Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 18 พลังก้าวหน้าครั้งใหญ่
เมื่ออาศัยอยู่ใกล้สำนักปักษาเขียว แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้ ทำให้จักรพรรดิดำยากที่จะสอดส่องเขาได้ แต่ด้วย ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ จักรพรรดิดำกลับสามารถเจาะจงพิกัดของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ และสามารถวิเคราะห์ผลสำเร็จด้าน ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ด้วย
“แม้โดยทั่วไปแล้วทางสายบรรพชนโลกา เมื่อบำเพ็ญแล้วพลังจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็มีข้อได้เปรียบตรงที่บำเพ็ญได้ง่ายมาก” จักรพรรดิดำพึมพำ “ทางสายของข้านี้พลังแข็งแกร่งยิ่ง แต่กลับฝึกได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก”
เขาและบรรพชนโลกาเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันตั้งแต่ตอนที่ยังอ่อนแอ แล้วค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทีละก้าว
ตอนที่ยังอยู่ในขั้นอลวน ทั้งสองฝ่ายถึงขั้นเคยชิงดีชิงเด่นกัน
แต่ต่อมา…
จักรพรรดิดำก็ค้างเติ่งอยู่ที่ขั้นอลวนมาโดยตลอด บรรพชนโลกากลับก้าวเข้าสู่ขั้นสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุด ถึงขั้นนับได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรกของสิ่งมีชีวิตขั้นสุด ระบบเหล่ากลืนกินนั้นเรียกได้ว่าเป็นระบบที่เรียบง่าที่สุด ทั้งยังเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง สิ่งมีชีวิตมากมายที่มีการรับรู้ค่อนข้างต่ำไปจนถึงสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศต่างก็ศึกษาระบบเหล่ากลืนกินแล้วกลืนกินตามอำเภอใจ พลังก็สามารถยกระดับขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
แต่อันที่จริงแล้วจักรพรรดิดำก็ออกจะรังเกียจอยู่บ้าง!
เนื่องจากผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกิน ตอนที่อยู่ในขั้นกำเนิดก็มีพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ตอนที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน! ผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกินขั้นรวมเป็นหนึ่งโดยทั่วไปแล้วก็มีพลังเพียงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่งหรือชั้นที่สองเท่านั้น ส่วนระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์และการบำเพ็ญระบบทิพย์ ตามปกติแล้วล้วนสามารถบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สามได้ ผู้ที่ยอดเยี่ยมในจำนวนนั้นอาจเป็นถึงชั้นที่สี่ได้ ผู้ที่ไร้เทียมทายก็ยิ่งสามารถบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้!
ส่วนศาสตร์โบราณเคล็ดวิชาสืบทอดที่จักรพรรดิดำมีอยู่นั้น ก็ยิ่งเกินจริงขึ้นไปอีก!
ลำพังแค่เคล็ดวิชาสืบทอดวิชาเดียว ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้ เมื่อเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสิ่งผนวกเข้าด้วยกัน…ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็คือพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้ว!
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า
ตอนนั้นเนื่องจากปะเหมาะเคราะห์ดี จักรพรรดิดำและบรรพชนโลกาจึงได้เลือกเส้นทางที่แตกต่างกัน ผลก็คือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เส้นทางของข้านี้บำเพ็ญได้ยากยิ่งนัก สามารถฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดให้ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งขั้นสุดได้ก็หาได้ยากมากแล้ว” จักรพรรดิดำพึมพำ “ต้องสำรวจดูให้ละเอียดสักหน่อย หากรู้สึกว่าไม่เลว ก็สามารถถ่ายทอดวิชาอีกสักหนึ่งหรือสองวิชาให้แก่เขาได้”
หากเขาจะถ่ายทอด ก็คงไม่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่วิชาในครั้งเดียวจนหมด
เพราะถึงอย่างไรตอนที่เขาปล่อยเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ออกสู่ภายนอก แม้แต่ท่าไม้ตายในตอนท้ายสุดก็ยังเก็บเอาไว้ จะเห็นได้ถึงนิสัยของจักรพรรดิดำ
“แต่ดูท่าแล้ว วังทวีสูญให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงยากมากที่จะรับเป็นศิษย์ได้แล้ว”จักรพรรดิดำพึมพำ นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ชนรุ่นหลังทางสายของเขาก็มีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งก็มีสถานะพิเศษเสียจนมิอาจรับไว้เป็นศิษย์ได้ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ถูกจักรพรรดิดำรับเป็นศิษย์ และเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองเพียงคนเดียวอีกด้วย!
ที่เหลือล้วนแต่เป็นเพียงศิษย์ในนามทั้งสิ้น
……
จักรพรรดิดำเร้นกายอยู่ข้างสำนักปักษาเขียวเพียงล้านกว่าปีก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมาพลางทอดสายตามองออกไปไกลทางภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียว
เสียงร้องอันก้องกังวานสะท้อนก้องไปทั่วทั้งสำนักปักษาเขียว
ผู้อื่นไม่รู้ แต่จักรพรรดิดำกลับสามารถอาศัยเคล็ดวิชาสืบทอดสัมผัสได้ว่า ‘ปีศาจชาด’ ในภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียวตัวนั้นวิวัฒน์ไปจนแข็งแกร่งขึ้นมาก เกรงว่าคงจะยกระดับขึ้นไปขั้นหนึ่งเลยทีเดียว
“นี่เขายกระดับเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดขึ้นไปจนมีพลังถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกแล้วหรือนี่ อีกทั้งยังรวดเร็วถึงเพียงนี้ด้วย” จักรพรรดิดำตกใจ
ทางสายของเขา ชนรุ่นหลังอีกสองคนล้วนแต่มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าในเคล็ดวิชาสืบทอดนี้ ต่อมาเข้าสู่ขั้นอลวน จึงฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดขึ้นไปถึงระดับขั้นที่ลึกล้ำขึ้นได้
จักรพรรดิดำกลับไม่เหมือนกัน
เขาได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดมาก่อนใครเพื่อน และบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่วิชาไปพร้อมกัน เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ก็ได้ผลาญแรงใจของเขาไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดแล้ว ขณะอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่แต่ละอันล้วนไปถึงพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าแล้ว ทั้งสี่วิชาคอยส่งเสริมกันและกัน…พลังก็ปะทุสูงขึ้น จนมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ด เขาไม่เคยคิดจะปรับเปลี่ยนหัวใจสำคัญของเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดมาก่อน เพราะเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ก็คอยช่วยเสริมกันอยู่แล้ว เมื่อแก้ไขอันหนึ่ง อีกสามวิชาก็ต้องแก้ไขไปตามกันด้วย ทั้งยังต้องผนวกเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย…จักรพรรดิดำจะคิดก็ยังไม่กล้าคิดเลย!
แต่เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดไปเพียงวิชาเดียว จึงปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยตนเอง จนบรรลุถึงชั้นที่หกได้
“เจ้าหนุ่มอีกสองคนก็ได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดมาเพียงวิชาเดียว แต่กลับไม่มีสักคนที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้” จักรพรรดิดำตกตะลึง “ทั้งยังรวดเร็วเกินไปแล้ว”
พรสวรรค์ด้านการรับนี้รู้ทำเอาจักรพรรดิดำตกตะลึงไป
“พรสวรรค์ของเจ้าหนุ่มตงป๋อเหนือกว่าสองคนนั่นอย่างสิ้นเชิง! เกรงว่าคงจะไม่แพ้ข้าเลย” จักรพรรดิดำยังคงมั่นใจในตนเอง เขาคิดว่าตนมิได้ปรับเปลี่ยน ก็เพราะได้เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ที่สมบูรณ์มา
******
ณ ภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียว ภายในห้องเงียบในคูหาของผู้อาวุโสสูงสุด
สิ้นเสียงกรีดร้องของปีศาจชาดหลังจากวิวัฒน์แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลืมตาขึ้นมา วิหคเทพปีศาจชาดขนาดมหึมาด้านหลังสยายปีกออกมาแล้วกระพือพัดเบาๆ ไอสีแดงเพลิงแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ
“วิถีโลกเทียมและเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดช่างสอดคล้องกันได้ดีจริงๆ ใช้เวลาล้านกว่าปีก็สำเร็จแล้ว ทำให้พลังของข้าก้าวหน้าเป็นอันมาก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม หลายปีมานี้ เขาเคยได้แก้ไขโครงสร้างของโลกเขตลวงภายในใจกลางของปีศาจชาดมาหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ทุกครั้งล้วนมีความก้าวหน้าเล็กน้อย ตัวปีศาจชาดเองมิได้วิวัฒน์จากแก่นแท้ แต่ครั้งนี้…
โดยรวมของปีศาจชาดเกิดการวิวัฒน์ขึ้นมา
แม้แต่วิญญาณของตนก็ยังได้รับการช่วยเหลือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลกเขตลวง ปีศาจชาดวิวัฒน์ไป วิญญาณของตนก็มีความรู้สึกว่าวิวัฒน์และแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง วิญญาณแข็งแกร่งกว่าก่อนจะได้ศาสตร์โบราณมากว่าสี่เท่า
“ฟิ้ว”
เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง
ทันใดนั้น โลกขนาดจิ๋วอันเลือนรางก็ปรากฏขึ้นรอบด้าน โลกขนาดจิ๋วอันเลือนรางถึงสิบห้าแห่งก็บ่มเพาะประกายสายหนึ่งในจำนวนนั้น ทว่าทั้งหมดล้วนเลือนรางไป ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่งก็สลายหายไปแล้ว
“ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบห้าสาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา “บัดนี้พลังของข้า อาจจะสามารถโจมตีเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้บ้างกระมัง”
ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ทั้งสามสายนับได้ว่าเป็นเจดีย์ดาวชั้นที่หก
บัดนี้มีถึงสิบห้าสาย…
อาจจะมีคุณสมบัติโจมตีแล้ว ทว่า ทุกสิ่งยังต้องผ่านการต่อสู้ภายในเจดีย์ดาวเสียก่อนจึงจะสามารถพิสูจน์ได้
ในประวัติศาสตร์ สิ่งมีชีวิตระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดที่ถือกำเนิดขึ้นมาในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะมีเพียงสองคนเท่านั้น ระดับความยากสูงยิ่งนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่รู้สึกว่าตนแข็งแกร่งกว่าตอนที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่เจดีย์ดาวชั้นที่หกมากมายนัก อาจมีคุณสมบัติพอจะโจมตีได้แล้ว แต่เขาก็ไม่มั่นใจนัก
“ข้ามีพลังเช่นนี้ ศาสตร์โบราณก็มีส่วนช่วยด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ทว่าฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดมาจนถึงระดับนี้ หากก้าวหน้าไปอีกก็ต้องเข้าใกล้ขั้นอลวนแล้ว”
เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด อาศัยการสั่งสมวิถีโลกเทียมจึงสามารถทำถึงขั้นนี้ได้
แต่บัดนี้วิถีโลกเทียมก็พอจะสัมผัสขั้นอลวนได้แล้วอย่างแท้จริง ในภายหน้าจะบรรลุก็ยากแล้ว!
เมื่อคิดดูให้ละเอียด…พลังของตนคิดจะยกระดับไปนิดหนึ่งก็ยากมากแล้ว ‘วิถีโลกเทียม’ ก้าวหน้าจนมิอาจก้าวหน้าได้อีกแล้ว ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ ก็บรรลุถึงชั้นที่สี่สิบ หากก้าวหน้าไปอีกก็อยู่แค่ระดับขั้นอลวนอยู่ดี ต่อให้ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ยกระดับขึ้นแล้วอย่างไรเล่า เข้าถึงกระบี่ที่หกผลาญโลกา ก็มีอานุภาพเพียงแค่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเท่านั้นเอง
เดิมทีใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ก็เป็นกระบวนท่ารุกโจมตีขั้นสุดอยู่แล้ว หากเข้าถึงกระบี่ที่หกผลาญโลกาแล้ว ก็มิได้เพิ่มเสริมพลังแต่อย่างใด
มีเพียง ‘วิถีระลอกคลื่น’ เท่านั้นที่เป็นการนกระดับทางด้านบริเวณ หากสามารถก้าวหน้าได้บ้าง ขณะต่อสู้ ใช้บริเวณกดดันฝ่ายตรงข้ามแล้วค่อยสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ก็จะมีส่วนช่วยอย่างเห็นได้ชัด
“จะบรรลุวิถีระลอกคลื่น ก็ต้องการเวลาไม่น้อย ทว่าในภายหน้า ข้าควรจะนำสิ่งดีๆ ไปใช้กับวิถีระลอกคลื่นบ้างแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจในจุดนี้ดี
เส้นทางสายหนึ่งสัมผัสถึงขั้นอลวนได้รางๆ
วิถีสองสายสัมผัสถึงขั้นอลวนได้รางๆ…
เมื่อเส้นทางหลายสายสัมผัสถึงขั้นอลวนได้แล้ว ก็จะรับรู้และเข้าใจขั้นอลวนได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนก็ย่อมเพิ่มขึ้นมากทีเดียว! และนี่ก็คือสาเหตุว่า ทำไมในประวัติศาสตร์ ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกหลายคนมิได้ก้าวเข้าสู่ขั้นอลวน แต่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดกลับแทบจะเข้าสู่ขั้นอลวนได้อย่างแน่นอน เนื่องจากยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ด…ล้วนแต่ฝึกฝนเส้นทางหลายสายไปควบคู่กัน
“ข้าก็บำเพ็ญวิถีหลายสายไปควบคู่กัน ขณะเดียวกันก็มุ่งหน้าไปทางขั้นอลวนด้วย มื่อผสานกันขึ้นมา เชื่อว่าโอกาสที่จะเข้าสู่ขั้นอลวนก็คงจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ถึงระดับอย่างเขา เป้าหมายย่อมต้องเป็นขั้นอลวนแน่นอน
……
ภรรยาหลุดพ้นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่มีอะไรรบกวนใจอีกแล้ว จิตใจทั้งหมดจึงย่อมทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญ บัดนี้ เขามักจะรับรู้ ‘วิชาลับผู้ท่อง’ และ ‘วิถีโลกเทียม’ เป็นประจำ เส้นทางสองสายนี้ ล้วนแต่สัมผัสถึงขั้นอลวนได้รางๆ แล้ว หลังจากรู้สึกว่าเริ่มลำบากแล้ว เขาก็ค้นคว้า ‘วิถีระลอกคลื่น’
ผ่านไปอีกระยะเวลาหนึ่ง
วันหนึ่ง
เงาร่างอาภรณ์สีม่วงสายหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้านอกสำนักปักษาเขียว เขาทอดสายตามองออกไปยังสำนักปักษาเขียวอันไกลโพ้น สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าคุ้มกันสำนักปักษาเขียวอยู่ หากข้าโจมตีสำนักปักษาเขียว เจ้าก็คงจะเร่งมากระมัง” ผู้วิเศษหวั่งหมิงมองออกไปไกล ทว่ายามนี้มีเพียงร่างแปรร่างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่มาถึง ทั้งยังเปลี่ยนแปลงรูปโฉมและกลิ่นอายอีกด้วย
…………………………