Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 15 ปีศาจชาดแปดแปร
เพียงพริบตาเดียวก็เป็นเวลาสามแสนปีหลังจากอวี๋จิ้งชิวหลุดพ้นแล้ว
ภายในห้องเงียบในคูหาของผู้อาวุโสสูงสุด ณ โลกทิพย์นิจนิรันดร์ ภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียว
ธูปหอมดอกหนึ่งกำลังเผาไหม้ กลิ่นหอมแผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อพลางฝึกฝน ศาสตร์โบราณ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ เงารางของสัตว์ปีกสีแดงเพลิงขนาดมหึมาตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง จากนั้นก็สยายปีกออกมา กลิ่นอายสีแดงเพลิงแผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง ภายในกลิ่นอายสีแดงเพลิงมีโลกลอยอยู่รางๆ
ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมก็สะท้อนก้องไปทั่วทั้งห้องเงียบ ถึงขั้นแพร่ออกไปนอกห้องเงียบแล้วแผ่ไปทั่วทั้งสำนักปักษาเขียวอย่างง่ายดาย ผู้บำเพ็ญทั้งสำนักปักษาเขียวล้วนสัมผัสได้ว่าวิญญาณสั่นสะท้านน้อยๆ จากนั้นก็คืนสู่สภาพปกติแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“เหมือนว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะแพร่ออกมาจากคูหานะ” ยอดฝีมือเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งของสำนักปักษาเขียวบางคนนั้นพอจะแยกแยะได้ พวกเขาอดมองออกไปไกลๆ แวบหนึ่งมิได้ และทำได้เพียงลอบวิพากษ์วิจารณ์กันเท่านั้น โดยมิกล้าไปรบกวนผู้อาวุโสสูงสุดผู้เร้นลับคนนั้นเลย
ส่วนภายในห้องเงียบ
เมื่อเงารางของปีศาจชาดส่งเสียงร้องแหลมออกมาเป็นครั้งแรก เงารางปีศาจชาดก็ดูเสมือนจริงขึ้นมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเงารางปีศาจชาดด้านหลังเขามีแววตาที่เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงทุกประการ
“ปีศาจชาดแปดแปร ในที่สุดข้าก็ก้าวเข้าสู่การแปรที่สี่ บรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา
แม้จะเพราะระดับขั้นอันสูงส่งยิ่งของตนเป็นเหตุด้วย แต่ในด้านศาสตร์โบราณ เกรงว่าหากข่าวเรื่องความเร็วเผยแพร่ออกไป ก็คงจะเพียงพอให้ทุกฝ่ายอ้าปากค้างได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่า นี่เป็นเพราะผลสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมของตนสูงส่งอย่างยิ่งอยู่แล้วด้วย แม้ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ เกี่ยวข้องกับความลับมากมายของเขตลวง และถึงขั้นค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงขัดเกลาเล็กน้อยก็สามารถรับรู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว หากมี ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้าน ‘วิถีอากาศ’ ฝึกฝนสายผู้ท่องอากาศ เชื่อว่าก็คงยกระดับได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
“ขั้นรวมเป็นหนึ่ง”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็นับว่าข้าฝึกฝนปีศาจชาดที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้อย่างแท้จริงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด “ต่อจากนั้นก็คือการแปรที่ห้าและการแปรที่หก…ขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดของปีศาจชาดออกมา ส่วนหลังจากนั้น ก็คือขั้นอลวนแล้ว!”
เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด
เคล็ดวิชาสืบทอดช่วงแรกนั้นเป็นพื้นฐานมาก จากนั้นก็คือปีศาจชาดแปดแปร
การแปรที่หนึ่งก็คือระยะเข้าสู่ขั้นเทพอากาศ!
สามแปรแรก…คือขั้นกำเนิด
สามแปรตรงกลาง…คือขั้นรวมเป็นหนึ่ง
การแปรที่เจ็ดและแปดคือขั้นอลวน
หากฝึกฝนจนถึงขั้นสุด ตามที่เคล็ดวิชาสืบทอดพรรณนาเอาไว้ ก็จะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว ทว่าก็ยังห่างจากขั้นสุดอยู่บ้าง เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดนั้นไม่ทราบนามผู้คิดค้น และเหมือนจะเคยคิดค้นการแปรที่เก้าด้วย ทว่าไม่สำเร็จ
“ปีศาจชาดแปดแปร เป้าหมายสูงสุดของหกแปรแรกก็คือขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดของ ‘ปีศาจชาด’ ออกมา ส่วนการแปรที่เจ็ด…กลับเป็นการปรับปรุงปีศาจชาดจากแก่นกลาง ทำให้ปีศาจชาดเกิดการวิวัฒน์ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา “ดีมาก นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้ารอคอย”
การปรับปรุงแก่นกลาง
อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของปีศาจชาด ความร้ายกาจของปีศาจชาดมีอยู่สองด้าน หนึ่งคือกลิ่นอายที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติสามารถทำให้ผู้อื่นจมดิ่งลงไปอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือโลกเขตลวงที่แฝงเอาไว้ตามธรรมชาติของมัน ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พึงพอใจโลกเขตลวงที่แฝงอยู่ในตัวมันมากสักเท่าใดนัก เพราะเขาเป็นยอดฝีมือที่ผลสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่หกแล้ว
หากขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของ ‘ปีศาจชาด’ ออกมาได้จนถึงที่สุดแล้ว คาดว่าก็คงมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า และนี่ยังต้องนับรวมกลิ่นอายของตัวมันเองเข้าไปด้วย ดังนั้นในด้านโลกเขตลวง สำหรับยอดฝีมือตัวยงอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว รู้สึกว่าสามารถปรับปรุงได้!
เมื่อปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง…
ปีศาจชาดก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปตามการปรับปรุง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ ก็คือการก้าวเข้าสู่ขั้นอลวน! อันที่จริงความสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็พอจะคลำทางขั้นอลวนได้แล้ว เขาพอจะรับรู้และเข้าใจรางๆ แล้ว
“ทว่าศาสตร์โบราณก็น่าพิศวงอย่างแท้จริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชม
ที่ตนเปลี่ยนแปลงนั้น
เพียงแค่เปลี่ยนแปลงโลกเขตลวงที่ใจกลางของปีศาจชาดเท่านั้น ส่วนโครงสร้างอื่นๆ ของมันนั้น เขามิได้เปลี่ยนแปลงเลย สิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่ศาสตร์โบราณสร้างขึ้นมาเองตามธรรมชาติ จุดที่พิเศษที่สุดของศาสตร์โบราณ…ก็คือเป็นไปตามพรสวรรค์ มิอาจฝืนขัดเกลาเพื่อให้ทะลุปรุโปร่งได้เหมือนการบำเพ็ญระบบทิพย์หรือระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เนื่องจากมีหลายด้านที่มิอาจขัดเกลาจนทะลุปรุโปร่งได้
เช่นพวกประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์สามารถส่งถ่ายเป็นระยะไกลได้ และถึงขั้นสามารถสำรวจระยะทางอันไกลโพ้นได้ พวกเขาก็มิอาจศึกษาความเร้นลับของกฎเกณฑ์ให้ทะลุปรุโปร่งได้เช่นเดียวกัน
สามารถแก้ไขกลเม็ดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้สักเล็กน้อย แต่มิอาจค้นคว้าได้เลย
เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดก็เป็นเช่นนี้ มีเพียงโลกเขตลวงเท่านั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถแก้ไขได้ ส่วนลักษณะโครงสร้างหรือกลิ่นอายที่แผ่ออกมาของปีศาจชาด…สิ่งเหล่านี้มีเองตามธรรมชาติ เนื่องจากของเขตของเขตลวงที่ปลดปล่อยออกมากว้างขวางพอ เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดนี้ ก็จะมีส่วนช่วยวิญญาณอย่างใหญ่หลวง และนี่ก็คือสาเหตุที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกมัน
“บัดนี้วิญญาณข้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่ยังไม่มีศาสตร์โบราณถึงหกเท่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
ความแข็งแกร่งของวิญญาณ
ต่อให้สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา บัดนี้ตนสามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ห้าสายออกมาได้แล้ว!
“ฮ่าฮ่า วัตถุล้ำค่าที่ต้องการก็เตรียมไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว จะฝึกให้ถึงปีศาจชาดหกแปรคงจะไม่ติดขัดอะไรหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยให้ถึงวันที่ตนบรรลุปีศาจชาดหกแปรเป็นอันมาก ถึงตอนนั้นวิญญาณคงจะแข็งแกร่งกว่าวันนี้มากโข อีกทั้งในเวลานั้นก็สามารเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลกเขตลวงภายในปีศาจชาดได้แล้ว เนื่องจากจะต้องขุดค้นและเข้าถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ของปีศาจชาดให้หมด จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างซึ่งเป็นแก่นแท้ของโลกเขตลวงของมันได้
“กลับไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น กลางอากาศเบื้องหน้าบิดเบือนไป เมื่อสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็ก้าวเข้าไปในนั้นแล้วจากไป
……
เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงจวนจ้าวเหนือทะเลหมอกดำแล้ว
เนื่องจากตนได้ทำเครื่องหมายมิติเอาไว้ในจวนผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักปักษาเขียวจึงสามารถพุ่งตรงมาได้อย่างรวดเร็ว! เนื่องจากพลังของตนสูงส่งอย่างยิ่ง การฝึกฝนและการทดลองกระบวนท่าต่างๆ จึงสามารถก่อให้เกิดแรงกดดันและความเสียหายมากมายต่อจักรวาล ดังนั้นบำเพ็ญและทดลองในโลกทิพย์จะดีกว่า! ส่วนการรับรู้นั้น สามารถทำในจักรวาลบ้านเกิดได้
“ท่านพ่อ” ตงป๋ออวี้ที่กำลังฝึกฝนอยู่เงยหน้ามอง ก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่กลางอากาศไกลออกไป
“บำเพ็ญให้ดีๆ ล่ะ ท่านแม่เจ้าบุกเบิกวิถีขึ้นมาได้แล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยยิ้มๆ
นับตั้งแต่อวี๋จิ้งชิวหลุดพ้นเป็นต้นมา พลังงานของหัวใจหลิวเมฆาแดง ต่อให้เป็นสำหรับเทพแท้ทั่วไปที่เพิ่งจะหลุดพ้นก็สามารถคงอยู่ได้หลายร้อยล้านปีเช่นเดียวกัน นางหลุดพ้นได้เพียงแสนกว่าปีก็บุกเบิก ‘วิถีแห่งกาลเวลา’ ขึ้นมา แม้การที่ภรรยาบำเพ็ญภายใต้สภาวะรู้แจ้งยิ่งยวด จนสามารถบุกเบิกวิถีได้อย่างรวดเร็วจะไม่นับว่าเกินกว่าความคาดหมายสักเท่าใดนัก แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่าภรรยาจะบุกเบิกพวกวิถีแห่งน้ำแข็งขึ้นมาได้…คิดไม่ถึงว่าจะบุกเบิกวิถีแห่งกาลเวลาขึ้นมา!
******
วันคืนของตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนคลายและเนิบช้า เขาบำเพ็ญและรับรู้อย่างไร้พันธะ เขาไม่รีบร้อนในการบำเพ็ญแต่อย่างใด เมื่อรู้แจ้งแล้วก็ไปยังสำนักปักษาเขียวแห่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์เพื่อทดลองกระบวนท่าหรือศาสตร์โบราณ เมื่อบรรลุแล้ว โดยทั่วไปก็จะออกไปนอกด่านเป็นเพื่อนภรรยา และชี้แนะบุตรธิดาและศิษย์ทั้งหลาย บางครั้งยังถึงขั้นสั่งสอนอย่างเปิดเผย บรรดาผู้ปกครองและผู้เคารพ
เขาไร้พันธะและอิสรเสรีเช่นนี้ พลางเฝ้ามองดูความขัดแย้งต่างๆ ภายในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน
ทว่าเขาไร้พันธะ
ในความมืดกลับมีผู้แกร่งกล้าบางคนที่ไม่อยากให้เขาไร้พันธะต่อไป
……
ณ โลกทิพย์โบราณ
ภายในโถงตำหนักอันมืดมิดแห่งหนึ่ง ผู้วิเศษหวั่งหมิงในอาภรณ์สีม่วงทั้งร่างยืนอยู่ตรงนั้น น้ำภายในสระไกลออกไปเบื้องหน้าค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเงาร่างสายหนึ่ง
“หวั่งหมิง หาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ” ทั้งร่างของเงาร่างสายน้ำนี้มีลำแสงสีเงินไหลริน แรงกดดันอันไร้รูปร่างแผ่กำจายออกมา แม้จะเป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่ง ผู้วิเศษหวั่งหมิงก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงคุกคาม เนื่องจากนี่คือยอดฝีมือ ‘ขั้นสุดยอดอลวน’ ในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ตอนนั้นคำอธิบายเกี่ยวกับพลังของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนนั้นค่อนข้างจะเลือนรางอยู่บ้าง ขั้นสุดยอดอลวน…หมายถึงน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง หรืออาจถึงขั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่บรรลุถึงขั้นสุดในบางด้าน ซึ่งก็คือพลังระดับเจดีย์ดาวเก้าชั้น
จำนวนชั้นของเจดีย์ดาวจำแนกระดับพลังได้แม่นยำมาก จนวันนี้นับได้ว่าเป็นมาตรฐานไปแล้ว
“ประมุขนรกภูมิ” ผู้วิเศษหวั่งหมิงเคารพนบนอบเป็นอันมาก “ข้าหวังจะได้ล่วงรู้พิกัดของ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญในตอนนี้ ขอประมุขนรกภูมิโปรดช่วยเหลือด้วย นี่คือศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยก้อน”
พูดพลางมอบศิลาปฐมโลกาให้แต่โดยดี
ภายในทั้งลัทธิทิพย์โบราณ หากพูดถึงการสะกดรอยแล้ว นอกจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งเหนือใคร รองลงมาก็คือประมุขนรกภูมินั่นเอง! นี่คือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งท่านหนึ่ง ซึ่งถึงขั้นสามารถมองเห็น ‘อนาคต’ ได้ แน่นอนว่าเป็นอนาคตที่มีขีดจำกัด!
“ข้าจะลองดูก็ได้”
ประมุขนรกภูมิพยักหน้าเบาๆ
วิ้ง
ทั่วโถงตำหนักอันมืดมิดพลันมีพละกำลังอันไร้รูปร่างบิดเบือนไป ผู้วิเศษหวั่งหมิงมองดูแต่โดยดี เขารู้ว่านี่คือเคล็ดลับที่ร่างจริงของประมุขนรกภูมิกำลังสำแดงออกมา ที่นี่คือสถานที่บำเพ็ญของประมุขนรกภูมิ เพียงแต่ตามปกติแล้วร่างจริงของเขาจะไม่ปรากฏกาย จะส่งเพียงแค่ร่างแปรออกมาเคลื่อนไหวเท่านั้น
“ฟิ้ว…” กลางอากาศค่อนๆ มีภาพอันเลือนรางก่อตัวขึ้นมา ดูเหมือนกับภาพของจวนขนาดมหึมาหลังหนึ่ง
ทันใดนั้น…
ภาพอันเลือนรางนี้ก็พลันกลายเป็นชายชราหลังค่อมคนหนึ่ง
ชายชราหลังค่อมมองมาด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “เฮอะ ไม่เหนือไปกว่าความคาดหมายของข้าจริงๆ ด้วย พวกเจ้าลัทธิทิพย์โบราณโง่งมกล้ามาทำลายความตั้งใจของผู้อาวุโสวังทวีสูญอย่างข้า เคราะห์ดีที่ข้าเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว”
ปัง
ทันใดนั้นภาพก็พลันแตกสลายไป
เงาร่างซึ่งมีลำแสงสีเงินไหลรินอยู่กลางสระน้ำ นัยน์ตาฉายแววเย็นชาออกมารางๆ เขาพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “เทียนอวี๋!”
………………………………