Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 12 ภัยคุกคาม
“ท่านบรรพชน ผู้อาวุโสตงป๋อเขามีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวแล้วขอรับ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์รีบรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปในทันที นอกจากนี้ก็ยังแจ้งข้อมูลเรื่อง ’จอมมารดำต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกของสองสำนักใหญ่’ ให้ทางบรรพชนโลกาทราบด้วย ถึงอย่างไรเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสองสำนักใหญ่ โลกทิพย์ทั้งสามก็ยังร่วมแรงร่วมใจกันเป็นอย่างยิ่ง
“ตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋ประหลาดใจอยู่บ้าง
“ใช่แล้วขอรับ เขากำลังอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์…” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์บอกเล่าสถานการณ์อย่างละเอียดรอบหนึ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนั้นที่เขายังเป็นผู้ปกครองเทพแท้ ก็สำเร็จวิชากระบี่ที่สองผลาญโลกาแล้ว ข้าก็รู้แล้วว่าอนาคตของเขาต้องสว่างไสว แต่ตอนนี้ก็ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ การตระหนักรู้ในด้านวิถีโลกเทียมของเขายังเหนือกว่าวิถีเข่นฆ่าเสียอีก” บรรพชนเทียนอวี๋อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เขาสถาปนาวังทวีสูญขึ้นมาก็บ่มเพาะศิษย์ในสำนักอย่างสุดกำลัง
ได้พานพบผู้ที่มีพรสวรรค์ร้ายกาจคนหนึ่งก็ย่อมเบิกบานใจแน่นอนอยู่แล้ว สามารถมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ในอนาคตเมื่อเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน เชื่อว่าจะต้องมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวได้อย่างรวดเร็ว หรือกระทั่งพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เก้าก็ยังมีหวัง
ระยะห่างระหว่างยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ยิ่งใหญ่นัก
ผู้อ่อนแอเป็นเพียงแค่ชั้นที่หก ผู้อาวุโสเช่นเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเป็นชั้นที่เจ็ด
ผู้แกร่งกล้าอย่างเช่นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์นั้นก็คือชั้นที่แปด
ชั้นที่แปด…ก็คือขีดจำกัดที่ขั้นอลวนโดยทั่วไปจะบำเพ็ญได้ อยากจะไปถึงชั้นที่เก้า ระดับความยากนั้นก็เทียบได้กับ ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่งไปถึงชั้นที่เจ็ด’ เลยทีเดียว
ทั่วทั้งวังทวีสูญก็มีขั้นอลวนเพียงคนเดียวที่ไปถึงชั้นที่เก้า… ‘ประมุขตำหนักอลหม่าน’ พลานุภาพทางด้านการโจมตีของเขาถึงขนาดนับได้ว่าเป็นระดับสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดแล้ว ด้วยสถานะขั้นอลวนทำมาได้จนถึงขั้นนี้ ในด้านใดด้านหนึ่ง เทพจักรวาลก็ยังไม่สามารถทำได้เลย ถ้าหากเขาต้องการจัดการเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็สามารถสังหารได้ในกระบวนท่าเดียว
ระดับพลังยุทธ์ของเจดีย์ดาว ความแตกต่างระหว่างสองชั้นนั้นก็คือความแตกต่างของทักษะการสังหาร!
แน่นอนว่า…
ยังมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอีกคนหนึ่งที่เหนือกว่าหลักเหตุผลโดยทั่วไป นั่นก็คือเจ้าเมืองหลัว! เจดีย์ดาวเป็นสิ่งที่เจ้าเมืองหลัวสรรสร้างขึ้นมา เทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ต่างก็ถูกเจ้าเมืองหลัว ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนผู้นี้กดดัน แน่นอนว่ายังมีราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ และบรรพชนโลกา เพียงไม่กี่คนนี้เท่านั้นที่สามารถกดดันเจ้าเมืองหลัวได้
“ไม่รู้ว่าเมื่อใดเจ้าเด็กน้อยผู้นี้จะได้เป็นขั้นอลวนเสียที” ร่างแปรของบรรพชนเทียนอวี๋ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ แล้วชมดูการต่อสู้นี้ผ่านจอภาพห้วงมิติที่ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ทำให้ปรากฏขึ้น
“ด้วยความเร็วของเขา เชื่อว่าต้องรวดเร็วมากอย่างแน่นอน” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูด
“ก็มิได้ง่ายดายเช่นนั้นหรอก เดิมทีการก้าวข้ามระดับขั้นก็ยากเย็นมากอยู่แล้ว ระดับความยากของการเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนนั้นยิ่งกว่าการที่เขาพบเจอจุดคอขวดในอดีตเสียอีก” บรรพชนเทียนอวี๋พูด
ผู้ที่ร้ายกาจขนาดขึ้นไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่หกแล้วติดค้างอยู่ที่นั่นตลอดมาก็มีอยู่
หรือแม้กระทั่งตกต่ำลงมาในท้ายที่สุด!
ฉะนั้นก็สามารถเห็นได้ถึงระดับความยากในการเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน
แต่ขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดนั้นในประวัติศาสตร์มีอยู่เพียงสองคน ทว่ากลับบรรลุไปถึงขั้นอลวนแล้วทั้งคู่ เห็นได้ชัดว่าสำหรับผู้มีพรสวรรค์ระดับนี้แล้ว การบรรลุไปถึงขั้นอลวนนั้นมิใช่เรื่องยากเลย
……
ทางด้านวังทวีสูญนี้ชมดูอยู่ไกลๆ ส่วนทางด้านสำนักของบรรพชนโลกาที่ได้รับข่าวก็มีผู้แกร่งกล้ากำลังติดตามอยู่เช่นกัน พวกเขาต่างก็มิได้รีบร้อนลงมือ
พวกเขากำลังรอ…
รอว่าสองสำนักใหญ่จะส่งยอดฝีมือไปช่วยเหลือจอมมารดำหรือไม่
……
บนท้องฟ้าเหนือเมืองต้านวายุ
เหล่าผู้บำเพ็ญที่เดิมทีกำลังหลบหนีอย่างเร่งรีบก็หยุดลงเพื่อชมดูการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปอย่างห่างๆ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งยืนอยู่กลางเวหา ใบมีดสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นจากกลางอากาศแล้วฟาดฟันลงบนร่างกายของจอมมารดำที่พื้นผิวมีรัศมีหม่นสลัว พลังคุกคามนั้นแม้จะดูอยู่ห่างๆ ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านที่เกิดจากก้นบึ้งของหัวใจ นี่คือการสั่นสะท้านโดยสัญชาตญาณ
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยแผนภาพคลื่นจานปกป้องเมืองต้านวายุด้านบนเอาไว้เป็นอย่างดี มิได้ทำให้พลานุภาพในการต่อสู้กระทบไปถึงเบื้องล่าง
และในขณะนี้ถึงแม้จอมมารดำจะมีสมบัติล้ำค่าคุ้มกายแต่ก็ย่อมมิอาจหลบหนีได้
“ใกล้จะต้านไม่อยู่แล้ว” จอมมารดำสัมผัสได้ว่าพลังงานของสมบัติล้ำค่าคุ้มร่างถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่อง บนใบหน้าค่อยๆ เผยสีหน้าผ่อนคลาย ถึงแม้จะเข้าใจว่าสำนักทิพย์โบราณมิได้ส่งผู้แกร่งกล้ามาช่วยเหลือเขา แต่เขาก็ไม่ตำหนิเลยแม้แต่น้อย อุทิศตนเพื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่คือเกียรติยศอันยิ่งใหญ่
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์”
จอมมารดำมือกุมตราประทับ ปากเรียกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความศรัทธา ร่างกายเริ่มแหลกสลายกลายเป็นความว่างเปล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างได้เห็นฉากนี้ก็โบกมือเก็บเอาสมบัติล้ำค่าที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ขึ้นมา “ที่แท้ก็เป็นสำนักทิพย์โบราณ ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อใดเขาจะถูกวิญญาณควบคุม”
******
ไกลออกไปที่โลกทิพย์โบราณ
ก็มีเหล่า ‘ผู้วิเศษ’ ที่เป็นขั้นอลวนชมดูเหตุการณ์นี้อยู่ห่างๆ พวกเขามิได้ส่งผู้แกร่งกล้าไป ก็เพราะพวกเขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าวังทวีสูญที่อยู่เบื้องหลังของตงป๋อเสวี่ยอิง และสำนักของบรรพชนโลกาที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็จะต้องตามติดมาที่นี่อย่างแน่นอน ผ่านเวลานี้ไปก็เสี่ยงต่อการตกต่ำ! ถึงอย่างไรก็เป็นอาณาเขตของบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์
นอกเสียจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะมาด้วยตนเอง นอกนั้นผู้อื่นในสำนักทิพย์โบราณต่างก็มิอาจช่วยเหลือ ‘จอมมารดำ’ ได้ด้วยกันทั้งสิ้น
“ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญก็มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเคล็ดวิชาของประมุขโลกอนธการในตอนนั้น ทางด้านการโจมตีค่อนข้างร้ายกาจ ส่วนในด้านอื่นๆ ก็ธรรมดาทั่วไป” เหล่าผู้วิเศษสำนักทิพย์โบราณเหล่านี้ย่อมมิได้แยแสตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้เลย เพียงแต่รู้สึกว่าปล่อยให้เจริญก้าวหน้าไปเช่นนี้ ไม่แน่ว่าในอนาคตวังทวีสูญอาจมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งย่อมไม่แยแสเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว
แต่พวกเขาเหล่าผู้วิเศษนี้ก็ยังสังเกตได้
“เขาพัฒนาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ภายในวังก้นบึ้งทะเลสาบ ผู้วิเศษหวั่งหมิงที่สวมอาภรณ์เขียวตลอดร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องเงียบบริเวณโดยรอบมีหยาดน้ำหยดแล้วหยดเล่าหยาดหยด แต่บนใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ “ดีมาก เช่นนี้คงจะทำให้บรรดาผู้วิเศษในสำนักรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามแล้วกระมัง ผู้อาวุโสตำหนักในที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวพบเห็นได้บ่อยมาก ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง แต่ผู้ที่ไปถึงชั้นที่หกนั้น… รอให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน อย่างน้อยก็เป็นชั้นที่แปด เป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้วิเศษอย่างพวกเรา!”
โลกทิพย์โบราณมีอาณาบริเวณขนาดใหญ่ที่สุดในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า จำนวนของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็มีอยู่มากที่สุดด้วย
แต่พลังยุทธ์นั้นย่อมมีสูงมีต่ำอยู่แล้ว และผู้วิเศษหวั่งหมิงก็คือหนึ่งในพวกที่ค่อนข้างอ่อนแอ พูดถึงพลังยุทธ์ก็นับได้ว่าเป็นเพียงแค่ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวเท่านั้น เปรียบเทียบกับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ถึงแม้จะแกร่งก็แกร่งอย่างมีขีดจำกัด
“หาผู้เฒ่ามาช่วยเหลือให้มากหน่อยดีกว่า คงจะมีความหวังว่าจะสามารถทำให้ผู้เฒ่าเหล่านั้นวางแผนถอนรากถอนโคนตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้” ผู้วิเศษหวั่งหมิงคิดอยู่ตลอดว่าจะจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นไรดี น้องชายของเขาคือคนสนิทที่สำคัญที่สุดของเขาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน น้องชายถูกศัตรูปลิดชีพ ความแค้นนี้ เขาจะไม่แก้แค้นได้อย่างไรกัน
จากนั้น
ผู้วิเศษหวั่งหมิงก็เริ่มไปเยี่ยมคารวะผู้วิเศษในโลกทิพย์โบราณหลายท่าน ทำตัวเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ ไม่มีวิธีอื่นแล้ว คิดจะสังหารผู้เหนือชั้นอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ลำพังแค่เขาคนเดียวย่อมทำมิได้อยู่แล้ว
เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่เผชิญกับการลอบโจมตี ก็สามารถกระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายได้ในทันที พร้อมกันนั้นก็สามารถรายงานขึ้นไปได้ด้วย! ไม่แน่ว่าแม้กระทั่งบรรพชนเทียนอวี๋ก็สามารถออกมาสังหารได้
ดังนั้นพอลงมือแล้วก็ต้องวางแผนการให้ดี ให้สำเร็จในคราวเดียว!
ในประวัติศาสตร์ ผู้มีพรสวรรค์ที่บุกผ่านเข้าไปในชั้นที่หกของเจดีย์ดาวตายกันอย่างไรน่ะหรือ มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกสองสำนักใหญ่ลอบจัดการอย่างลับๆ!
……
“พรึ่บ…”
นอกเมืองต้านวายุ ท่ามกลางท้องฟ้าอันบิดเบี้ยว มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือ ‘ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์’ ชายผู้มีเส้นผมสีเงิน ผิวหนังสีดำ แต่ว่าเป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่งของเขาเท่านั้น
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นจากที่ไกลๆ แล้วก็ทะยานเข้าไปหาในทันที “เหตุใดท่านประมุขตำหนักจึงมาด้วยตนเองเล่าขอรับ”
“เจ้าก่อเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถึงแม้ว่าสำนักทิพย์โบราณจะมิได้ช่วยเหลือจอมมารดำผู้นั้น แต่ก็ต้องแอบดูอยู่ห่างๆ อย่างแน่นอน แล้วพวกเขาก็สังเกตเห็นพลังยุทธ์ของเจ้าแล้วด้วย! ถึงแม้ไม่แน่ว่าจะจัดการเจ้า แต่วังทวีสูญของข้ามิอาจไม่ป้องกันได้” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูด “ในประวัติศาสตร์ โลกทิพย์ทั้งสามของพวกเราก็มีผู้มีศักยภาพจำนวนหนึ่งที่ถูกสำนักทิพย์โบราณปลิดชีพ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจขมวดแน่น
ต้องระมัดระวัง
ถึงแม้ตนจะคิดว่ามีความสามารถในการปกป้องชีวิตอันแข็งแกร่ง แต่เหล่าผู้วิเศษของสำนักทิพย์โบราณมีอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากส่งยอดฝีมืออย่างประมุขตำหนักอลหม่านนี้มา เพียงแค่ปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถล้างผลาญตนได้แล้ว สมบัติล้ำค่าคุ้มร่างก็ไร้ประโยชน์!
สมบัติล้ำค่าคุ้มร่างเผชิญกับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนโดยทั่วไปก็สามารถต้านทานได้ชั่วครู่หนึ่ง แต่เผชิญกับประมุขตำหนักอลหม่านกลับกลายเป็นเรื่องน่าขัน ถึงอย่างไรก็เป็นร่างจริงของเทพจักรวาล แกร่งกว่าประมุขตำหนักอลหม่านอย่างมีขีดจำกัด
……………………………….