Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 19 สหายน้อยตงป๋อ
นัยน์ตาของผู้วิเศษหวั่งหมิงแฝงแววอาฆาตเอาไว้ เขามองดูสำนักปักษาเขียวที่อยู่ไกลออกไปตรงหน้า เขาไม่สนใจเลยว่าในภายหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงจะคุกคามผู้วิเศษของลัทธิทิพย์โบราณทั้งหลาย เพราะถึงอย่างไรลัทธิทิพย์โบราณก็เป็นปฏิปักษ์กับโลกทิพย์ทั้งสามอยู่แล้ว ศัตรูมีมากมายถมไป มีขั้นอลวนเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง! ณ ส่วนลึกในใจเขาก็ยังคงเคียดแค้น แค้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารน้องชายของเขาไป
ดังนั้นเขาจึงสร้างเรื่องไปทั่ว ต่อให้เป็นเช่นนี้ บรรดาผู้วิเศษของลัทธิทิพย์โบราณทั้งหลายก็ไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าใดนัก พวกเขาไม่เคยแยแสตงป๋อเสวี่ยอิงเลยจริงๆ! ต่อให้มีเทพจักรวาลเพิ่มมาอีกสักคนหนึ่งแล้วอย่างไรเล่า ลัทธิทิพย์โบราณก็ยังแข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี!
ก่อนหน้านี้เชิญให้ ‘ประมุขนรกภูมิ’ ตรวจสอบพิกัดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้มเหลว จนถูกบีบให้ต้องล้มเลิกแผนแรกไป!
ผู้วิเศษหวั่งหมิงคิดวิธีขึ้นมาอีกครั้ง เสียเวลาหลายล้านปีไปกับการขอพบบุคคลระดับสูงของลัทธิท่านแล้วท่านเล่า ในที่สุดก็สร้างแผนที่สองขึ้นมาได้สำเร็จ! อันที่จริงแผนที่สองนั้น ลัทธิทิพย์โบราณทุ่มเทน้อยกว่ามากทีเดียว
“หวั่งหมิง ในเมื่อการสะกดรอยล้มเหลว วังทวีสูญย่อมต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง แม้จะบอกว่าสามารถมั่นใจได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังคุ้มกันสำนักปักษาเขียวอยู่ แต่เพื่อความปลอดภัยของตนเอง เขาก็อาจจะละทิ้งสำนักปักษาเขียวไปเลยก็ได้ อีกด้านหนึ่ง…วังทวีสูญก็อาจจะหนามยอกเอาหนามบ่ง วางกับดักเอาไว้ในสำนักปักษาเขียวบ้าง แล้วรอให้พวกเราไปเหยียบเข้า ดังนั้นนี่คือขีดจำกัดที่พวกเราสามารถรับปากได้แล้ว” บุคคลระดับสูงคนหนึ่งของลัทธิตอบผู้วิเศษหวั่งหมิงเช่นนี้
แม้ผู้วิเศษหวั่งหมิงจะจนใจ แต่ก็รู้ว่านี่คือขีดจำกัดแล้ว
เพื่อขั้นรวมเป็นหนึ่งคนเดียว และไม่มีความมั่นใจพอนั้น จะให้ลัทธิทิพย์โบราณทุ่มเทมากมายอย่างนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!
“ขอเพียงเขาประมาทสักเล็กน้อย”
“แผนการที่สองนี้ก็มีโอกาสสำเร็จ”
“สังหารเขาให้ได้ในกระบวนท่าเดียว!”
ผู้วิเศษหวั่งหมิงลอบพึมพำ
นี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียว ลัทธิทิพย์โบราณก็เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกดดันสำนักปักษาเขียวอย่างเปิดเผยและกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดโดยใช้ลูกไฟของน้ำเต้าสีดำ! ทันทีที่ลัทธิทิพย์โบราณได้ข้อมูลนี้มาก็สามารถมั่นใจในสถานะของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ เพราะตอนนั้นเมื่อทำลายฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ใช้ลูกไฟของน้ำเต้าสีดำเช่นกัน
แม้จะรู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงคุ้มกันสำนักปักษาเขียวอยู่ แต่ลัทธิทิพย์โบราณก็ไม่มั่นใจนัก ภายใต้สถานการณ์ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ตัวว่าลัทธิทิพย์โบราณกำลังสะกดรอยเขาอยู่ ก็ยังคงออกหน้าเพื่อสำนักปักษาเขียวอยู่ดี
สวบ
ผู้วิเศษหวั่งหมิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งตรงไปทางสำนักปักษาเขียว ขณะเดียวกันน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยแววอาฆาตสายหนึ่งก็สะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน “โจรเฒ่าเปยโจ้ว รีบโผล่หัวมารับความตายจากข้าเร็วเข้า!”
……
เปยโจ้วคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักปักษาเขียวก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงจะมาถึง
“โจรเฒ่าเปยโจ้ว รีบออกมารับความตายจากข้าเร็วเข้า!”
น้ำเสียงแฝงแววอาฆาตแผ่คลุมไปทั่วทั้งสำนักปักษาเขีย ทำเอาศิษย์สำนักปักษาเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพากันเงยหน้ามองออกไปไกล แม้แต่ผู้อาวุโสเปยโจ้วผู้มีผมเผ้าสีเหลืองยุ่งเหยิงก็ยังเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง เมื่อมองเห็นเงาร่างอาภรณ์สีม่วงกลางฟากฟ้าไกลออกไป ผู้อาวุโสเปยโจ้วก็อึดอัดใจนัก “ผู้ใดกัน มีความแค้นกับข้ารึ แต่ข้าไม่รู้จักเขาเลยสักนิด”
“ผู้อาวุโสเปยโจ้ว เป็นศัตรูคู่แค้นของท่านหรือ”
“ผู้อาวุโสเปยโจ้ว…” ทุกคนพากันถามไถ่
ผู้อาวุโสเปยโจ้วหงุดหงิดใจ หรือจะเป็นศัตรูที่เคยไปรังแกเข้าโดยไม่ตั้งใจเมื่อนานแสนนานมาแล้ว นี่ก็นับเป็นเรื่องปกตินัก เพราะเดิมทีโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็สับสนวุ่นวายอยู่แล้ว การเข่นฆ่ามากมายนับไม่ถ้วน ไม่แน่ว่าศิษย์รุ่นหลังของผู้แกร่งกล้าสักคนอาจจะบำเพ็ญมาอย่างยาวนาน หลังจากพลังแข็งแกร่งพอแล้วจึงมาหาตนเพื่อแก้แค้นก็เป็นได้!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เงาร่างอาภรณ์สีม่วงกลางอากาศผู้นั้นลงมือแล้ว เขาโบกมือคราหนึ่ง อสนีบาตสีม่วงสายแล้วสายเล่าก็ฟาดลงมาจากฟ้าไปยังเหนือสำนักปักษาเขียว ตู้มๆๆ…อานุภาพแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้จะกล่าวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงติดตั้งค่ายกลเอาไว้แล้ว แต่ก็เป็นค่ายกลเขตลวงแห่งหนึ่งและค่ายกลเตือนภัยแห่งหนึ่ง ค่ายกลเข่นฆ่าเพียงหนึ่งเดียวปลดปล่อยประกายกระบี่สายแล้วสายเล่าออกมาขัดขวางอสนีบาตที่ฟาดลงมาเหล่านั้นได้อย่างพอถูไถ
ค่ายกลสะท้านสะเทือนจนแทบถล่ม!
“รีบขอร้องผู้อาวุโสสูงสุดเร็วเข้า”
“จวนจะต้านไม่ไหวแล้ว”
บรรดาบุคคลระดับสูงของสำนักปักษาเขียวเข้าใจในข้อนี้ทันที ประมุขสำนักปักษาเขียวกู่ซางรีบถ่ายเสียงด้วยตนเองในทันที
******
ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญอยู่ภายในห้องเงียบ ห้องเงียบภายในคูหามิได้ตัดขาดเสียงจากภายนอกโดยสิ้นเชิง เขาเองก็ได้ยินประโยคที่ว่า ‘โจรเฒ่าเปยโจ้ว รีบออกมารับความตายจากข้าเร็วเข้า’ ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่าเป็นศัตรูของผู้อาวุโสเปยโจ้ว แต่ต่อมาความเคลื่อนไหวก็ใหญญ่โตเกินไปแล้ว ระลอกคลื่นเสียงดังโครมครามทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดการบำเพ็ญลง
“ลำพังแค่ดูจากอานุภาพนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้ากระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “หรืออาจจะสูงกว่าก็เป็นได้”
เขากลับไม่รู้ว่า
ยามนี้ร่างแปรของผู้วิเศษหวั่งหมิงได้ทุ่มสุดกำลังแล้ว! เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น อยู่ห่างกับร่างจริงไกลลิบลับ ความแข็งแกร่งของปณิธานของร่างจริงที่ร่อนลงมาที่นี่มีจำกัด ต้องทุ่มเทสุดชีวิตจึงสามารถสำแดงพลังเช่นนี้ออกมาได้
“ยอดฝีมือเช่นนี้คงจะรู้ว่าข้ารักษาการอยู่ที่สำนักปักษาเขียวกระมัง แล้วยังฝืนดื้อดึงเช่นนี้อีกรึ ไม่รู้จักสถานะของข้าหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เขามิได้เปิดเผยสถานะออกไปจริงๆ จะมีก็แต่ขุมอำนาจระดับยอดเท่านั้นที่สามารถวิเคราะห์ตัวตนที่แท้จริงของตงป๋อเสวี่ยอิงออกมาได้ ผู้แกร่งกล้าที่ไม่มีเบื้องหลังอันใหญ่โต ตามปกติแล้วคงจะไม่ล่วงรู้
แม้จะมีความคิดมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมีจิตคิดระวังขึ้นมา เหนือผิวของวิญญาณภายในกายสวมอาภรณ์สีขาวซีดเอาไว้ชั้นหนึ่ง ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้
จากนั้นจึงเปิดประตูห้องเงียบออกเสียงดังโครมคราม
สวบ
หลังตงป๋อเสวี่ยอิงออกมาแล้วก็บินขึ้นมาแล้วทอดสายตามองออกไปทางเงาร่างอาภรณ์สีม่วงไกลออกไป
และในเวลานี้เอง
แสงสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วปรากฏขึ้นตรงหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจใหญ่ เขาสัมผัสรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามอันแรงกล้า “อะไรกัน ถึงกับบุกรุกเข้ามาในบริเวณของข้าโดยที่ข้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่างนั้นเลยหรือ”
สามารถแทรกซึมเข้ามาในบริเวณกฎเกณฑ์ของตนอย่างไร้วี่แววเชียวหรือนี่
“วิ้งงง…”
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นปรากฏขึ้น
ท้องฟ้าซึ่งเดิมยังมีดวงอาทิตย์อยู่พลันเปลี่ยนแปลงไป เต็มไปด้วยความสับสน อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักปักษาเขียว บรรดาศิษย์ทั้งหมดของสำนักปักษาเขียวต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกอันใหญ่หลวง! แม้แต่ร่างแปรของผู้วิเศษหวั่งหมิงซึ่งปลอมแปลงเป็นผู้แกร่งกล้าทั่วไปของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็รู้สึกหวาดหวั่นเช่นกัน แม้พลังของร่างแปรของเขาจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่การควบคุมร่างแปรก็ด้วยปณิธานของเขาเอง เขาสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนก…
แสดงว่าร่างจริงของเขามาแล้วและหวาดหวั่นมากเช่นเดียวกัน“ ใครกัน ที่แท้แล้วคนผู้นี้เป็นใครกัน”
มีแต่ความสับสนอลหม่าน
ภายใต้การกดดันอันน่าหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจ แรงคุกคามของมันยังมากกว่าแสงสีดำเมื่อครู่เป็นสิบเป็นร้อยเท่า
ภายใต้การกดดัน กลางอากาศตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันมีเงาร่างสายหนึ่งถูกบีบบังคับให้ปรากฏกายขึ้น นี่คือสตรีสวมอาภรณ์สีดำนางหนึ่ง นัยน์ตาทั้งสองของนางตายซาก นางจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเยียบเย็น จากนั้นก็เงยหน้ามองออกไปไกล
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทอดสายตามองออกไปไกล
ไกลออกไป…
บุรุษสวมอาภรณ์ดำผู้หนึ่งกำลังเดินมา อาภรณ์สีดำพลิกม้วน กลิ่นอายอันไร้รูปร่างบดบังท้องฟ้า
“จักรพรรดิดำ” สตรีชุดดำซึ่งมีกลิ่นอายตายซากแผ่ออกมาพูดเสียงเย็นชา
“ที่แท้แล้วเป็นประมุขแดนมรณะนี่เอง” จักรพรรดิดำพูดเสียงเรียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ลอบตกใจ ประมุขแดนมรณะหรือ
นี่คือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดของบรรดาผู้วิเศษลัทธิทิพย์โบราณ และเป็นยอดฝีมือตัวยงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าซึ่งมีชื่อเสียงด้านการลอบสังหารและลอบโจมตี! ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองออกว่า ประมุขแดนมรณะตรงหน้าผู้นี้เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น หากร่างจริงมาเองก็คงไม่ถึงกับถูก ‘จักรพรรดิดำ’ กดดันอย่างง่ายดาย
ทว่าเหตุใดจักรพรรดิดำจึงช่วยตนเล่า
“คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิดำจะอยู่ที่นี่ด้วย หากท่านไม่อยู่ตรงนี้ เกรงว่าวันนี้เขาคงจะต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว” สตรีชุดดำพูดเสียงเย็นชา
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบเบ้ปาก
ล้อเล่นแล้ว
ทั่วร่างของตนมีวัตถุคุ้มกันชีพที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้อยู่เต็มไปหมด ต่อให้ร่างจริงของประมุขแดนมรณะมาเอง ตนก็สามารถต้านทานได้สักหนึ่งหรือสองชั่วขณะจิต! ซึ่งหนึ่งหรือสองชั่วขณะจิตนี้ก็เพียงพอให้ตนสำแดงการส่งถ่ายเป็นระยะทางไกลโพ้นออกมาและหนีเอาชีวิตรอดได้แล้ว!
“ที่นี่คือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ มิใช่สถานที่ของลัทธิทิพย์โบราณของพวกเจ้า” จักรพรรดิดำพูดเสียงเรียบ “นอกจากนี้ หากมีข้าอยู่ พวกเจ้าก็อย่าได้คิดจะทำร้ายสหายน้อยตงป๋อแม้แต่ปลายขน”
สตรีชุดดำและผู้วิเศษหวั่งหมิงที่อยู่ไกลออกไปตกใจ
จักรพรรดิดำผู้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นนี้เชียวหรือ
“ร่างแปรสองร่าง ลัทธิทิพย์โบราณยิ่งใจแคบมากขึ้นทุกทีๆ แล้ว” จักรพรรดิดำส่ายหน้า ปัง! ปัง! ร่างกายของผู้วิเศษหวั่งหมิงที่อยู่ไกลออกไประเบิดออกแล้วมลายหายไป ร่างของสตรีชุดดำประสบกับการกดดันอันไร้รูปร่างจนแตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไปทันใดเช่นกัน
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยความตะลึงพรึงเพริด
หากมีข้าอยู่ ก็อย่าได้คิดจะทำร้ายสหายน้อยตงป๋อแม้แต่ปลายขนอย่างนั้นหรือ
สหายน้อยตงป๋อหรือ
ข้าสนิทสนมกับจักรพรรดิดำถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ก่อนวันนี้จะมาถึง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบกันเลยนี่นา!
“สหายน้อยตงป๋อ” จักรพรรดิดำเผยรอยยิ้มออกมาแล้วหันมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
………………………