Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 17 จักรพรรดิดำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า ต้องมีผลสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมบวกกับ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ ที่ท่านบรรพชนคิดค้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงจะสามารถบำเพ็ญจนถึงระดับขั้นปีศาจชาดหกแปรได้อย่างราบรื่นนัก แม้จะกล่าวว่าใช้เวลาไปห้าล้านกว่าปีก็จริง แต่การผลักดันระบบหนึ่งให้ไปถึง ‘พลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า’ โดยใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านี้ ในบรรดาผู้บำเพ็ญซึ่งมีอายุขัยชั่วนิรันดร์นั้นไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย
“ต่อจากนี้จะยกระดับก็ยากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
ขั้นรวมเป็นหนึ่งจะเข้าสู่ขั้นอลวนได้นั้นถือเป็นด่านยาก ต่อให้เป็นระบบผู้ท่องอากาศและ ‘วิถีโลกเทียม’ ซึ่งมีหวังมากที่สุดของตนในตอนนี้ ก็เกรงว่าคงจะต้องฝึกฝนอีกนานแสนนาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดเลย
ตนทำได้เพียงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลกเขตลวงภายในปีศาจชาดเท่านั้น หากสามารถยกระดับขึ้นได้สักเล็กน้อย จนทำให้อานุภาพของปีศาจชาดยกระดับขึ้นไปถึงเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว
แน่นอน…
อารมณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงดียิ่งนัก
เนื่องจากศาสตร์โบราณเคล็ดวิชาสืบทอดที่เขาเลือกนี้ได้บรรลุเป้าหมายแล้ว! บรรลุถึงปีศาจชาดหกแปร ความแข็งแกร่งของวิญญาณเขาก็มากกว่าก่อนที่จะได้ศาสตร์โบราณมาถึงสามเท่า หากปลดปล่อยใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์…ก็สามารถปลดปล่อยได้ถึงสิบสาย!
…
ในขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดถึงระดับขั้นหกแปรนั่นเอง…
ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่งในโลกทิพย์นิจนิรันดร์
ห่างจากสำนักปักษาเขียวออกไปไกลลิบ ระยะห่างแทบจะเกินหว่าครึ่งของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ บนชั้นเมฆกลางฟากฟ้ามีวังสีดำอันสูงตระหง่านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ เหนือผิวของวังสีดำซึ่งมีขอบเขตล้านลี้แกะสลักลวดลายสีทองอันวิจิตรงดงามเอาไว้ ภายในวังก็มีทหารรักษาการณ์และบ่าวรับใช้จำนวนมาก บ่าวรับใช้ทั้งหมดล้วนนบนอบเชื่อฟังหาใดเปรียบ
ใต้วังสีดำบนชั้นเมฆกลางฟากฟ้าแห่งนี้ มีตัวเมืองซึ่งกินพื้นที่กว่าร้อยล้านลี้แห่งหนึ่งตั้งอยู่ ในตัวเมืองนั้นมีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ ที่นี่สงบสุขหาใดเทียม ไม่มีมารหน้าไหนอาจหาญเข้ามากล้ำกราย
เนื่องจากตัวเมืองแห่งนี้มีนามว่า ‘เมืองจักรพรรดิดำ’
วังเหนือชั้นเมฆด้านบนมีนามว่า ‘วังจักรพรรดิดำ’ ผู้สร้างมันขึ้นมาก็คือสิ่งมีชีวิตในตำนาน…‘จักรพรรดิดำ’ นั่นเอง!
ภายในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม จักรพรรดิดำก็คือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ!
ว่ากันว่าตอนที่เขาและ ‘บรรพชนโลกา’ ยังอ่อนแออยู่นั้นเคยเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน
เขาเคยประมือกับร่างจริงของเทพจักรวาลซึ่งหน้าแล้วหนีรอดมาได้อย่างง่ายดาย…
พลังของเขาย่อมเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าอย่างไร้ข้อกังขา! เขาได้รับคำเชื้อเชิญจากสหายรักอย่าง ‘บรรพชนโลกา’ จึงได้ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนของบรรพชนโลกาภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ทว่าเขามิใช่ผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกิน หากแต่เป็นศาสตร์โบราณ ดังนั้นภายใน ‘เมืองจักรพรรดิดำ’ ที่เขาสร้างขึ้นมาจึงห้ามมิให้พวกมารเหล่านั้นกลืนกินและเข่นฆ่าตามอำเภอใจ
“ฟิ้ว”
ณ ส่วนลึกของวังจักรพรรดิดำ
บุรุษผู้มีเกล็ดเต็มร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ เขายังมีหางยาวเหยียดซึ่งขดไปมาราวกับมังกรตัวหนึ่ง มันกินพื้นที่ครึ่งค่อนโถงตำหนักเลยทีเดียว
เหนือศีรษะของบุรุษผู้นี้ มีกลิ่นอายอยู่สี่สายด้วยกัน
ซึ่งมีทั้งสีแดงเข้ม สีเขียวเข้ม สีขาวเจิดจ้าและสีดำขลับ กลิ่นอายทั้งสี่สายรายล้อมอยู่รอบศีรษะ มีเพียงกลิ่นอายสีดำขลับเท่านั้นที่สับสน ไม่มั่นคงนัก
บุรุษผู้นี้ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา กลิ่นอายเหนือศีรษะทั้งสี่สายหลอมรวมเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว
“ในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมข้าก็ฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชาสำเร็จแล้ว เหลือเพียงเคล็ดวิชาสืบทอดวิชาสุดท้ายเท่านั้นที่ฝึกไม่สำเร็จเสียที” บุรุษผู้นี้ยืนขึ้นมา แผ่นเกล็ดบนร่างหรูหรางดงาม นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเปลี่ยนเป็นรอยขีด “ตอนนั้นข้าเรียกตนเองว่าจักรพรรดิดำ ด้วยหวังว่าจะสามารถฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดสุดท้ายนี้ให้สำเร็จได้”
“นานเท่าใดแล้ว”
“ก้าวสุดท้ายมักจะบกพร่องไปหน่อย เคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชาคอยรบกวนมันอยู่เรื่อย” จักรพรรดิดำทอดถอนใจ
หากไม่ฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชา แล้วฝึกเพียงวิชาเดียว ย่อมสบายมากเป็นธรรมดา
แต่หากจะฝึกสี่วิชา อีกสามวิชาฝึกสำเร็จแล้ว วิชาสุดท้ายก็จะถูกรบกวนมากที่สุด
“ขอเพียงฝึกสำเร็จ เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ก็จะสามารถกลายเป็นร่างเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งจักรวาลหมุนเวียน” จักรพรรดิดำพึมพำ “ตอนนั้นข้าก็จะกลายเป็นเทพจักรวาล! แต่ก้าวสุดท้ายนี้ ข้ากลับค้างเติ่งมานานถึงเพียงนี้ หรือว่า…ทางที่ข้าเลือกในตอนแรกผิดพลาดหรือไร”
เขามีจิตคิดร้ายขึ้นมา
ตอนนั้นบรรพชนโลกาก็แค่เท่าเทียมกันกับเขาเท่านั้น
บรรพชนโลกาเลือกเส้นทางฝึกอย่างละเมียดละไม พลังรบของระบบเหล่ากลืนกินในระดับเดียวกันก็มิได้แข็งแกร่งสักเท่าใดนัก แต่บรรพชนโลกากลับบำเพ็ญถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ได้
แต่เขากลับใฝ่หาขั้นสุด เขาฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดที่ช่วยส่งเสริมกันและกันไปพร้อมกันทั้งสี่วิชา ตอนที่เป็นขั้นกำเนิด เขาก็สามารถข้ามขั้นไปเข่นฆ่าขั้นรวมเป็นหนึ่งได้…เมื่ออยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้ว ในขั้นอลวนก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า! ในภายหน้าหากสำเร็จเป็นเทพจักรวาล พลังย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน น่าเสียดาย…เขาค้างเติ่งอยู่ตรงนี้เสียแล้ว!
ขั้นอลวนเข้าสู่เทพจักรวาล นี่คือการบรรลุขั้นสุดซึ่งยากที่สุด
แม้จะหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ทว่าจักรพรรดิดำก็ยังนับว่าสงบอยู่ เพราะถึงอย่างไร เมื่อค้างเติ่งไปนานเข้าๆ ก็เคยชินแล้ว
“เอ๊ะ”
ทันใดนั้นจักรพรรดิดำก็สัมผัสรับรู้ขึ้นมา เขาหันกลับไปมองยังทิศหนึ่ง “มีเจ้าหนุ่มที่ฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดด้วยหรือนี่ ทั้งยังฝึกจนถึงปีศาจชาดหกแปรแล้วด้วยหรือ”
เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดที่เผยแพร่ออกไปภายนอกมีเพียงแปดแปรเท่านั้น
อันที่จริงจักรพรรดิดำเข้าใจดี
เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดนั้นมีทั้งหมดเก้าแปร! ทว่าเพื่อเก็บเป็นความลับ จึงมิได้ถ่ายทอดออกไปง่ายๆ เท่านั้นเอง
เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ที่เขาฝึกฝน…เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดก็คือหนึ่งในนั้น แต่เขาก็ฝึกจนสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว
“หาได้ยากๆ” จักรพรรดิดำเผยรอยยิ้มออกมา “ทางสายของข้ามีหนุ่มน้อยเพิ่มมาอีกคนแล้วอย่างนั้นหรือ ไปดูหน่อยดีกว่าว่าที่แท้แล้วคือผู้ใดกันแน่ แล้วเขามีความสามารถซ่อนอยู่เช่นไรบ้าง”
สวบ
จักรพรรดิดำจากวังแห่งนี้ไปในพริบตา กลางอากาศถูกแหวกออกจนเกิดเป็นทางเชื่อมมิติสายหนึ่ง
จักรพรรดิดำเร่งไปตามทางเชื่อมกาลมิติอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เร็วกว่าพวกจอมมารมาก เพียงสามหมื่นกว่าปีก็ทะลุผ่านโลกทิพย์นิจนิรันดร์ไปกว่าครึ่ง จนมาถึงนอกสำนักปักษาเขียวแล้ว
……
กลางอากาศ
จักรพรรดิดำสวมอาภรณ์ดำทั้งร่าง อาภรณ์สะบัดพลิ้ว เขาทอดสายตามองออกไปยังสำนักปักษาเขียวอันไกลลิบ
“เอ๊ะ”
“ข้าสามารถสัมผัสรับรู้ได้รางๆ ว่ามีผู้ฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดอยู่ภายในสำนักปักษาเขียวนี้” จักรพรรดิดำเผยสีหน้าฉงนใจออกมา “ไยข้าจึงมิอาจมองทะลุได้ เจ้าหนุ่มขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียวสามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบของข้าได้ด้วยหรือ”
เขากลับไม่รู้เลยว่า
บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้อยู่กับตัว วิธีการสำแดงความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็พิสดารยากเกินคาดเดา จักรพรรดิดำยากที่จะมองให้ทะลุได้ เขาต้องอาศัยการรับรู้เคล็ดวิชาสืบทอดจึงสามารถพบตงป๋อเสวี่ยอิงได้
จักรพรรดิดำโบกมือคราหนึ่ง
สวบ!
ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งของสำนักปักษาเขียวถูกเคลื่อนย้ายไปตรงหน้าจักรพรรดิดำ ยามนี้สายตาของยอดฝีมือผู้นี้หม่นมัวไปหมด
“ผู้ที่มีพลังสูงสุดในสำนักปักษาเขียวของพวกเจ้าคือผู้ใดกัน” จักรพรรดิดำถาม
“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ” ยอดฝีมือตอบพร้อมอาการชา
“คูหาซึ่งกินพื้นที่ใหญ่ที่สุดในสำนักของพวกเจ้าก็คือคูหาของผู้อาวุโสสูงสุดใช่หรือไม่” จักรพรรดิดำถามต่อ
“ขอรับ”
“เขามีนามว่าอะไร”
“ไม่ทราบขอรับ”
จักรพรรดิดำมิได้ถามให้มากความอีกต่อไป เขาโบกมือคราหนึ่งเพื่อขว้างยอดฝีมือผู้นี้กลับไป ยอดฝีมือผู้นั้นได้สติกลับมาอย่างเลือนราง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ผู้อาวุโสสูงสุดหรือ” จักรพรรดิดำเริ่มตรวจสอบผ่านระบบข่าวสารของภายในสำนักของบรรพชนโลกาทันที สถานะของเขาสามารถยืมระบบข้อมูลภายในสำนักของบรรพชนโลกามาใช้ได้ ไม่นานนักก็ได้รู้ข้อมูลส่วนหนึ่ง…ในจำนวนนั้นก็มีสภาพตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงลูกไฟน้ำเต้าสีดำออกมาสั่นคลอนทั้งสำนักปักษาเขียวด้วย สำนักบรรพชนโลกามั่นใจในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงมานานแล้ว
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ เป็นคนของวังทวีสูญหรือ” จักรพรรดิดำเผยรอยยิ้มออกมา “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทางสายของข้านี้จะมีชนรุ่นหลังรุ่นที่สามเป็นศิษย์วังทวีสูญด้วย”
เดิมทีทางสายของเขา ก็มีผู้ที่มีโอกาสได้เคล็ดวิชาสืบทอดมาน้อยอยู่แล้ว
จะฝึกฝนให้ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งขั้นสุด จักรพรรดิดำนับรวมตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยแล้ว ตลอดคืนวันอันยาวนานก็มีเพียงสามคนเท่านั้น
“ลองดูเสียหน่อยว่าเขาจะสามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นไหนกัน ดูสิว่าเขามีคุณสมบัติพอจะได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชาหรือไม่” จักรพรรดิดำสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ก็มาถึงเหนือยอดเขาแห่งหนึ่ง เหนือยอดเขามีเรือนไม้หลังหนึ่งปรากฏขึ้น จักรพรรดิดำก็บำเพ็ญอยู่ที่นี่ คนของสำนักปักษาเขียวด้านข้างรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิง มิมีผู้ใดตรวจสอบการมีอยู่ของจักรพรรดิดำได้เลย
สำหรับชายชราที่มีชีวิตอยู่มานานแสนนานอย่างจักรพรรดิดำ นี่ก็เงียบเหงาเกินไปแล้ว
……………………………..