Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 8 มอบสมบัติล้ำค่ามา
“เขากระบี่สวรรค์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงใจกระตุกขึ้นมา แม้ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์จะส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นและคลาดเคลื่อนไปค่อนข้างมาก แต่ก็สามารถวาดขอบเขตได้คร่าวๆ แล้ว นอกจากนี้ในบริเวณนี้ยังมีขุมอำนาจอันใหญ่โตซึ่งมีนามว่า ‘เขากระบี่สวรรค์’ อยู่ด้วย ผู้นำขุมอำนาจนี้คือ ‘ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์’ ซึ่งเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งที่บำเพ็ญมานานอย่างยิ่งผู้หนึ่ง รายงานของวังทวีสูญบันทึกเอาไว้ว่า พลังของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์น่าจะเป็นเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ โดยทั่วไปหากผ่านชั้นที่สามได้ก็นับว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดแล้ว สามารถล้างสังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปกลุ่มใหญ่ได้ตามอำเภอใจ ผู้ที่สามารถผ่านชั้นที่สี่ได้…โดยทั่วไปหากมิใช่สิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ไร้ศัตรูออย่างผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญแล้ว ก็ต้องเป็นผู้ทรงอำนาจทางฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขากระบี่สวรรค์จึงมีบันทึกอยู่ในรายงานของวังทวีสูญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงถามอยู่หน้าเรือใหญ่ว่า “ขอเรียนถามว่า บึงเมฆรุ้งอยู่ทางไหนหรือ”
บึงเมฆรุ้งอยู่ในแถบนี้เช่นเดียวกัน! ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นขุมอำนาจของเขากระบี่สวรรค์ ตนก็ย่อมมิอาจถามทางไปเขากระบี่สวรรค์ตรงๆ ได้กระมัง
“เจ้าไม่รู้หรือนี่ว่าบึงเมฆรุ้งอยู่ที่ใด” ชายชราผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายสตรีอาภรณ์สีแดงแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง “เจ้าก็เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่ง หรือว่าไม่มีแม้แต่แผนที่ของบริเวณโดยรอบนี่ เจ้ากำลังกลั่นแกล้งพวกเราอย่างนั้นหรือ”
ด้วยฐานะคนระดับสูงของเขากระบี่สวรรค์ เขาย่อมมีความมั่นใจที่จะแค่นเสียงถามได้
ในบริเวณรอบด้าน เขากระบี่สวรรค์ถือเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผู้ทรงอำนาจ
“ข้าเก็บตัวบำเพ็ญมาเนิ่นนานเกินไป เพิ่งจะบรรลุ ก่อนหน้านี้ไปไหนมาไหนน้อยนักจึงมิทราบจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางถามอีกครั้ง “พอจะแจ้งให้ทราบทิศทางของบึงเมฆรุ้งหน่อยได้หรือไม่”
“เฮอะ” ชายชราจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง สงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านอาชวน ผู้อื่นก็แค่ถามทางเท่านั้นเองนะเจ้าคะ” สตรีอาภรณ์สีแดงกลับพูดยิ้มๆ พลางชี้ไปด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย “บึงเมฆรุ้งอยู่ทางทิศนั้น หากขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปทะลุอากาศ ก็จะสามารถไปถึงได้ภายในหนึ่งเดือน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ขอบคุณนะ”
สวบ เขาหายวับไปกลางอากาศ
สตรีอาภรณ์สีแดงมองบุรุษสวมหน้ากากสีเงินผมขาวอาภรณ์ขาวที่อยู่หน้าเรือหายวับไปกับตาเช่นนี้ ก็อดตกตะลึงขึ้นมาบ้างมิได้
“ถามทางจริงๆ น่ะหรือ” ชายชราสงสัยอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบทุกทิศทุกทางโดยละเอียด
“บางทีอาจจะเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งหน้าใหม่ที่เก็บตัวแล้วเพิ่งจะบรรลุคนหนึ่งจริงๆ ก็เป็นได้เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้พลังต่ำต้อย ไปท่องโลกภายนอกน้อยมาก นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก” สตรีอาภรณ์สีแดงกล่าว “พวกเราไปกันเถิด ใกล้จะถึงเขากระบี่สวรรค์แล้ว มิได้พบท่านพ่อตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ”
สวบ
เรือลำนี้บินล่องต่อไปแล้วทะลุเข้าไปในอากาศอย่างรวดเร็ว มันบินไปในอากาศด้วยความเร็วสูง
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นที่เดิมอีกครั้ง
“เอ๊ะ ทิศทางที่พวกเขาไปน่าจะเป็นเขากระบี่สวรรค์สินะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ แม้เรือใหญ่จะมุ่งหน้าไปในอากาศ แต่เขาก็ยังคงสามารถรับรู้ร่องรอยการทะลุอากาศของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน “ทิศทางของบึงเมฆรุ้ง สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นมิได้พูดปดแต่อย่างใด”
เมื่ออ้างอิงจากทิศทางของดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางอากาศ บวกกับทิศทางของบึงเมฆรุ้ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตนอยู่ได้ จึงย่อมสามารถคาดเดาทิศทางของเขากระบี่สวรรค์ได้เช่นกัน
เมื่อดูจากทิศทางการบินของเรือใหญ่แล้ว…ก็เป็นทิศทางไปยังเขากระบี่สวรรค์
“ไปเขากระบี่สวรรค์” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“เขากระบี่สวรรค์แทบจะเป็นพรรคที่แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณรอบด้านนี่ พลังของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ข้าต้องคิดหาวิธีทำให้มั่นใจให้ได้ว่าเขาเป็นศิษย์ที่นับถือสองลัทธิหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ หากมั่นใจว่าเป็นศิษย์ที่นับถือสองลัทธิแล้ว วิญญาณย่อมมีรอยประทับอยู่ จะต้องฆ่าไม่เว้น! ทว่าจะมั่นใจในตัวตนของอีกฝ่ายได้นั้นเป็นเรื่องยากมาก
เพราะโดยทั่วไปรอยประทับวิญญาณนั้นล้วนถูกแอบซ่อนเอาไว้ แม้เคล็ดลับที่โลกทิพย์ทั้งสามค้นคว้าขึ้นมาจะสามารถตรวจสอบได้ แต่เคล็ดลับนั้นยากยิงนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการรับรู้เช่นนี้ยังต้องใช้เวลาไปในตำหนักกาลเวลากว่าร้อยล้านปีจึงศึกษาได้สำเร็จ!
ศิษย์ของจอมมารดา เมื่อเทียบกันแล้วความยากในการสืบเสาะก็ต่ำกว่า
ศิษย์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเหนือกว่า จะตรวจสอบก็ค่อนข้างยาก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีวิธีการอันชาญฉลาดนัก จะตรวจสอบรอยประทับซึ่งเขาทิ้งเอาไว้บนวิญญาณของศิษย์นั้นทำได้ยากยิ่ง โดยทั่วไปต้องผนึกกำลังของอีกฝ่ายเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายไม่มีแรงตอบโต้ จึงจะสามารถตรวจสอบวิญญาณของอีกฝ่ายได้โดยละเอียด
******
เรือใหญ่บินทะลุไปกลางอากาศ
สตรีอาภรณ์สีแดงยืนอยู่บนระเบียงเรือพลางมองดูอากาศที่บิดเบี้ยวรอบด้านแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใกล้ถึงเขากระบี่สวรรค์แล้ว”
“หากท่านประมุขพรรครู้ว่าครั้งนี้เจ้าบรรลุเป็นเทพอากาศได้สำเร็จแล้วจะต้องดีใจมากแน่นอน” ชายชราด้านข้างพูดยิ้มๆ
“ใช่แล้ว” สตรีอาภรณ์สีแดงพยักหน้า
ทันใดนั้นอากาศเบื้องหน้าก็พลันบิดเบี้ยว มือใหญ่ข้างหนึ่งตรงเข้ามาจับเรือใหญ่เอาไว้ จนเรือใหญ่โคลงเคลงและหยุดลง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” สตรีอาภรณ์สีแดงและชายชราพากันตกใจ เหล่าทหารคุ้มกันรอบด้านต่างก็ตกอกตกใจใหญ่
หากกล่าวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทะลุอากาศและขัดขวางพวกเขาเอาไว้นับว่านุ่มนวลแล้วล่ะก็ เช่นนั้นยามนี้ก็โอหังกว่าอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เรือใหญ่ถูกฉุดดึงออกมายังโลกจริงขณะกำลังทะลุอากาศอยู่
เรือใหญ่หยุดอยู่กลางอากาศ
กลางอากาศตรงหน้ามีเงาร่างสามสายซึ่งล้วนแต่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งยืนอยู่
“เป็นสามผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคี” ชายชราเห็นเจ้าก็ตกใจใหญ่ เขารีบถ่ายเสียงให้สตรีอาภรณ์สีแดงด้านข้าง “ผู้อาวุโสหุบเขาเปลวอัคคีมาถึงหน้าประตูเขากระบี่สวรรค์ของพวกเรา สถานการณ์ไม่ดีเสียแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้ารีบหนีเอาชีวิตรอดเสีย ข้าจะถ่วงพวกเขาเอาไว้เอง”
ชายชราพูดเสียงดังกังวานว่า “ท่านทั้งสาม ไยจึงมาขัดขวางเรือรบของเขากระบี่สวรรค์เราเสียเล่า”
“ฮ่าฮ่า เขากระบี่สวรรค์ อีกไม่นานก็จะไม่มีเขากระบี่สวรรค์แล้ว”
“ยังคิดว่าผู้ใดที่มากระตุ้นค่ายกลเตือนภัยของพวกเรา ที่แท้แล้วเป็นธิดาสุดที่รักของเจ้าปีศาจเฒ่ากระบี่สวรรค์นั่นเอง”
“ฮ่าฮ่า จับนางทั้งเป็นเสีย”
ผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคีทั้งสามกลับเบิกบานใจนัก เสียงนั้นยังสะท้อนก้องไปทั่ว รอบด้านกลับมีร่างตาข่ายสีแดงขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ร่างตาข่ายนี้บดบังดวงอาทิตย์ปกคลุมไปทั่วทั้งเรือใหญ่ แม้แต่อากาศก็ยังปิดผนึกอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก ฉากหน้ายังคงพูดคุยแต่อันที่จริงกลับลอบลงมือเสียแล้ว!
ชายชราร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนจะแปรเป็นอสนีบาตฟาดลงไปปะทะเข้ากับด้านบนของร่างตาข่าย แต่ร่างตาข่ายสีแดงเพลิงทนทานหาใดเปรียบ สายฟ้านั้นมิอาจกระทบถูกได้เลย
“พวกเจ้าไม่มีทางหนีพ้นแม้แต่คนเดียว” หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคีพลันอ้าปากกว้าง หมอกสีดำถูกพ่นออกมาจากปาก ก่อนจะแทรกซึมเข้าไปโดยไม่ถูกร่างตาข่ายขวางกั้นเลยแม้แต่น้อย แล้วเข้ารายล้อมไปทางสตรีอาภรณ์สีแดง เห็นได้ชัดว่าต้องการจะจับตัวเอาไว้ พูดแล้วเหมือนจะช้า แต่อันที่จริงหมอกดำแทรกซึมเข้าไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าแลบ
และก็มีเพียงชายชราผู้นั้นเท่านั้นที่แปรเป็นสายฟ้าแล้วเข้าปะทะกับหมอกดำอีกครั้ง แต่กลับยากจะสั่นคลอนได้
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน” ยามนี้สตรีอาภรณ์สีแดงกลับรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา เพราะนางจำคำพูดของอีกฝ่ายได้…‘อีกไม่นานก็จะไม่มีเขากระบี่สวรรค์แล้ว’ นอกจากนี้เห็นๆ กันอยู่ว่าที่นี่ก็ถึงรอบนอกของเขากระบี่สวรรค์แล้ว ฝ่ายตรงข้ามสามารถวางค่ายกลเตือนภัยไว้ที่นี่ได้สำเร็จ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ภายในเขากระบี่สวรรค์จะต้องเลวร้ายมากอย่างแน่นอน
สายฟ้าเข้าพัวพันกับหมอกดำ แต่กระนั้นหมอกดำก็เหนือชั้นกว่าอยู่บ้าง มันยังคงเข้าล้อมไปทางสตรีอาภรณ์สีแดง
ทันใดนั้น…
“ฟิ้ว!”
ประกายกระบี่อันสะดุดตาสายหนึ่งวาดข้ามท้องฟ้าไป แล้วทำลายร่างตาข่ายสีแดงเพลิงซึ่งบดบังดวงอาทิตย์อยู่ลงไป และยังทำลายหมอกดำด้วยเช่นกัน ความเร้นลับอันน่าหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในประกายกระบี่ทำให้หมอกดำสลายหายไปได้อย่างง่ายดาย
ท้องฟ้ากลับคืนสู่ความแจ่มใสอีกครั้ง
บุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวซึ่งสวมหน้ากากผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศ พลางมองดูผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคีทั้งสาม
“เป็นเขาหรือนี่” สตรีอาภรณ์สีแดง ชายชราและเหล่าทหารคุ้มกันซึ่งเดิมทีสิ้นหวังไปแล้วต่างก็มองดูบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นั้นด้วยความตกตะลึง พวกเขาจำได้ว่าเป็นผู้ที่ถามทางก่อนหน้านี้นั่นเอง
“พวกเรา พวกเราคือผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคี” ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็สัมผัสได้ว่าอากาศรอบด้านมีแรงกดดันอันไร้รูปร่างพันธนาการอยู่ นอกจากนี้อานุภาพของประกายกระบี่สายนั้นเมื่อครู่ก็ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อไปหมด พวกเขาเข้าใจว่าอย่างน้อยคนตรงหน้าผู้นี้จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่ง มิใช่ผู้ที่พวกเขาจะสามารถต้านทานได้
“ช่วยสังหารพวกเขาด้วยเถิด พวกเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขากระบี่สวรรค์เรา!” ชายชราบนเรือใหญ่กลับเอ่ยขึ้นทันที
ขุมอำนาจทั้งสองอย่างเขากระบี่สวรรค์และหุบเขาเปลวอัคคีเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกันจริงๆ
“ไว้ชีวิตด้วยเถิด พวกเรามิได้มีเจตนาล่วงเกินผู้อาวุโสนะขอรับ” ผู้อาวุโสทั้งสามเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตนอย่างมาก เพราะหากประกายกระบี่เมื่อครู่เข้ามาอีกครั้ง พวกเขาต้องตายแน่นอน
“มอบสมบัติล้ำค่ามาให้หมด แล้วจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
ผู้อาวุโสทั้งสามสะดุ้งโหยง
จากนั้นก็รีบนำสมบัติล้ำค่าทั้งหมดออกมามอบให้โดยไม่ลังเล แม้แต่กำไลเก็บวัตถุหรืออาวุธก็ยังนำออกมาจนหมด แม้แต่อาภรณ์ก็ยังใช้พลังเทพอากาศภายในกายก่อตัวขึ้นมาแทน
“ไม่มีแล้วขอรับ สมบัติล้ำค่าทั้งหมดนำออกมาจนเกลี้ยงแล้วขอรับ” ผู้อาวุโสทั้งสามละล่ำละลัก ขอเพียงสามารถเอาชีวิตรอดได้ แล้วยังต้องสนใจสมบัติล้ำค่าอะไรอีกเล่า หากไม่มีชีวิตแล้ว ทุกสิ่งล้วนต้องสูญสิ้น
“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั้งสามคนนี้ช่างน่าสนุกนัก เขาพลิกมือคราหนึ่งแล้วเก็บวัตถุเหล่านั้นลงไปจนสิ้น
เขากระบี่สวรรค์และหุบเขาเปลวอัคคีเป็นศัตรูกันอย่างนั้นหรือ
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนนี่นา!
เมื่อครู่เขาถามทาง และช่วยพวกเขาเอาไว้ก็ไม่เลวแล้ว ส่วนการต่อสู้ระหว่างเขากระบี่สวรรค์และหุบเขาเปลวอัคคีนั้นตนคร้านจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว! จะมีก็แต่ศิษย์ของสองลัทธิใหญ่และผู้ที่ชั่วร้ายจริงๆ เท่านั้นตนจึงจะกำจัดทิ้งทันที ผู้ที่จะสังหารตน ตนก็จะจัดการเช่นเดียวกัน ส่วนการต่อสู้เพราะบุญคุณความแค้นทั่วไปนั้น …จนก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยว นอกจากจะเกี่ยวโยงกับตน
“ขอเพียงได้สมบัติล้ำค่ามาก็พอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ มาถึงดินแดนเก้าเมฆา ตนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเสาะหาสมบัติล้ำค่าให้มากหน่อย
……………………..