อย ดินแดนเก้าเมฆาก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมให้ตนไปต่อสู้มากกว่า!
“แต่กลเม็ดของข้ามีน้อยเกินไป มีเพียงแค่ ‘ฟองอากาศอนธการ’ กระบวนท่านี้เท่านั้น นอกจากนี้พอใช้ออกมาแล้ว ศัตรูก็จะล่วงรู้ถึงตัวตนของข้าได้ในทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ เพราะในเรื่องของการลอบสังหารก็มีเงาของผู้แกร่งกล้าของสำนักทิพย์โบราณอยู่จางๆ คู่ต่อสู้ก็สามารถตรวจดูสถานการณ์การต่อสู้ในเวลานั้นได้อย่างง่ายดาย รู้ถึงเคล็ดวิชา ‘ฟองอากาศอนธการ’ ของตน
ถ้าหากมีผู้แกร่งกล้าสักคนหนึ่งไปที่หอหมื่นโลกาแล้วเชิญมือสังหารมาจัดการตนจริงๆ!
เช่นนั้นหากตนอยู่อย่างเปิดเผยที่ดินแดนเก้าเมฆา ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะดึงดูดผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนของสำนักทิพย์โบราณมาบุกโจมตี
“ไม่เปิดเผยจะเป็นการดีที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญ หากประสบอันตรายในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ร่างแปรของพวกบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ต่างก็สามารถมาเยือนได้ในทันที แต่ที่ดินแดนเก้าเมฆาอันห่างไกล…นั่นคืออยู่ที่ส่วนลึกของอากาศอันสับสนอลหม่าน หากจะมาก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
“ไปลองบุกชั้นที่หกดูดีกว่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วบินไปยังชั้นที่หกที่อยู่สูงกว่า ตามหลุมอากาศที่อยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน
ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวคือทะเลทรายอันเวิ้งว้างผืนหนึ่ง กลางทะเลทรายมีพืชสีเขียวที่มีพลังชีวิตอันแข็งแกร่งกระจัดกระจายอยู่ และทันใดนั้นกลางทะเลทรายก็มีลำแสงสีแดงโลหิตพรั่งพรูออกมา ลำแสงสีแดงโลหิตรวมตัวกันกลายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์สวมชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่ง
“มีคนเดียวอีกแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ชั้นที่สี่ ชั้นที่ห้า ชั้นที่หกต่างก็มีศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตอยู่เพียงคนเดียว แต่หลังจากที่สนทนากับบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว เขาก็รู้ว่าพลังยุทธ์ของฝูงมารผลาญทำลายนั้นสูงต่ำไม่เท่ากัน ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งของเจดีย์ดาวไปจนถึงชั้นเทพจักรวาลล้วนมีทั้งสิ้น!
“เจ้าเด็กขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ” หญิงสาวทรงเสน่ห์ในชุดเกราะสีแดงโลหิตหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง ทันใดนั้นกลิ่นอายสีชมพูชวนหลงใหลอันทรงพลังก็แผ่กำจายออกมา แทบจะเอ่อท่วมทั้งชั้นที่หกของเจดีย์ดาวนี้ในทันที พลังชีวิตของพืชสีเขียวทั่วทั้งทะเลทรายยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วเหี่ยวแห้งไปจนหมดสิ้นในทันใด กลิ่นอายสีชมพูนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม
ถึงแม้ว่าอาณาเขตกฎเกณฑ์จะต้านทานเอาไว้ได้ แต่ก็ค่อนข้างกินแรงอย่างเห็นได้ชัด
“พรึ่บ” หญิงสาวทรงเสน่ห์ในชุดเกราะสีแดงโลหิตแย้มยิ้มแล้วเงาร่างก็แบ่งออกเป็นเก้าคน เงาร่างนั้นแปรเปลี่ยนเป็นภาพมายาแล้วกะพริบวาบคราหนึ่งก็เจาะเข้ามาในอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง เงาร่างสีแดงโลหิตเก้าร่างพุ่งเข้ามาในเวลาเดียวกัน
……
การต่อสู้พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วยิ่ง
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงยากจะแยกแยะร่างจริงของศัตรูได้ แต่ก็สำแดงฟองอากาศอนธการหกฟอง ฟองอากาศอนธการที่มีอยู่ห่อหุ้มเงาร่างของศัตรูเอาไว้สองร่างพร้อมๆ กัน ก็ย่อมสามารถโจมตีได้ในคราวเดียว ฉับพลันนั้นก็ผลาญทำลายร่างแปรร่างอื่นๆ อีกแปดร่างของศัตรู แต่ร่างจริงที่เหลืออยู่ถูกโจมตีด้วยฟองอากาศอนธการเพียงแค่ฟองเดียว ไม่มีแม้กระทั่งบาดแผลเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังบุกสังหารมาถึงข้างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงอีกด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความมั่นใจในการเคลื่อนที่ในพริบตาของตนแล้วกระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกาย ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว!
ไร้ซึ่งหนทางแล้ว
ศาสตร์ลับโลกอนธการก็เป็นเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วศัตรูยังอยู่ห่างไกลก็สามารถสังหารได้แล้ว แต่ถ้าหากศัตรูเข้าประชิดตัว ฝ่ายตนก็เกือบจะพ่ายแพ้อยู่แล้ว
……
เหินทะยานออกจากเจดีย์ดาว
“ควรจะบำเพ็ญให้ดีๆ ทำให้ด้านอื่นๆ ยกระดับขึ้นมาโดยเร็ว ถ้าหากไปยังดินแดนเก้าเมฆาโดยมีเพียงแค่กระบวนท่านี้ก็น่าอนาถเกินไป นอกจากนี้กระบวนท่านี้ก็ยังระบุตัวตนมากเกินไปด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ อย่างเช่นสิบสามกระบี่ผลาญโลกาต่างก็สามารถเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ประชิดตัวได้หลายชนิด ย่อมมีความยากในการระบุตัวตน แต่ ‘ฟองอากาศอนธการ’ นั้นมองเพียงปราดเดียวก็ดูออกแล้ว!
******
วันต่อๆ มา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้รีบร้อน เขาพลิกอ่านตำราอยู่ที่ตำหนักหมื่นรูปอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่อ่านแล้วจดบันทึกเอาไว้ แต่การอ่านต้นฉบับนั้นไม่เหมือนกัน ต้นฉบับมีร่องรอยที่ผู้แกร่งกล้าบันทึกเอาไว้ด้วยตนเอง เหมาะสมที่จะรับประสบการณ์ยิ่งกว่า เขาก็สนทนากับเหล่าผู้อาวุโสตำหนักในจำนวนหนึ่งอยู่เป็นครั้งคราว แม้กระทั่งเรียนรู้จากการประลอง
หลังจากที่ผ่านเจดีย์ดาวมาสองพันกว่าปี หลังจากที่เตรียมตัวเป็นอย่างดีแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปปลีกวิเวกบำเพ็ญในตำหนักกาลเวลาอีกครั้ง
ขั้นรวมเป็นหนึ่งในตำหนักกาลเวลา ราคาก็สูงขึ้นเป็นอย่างมาก เร่งความเร็วร้อยเท่าเป็นเวลาหนึ่งร้อยล้านปี ก็จำเป็นต้องใช้ยี่สิบห้าก้อนศิลาปฐมโลกาเต็มๆ เคราะห์ดีที่สามารถใช้สองแสนห้าหมื่นแต้มความดีความชอบได้ เมื่อเทียบกันแล้วใช้แต้มความดีความชอบจะคุ้มค่ากว่า เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างจะให้ความสนใจกับสิ่งนี้ เขาต้องอดออมศิลาปฐมโลกาเอาไว้ เพราะถึงอย่างไร ‘หัวใจหลิวเมฆาแดง’ ก็เป็นเป้าหมายที่สูงส่งยิ่งนัก
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง วิญญาณก็แข็งแกร่งกว่าตอนเป็นขั้นกำเนิดอยู่มากโข การหยั่งรู้วิชาลับผู้ท่องก็รวดเร็วเป็นที่สุด ตอนแรกที่เข้าสู่ตำหนักกาลเวลา จุดประสงค์หลักของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือการบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่อง
เพราะตอนนั้นที่ ‘ห้องเงียบไม้หอมชีหยา’ ของเมืองวารีสวรรค์ เขาก็บำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปจนห่างจากการบรรลุเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งหมดเป็นเหมือนกับที่คาดการณ์เอาไว้ บำเพ็ญภายในตำหนักกาลเวลาเพียงแค่หกหมื่นหกพันปีก็บรรลุวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สามสิบเอ็ด! ระบบผู้ท่องอากาศก็เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างเป็นทางการ
“ปัง…”
ภายในตำหนักกาลเวลา บนดาวเคราะห์ที่มีผืนหญ้าเขียวขจี ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้า บนผิวกายมีพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านสีดำสนิทอยู่ชั้นหนึ่ง ร่างกายของเขากำลังเกิดการแปรสภาพ ก้าวเข้าสู่ระดับขั้นใหญ่อีกขั้นหนึ่ง
“การก้าวข้ามระดับขั้นนั้นไม่เหมือนกันจริงๆ เสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากกว้างแล้วพ่นเอาแสงรุ้งหลากสีสายหนึ่งออกมา หลังจากพ่นออกมาแล้วแสงรุ้งหลากสีก็เริ่มกระจัดกระจายไป
“ตอนนี้สงบจิตสงบใจหยั่งรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์เถิด”
ด้วยเหตุนี้จึงต้องยกระดับระบบผู้ท่องอากาศก่อน หนึ่งก็เพื่อเข้าใกล้การบรรลุ สองก็เพราะการแปรสภาพของลำดับขั้นระบบนี้ก็มีประโยชน์ต่อวิญญาณด้วย ความแกร่งกล้าของวิญญาณก็ทำให้การบำเพ็ญยิ่งรวดเร็วขึ้นด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความเชื่อมั่นในตนเองเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นของตนอาจจะอ่อนแอกว่าทางด้านวิถีโลกเทียมอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ต้องการให้ทั้งสองด้านนี้ไปถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว เพียงแค่สิ้นเปลืองเวลาสักเล็กน้อยก็มิใช่เรื่องยาก! ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ตนอาศัยวิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกาก็สามารถผ่านชั้นที่สามได้โดยเป็นเพียงแค่ขั้นกำเนิดมาแล้ว
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ทุกหนึ่งร้อยล้านปีวังทวีสูญจะรับศิษย์ที่เมืองอลหม่านสิบสองแห่งครั้งหนึ่ง หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงปลีกวิเวกไปเกือบเก้าสิบล้านปี ศิษย์ใหม่กลุ่มหนึ่งก็มาถึง
“วังทวีสูญ”
เหล่าศิษย์เทพแท้กลุ่มหนึ่งมองดูยอดเขาแขวนลอยแห่งแล้วแห่งเล่าที่อยู่ไกลออกไปอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง โดยเฉพาะวังอันสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินตรงกลางแห่งนั้น รัศมีของวังพร่างพรายไปทั่วห้วงมิติ รัศมีนั้นระยิบระยับอยู่บนร่างของบรรดาศิษย์เทพแท้เหล่านี้ ทำให้ในใจของพวกเขาแต่ละคนยิ่งทวีความตึงเครียดและตื่นเต้น
มาแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็เข้ามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ‘วังทวีสูญ’ ได้สำเร็จ! อยากจะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นยากเย็นสักเพียงใด พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งเป็นที่สุด ทั้งยังผ่านประสบการณ์การทดสอบอันหนักหน่วงมาแล้ว
“พวกเจ้าเพิ่งเข้ามาในวัง มิอาจก่อความวุ่นวายได้ มีสถานที่บางแห่งที่เป็นที่พำนักของศิษย์อาภรณ์ม่วง มีบางส่วนเป็นของศิษย์อาภรณ์ทอง หรือแม้กระทั่งเป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสตำหนักในและเหล่าประมุขตำหนักอาศัยอยู่ หากบุกรุกก็จะได้รับโทษสถานหนัก” ผู้อาวุโสตำหนักนอกคนหนึ่งที่นำทางอยู่พูดขึ้น“ทุกคนตามข้ามา”
ในบรรดาศิษย์กลุ่มใหญ่นี้ก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาจากเมืองวารีสวรรค์ด้วย… เหลยเฉินและชิงรั่วนั่นเอง
“มิทราบว่าผู้อาวุโสตงป๋ออาศัยอยู่ที่ใดหรือขอรับ” เหลยเฉินผู้ค่อนข้างแข็งแรงบึกบึนพูด พวกเขาสองสามีภรรยาต่างก็ผ่านการทดสอบเข้าเป็นศิษย์ที่ธรรมดาที่สุดคนหนึ่งภายใต้สำนักวังทวีสูญมาได้อย่างทุลักทุเล
“ผู้อาวุโสตงป๋อ พวกเจ้ารู้จักกับผู้อาวุโสตงป๋อหรือ” ด้านข้างมีศิษย์เทพแท้ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“ผู้อาวุโสตงป๋อมีพระคุณต่อพวกเราเป็นอย่างยิ่ง” เหลยเฉินและชิงรั่วพูด
“พวกเจ้าช่างโชคดีเสียจริงที่รู้จักกับผู้อาวุโสตงป๋อได้” ศิษย์เทพแท้ผู้นี้เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อก็คือผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ หลังจากได้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วก็บุกผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้ในทันที ความร้ายกาจของพรสวรรค์นั้น… เกรงว่าในอนาคตน่าจะได้เป็นประมุขตำหนักท่านหนึ่งของวังทวีสูญของเรา เป้าหมายของข้า เหยียนเฉียง ก็คือการสามารถเป็นบุคคลเช่นผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้ได้”
“ยังกล้าพูดออกมาอีก”
“ช่างอวดดีเสียจริง”
ศิษย์เทพแท้กลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยต่างก็มีภูมิหลังอยู่พอสมควร ถึงอย่างไรผู้ที่มีภูมิหลังที่ดีก็มีสภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญที่ดี จึงยิ่งมีความหวังในการผ่านการทดสอบของวังทวีสูญ มีผู้ที่มีภูมิหลังบางส่วนต่างก็เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้อาวุโสตงป๋อผู้ร้ายกาจหาใดเทียมผู้นั้นมาก่อนอยู่เป็นจำนวนมาก! มีจำนวนไม่น้อยที่ในใจแอบคาดหวังว่า…ตนเองจะสามารถเปล่งประกายโดดเด่นจับตาได้เช่นเดียวกับผู้อาวุโสตงป๋อ
แต่ส่วนมากล้วนคิดอยู่ภายในใจ หากพูดออกมาตรงๆ ในที่สาธารณะก็รังแต่จะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ
ถึงอย่างไรตั้งแต่สถาปนาวังทวีสูญขึ้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ผู้ที่ร้ายกาจดังเช่นผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้ก็มีน้อยนิดจนสามารถนับนิ้วได้
หลังจากที่เหลยเฉินและชิงรั่วสองสามีภรรยาพำนักอยู่ภายใต้ชายคาวังทวีสูญแล้วก็เคยไปเยี่ยมคารวะตงป๋อเสวี่ยอิง น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวปลีกวิเวกมาโดยตลอด!
……
การปลีกวิเวกในครั้งนี้เป็นครั้งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวยาวนานที่สุด
หนึ่งร้อยแปดสิบล้านปีเต็มๆ นี้คือเวลาของโลกภายนอก แต่ภายในตำหนักกาลเวลานั้นตงป๋อเสวี่ยอิงได้บำเพ็ญไปถึงหนึ่งหมื่นแปดพันล้านปีเต็มแล้ว ก็เพราะคราวนี้ต้องเดินทางไกล มุ่งหน้าไปยังดินแดนเก้าเมฆาที่ค่อนข้างห่างไกลในอากาศอันสับสนอลหม่าน! จึงย่อมต้องเตรียมพร้อมในทุกด้านอย่างเต็มที่ จนติดอยู่ในจุดคอขวดอย่างใกล้จนมิอาจใกล้ได้อีกเป็นการชั่วคราวแล้วเขาจึงเลือกที่จะออกจากการปลีกวิเวก
พรึ่บ
นอกประตูตำหนักกาลเวลา ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
…………………………………..