Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 2 สวรรค์ลงทัณฑ์
พรึ่บ…
กลางโลกมายามีลำแสงจางๆ สายหนึ่ง มันควบตัวแน่นอย่างบริสุทธิ์ ดูเหมือนจะไม่สะดุดตา แต่มันคือแก่นสำคัญของทั้งโลกมายา แทบจะในพริบตาเดียว ลำแสงสายนี้ก็ระยับจับตาขึ้นมาในทันใด กลายเป็นใบมีดอันพร่างพรายตาเล่มหนึ่ง! โลกมายาทั้งใบล้วนหายวับไป ใบมีดอันพร่างพรายตาก็เคลื่อนจากโลกมายามาสู่ความจริง
“จิตข้าคือจิตฟ้า สวรรค์พิโรธ ก็คือสวรรค์ลงทัณฑ์” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจเจตจำนงของเคล็ดวิชานี้อย่างสมบูรณ์
ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์!
ในอดีตถึงแม้ว่าตนเองจะหยั่งรู้ความลึกลับต่างๆ มากมาย แต่กลับขาดแคลนสิ่งที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดอย่างระดับจิตใจ! ก็เหมือนกับภาพวาดภาพหนึ่ง… ถึงแม้ว่าจะเชี่ยวชาญทักษะทั้งหมด ถ้าหากไม่มี ‘อารมณ์’ ที่เกิดจากภายในจิตใจ ก็ยากที่จะรังสรรค์งานศิลปะอันยิ่งใหญ่จับจิตจับใจออกมาสักชิ้นหนึ่งได้!
‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ กระบวนท่าที่สองของโลกอนธการ นอกจากจำเป็นจะต้องสำเร็จความลึกลับทั้งหมดแล้ว ยังจำเป็นต้องมีระดับจิตใจที่กล้าแกร่งด้วย จึงจะมีสิทธิ์สำแดง ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ ได้!
“ปังงง…”
หลังจากใบมีดที่มาจากอากาศดูดซับเอาพลังรอบด้านมารวมเอาไว้เสร็จสมบูรณ์แล้ว อากาศอันสับสนอลหม่านที่เดิมทีปั่นป่วนก็เยือกแข็งอย่างสมบูรณ์ พลังอลหม่านอันน่าพรั่นพรึงก็สงบนิ่งลงจนหมด
ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านหยุดนิ่งอย่างสิ้นเชิง
ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ กดดันทั้งหมดทั้งมวล! ทำให้กฎเกณฑ์ที่เคลื่อนไหวอยู่แต่เดิมภายในอาณาเขตอันแน่นอนต่างก็ได้รับแรงกดดันของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ หากพูดว่าโลกอนธการหกร้อยชั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่เกิดจากการซ้อนทับกันของปริมาณ มีพลังคุกคามพอที่จะเทียบเคียงได้กับผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน ส่วนทางด้านระดับความลึกลับของ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ นั้นเทียบเคียงได้กับเคล็ดวิชาบางอย่างของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว
มันเกิดมาก็เพื่อเป็นทัณฑ์จากสวรรค์
“ฉับ…”
ประกายมีดฟันผ่านลงมาในทันใด ฟันผ่านลงมาไม่รู้กี่พันล้านลี้ แม้กระทั่งดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังยากที่จะเห็นจุดสิ้นสุดที่ประกายมีดฟันลงไปได้ ได้แต่อาศัยการรับสัมผัสต่อห้วงอากาศตัดสินระยะทางที่ประกายมีดฟันผ่าน
“การโจมตีนี้ยังแข็งแกร่งกว่าโลกอนธการหกร้อยชั้นเสียอีก มีอิทธิพลเหนือกว่าลูกไฟน้ำเต้าสีดำอยู่เล็กน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชื่นชม “นี่มิใช่เพียงแค่พลานุภาพแข็งแกร่งเท่านั้น แม้กระทั่งระดับความลึกลับก็ยังสูงส่งเป็นอย่างมาก นี่จึงจะเป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวอย่างแท้จริง”
เขาอดที่จะนับถือประมุขโลกอนธการที่ตกต่ำลงไปผู้นั้นมิได้
สามารถสรรสร้างเคล็ดวิชาเช่นนี้ขึ้นมาได้ ช่างร้ายกาจเสียจริง
ดังเช่นลูกไฟน้ำเต้าสีดำ ถึงแม้ว่าจะร้ายกาจเช่นกัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าออกจะโง่เง่าอยู่สักหน่อย ต่อให้ตนเองควบคุมก็ต้องใช้ร่วมกันกับแผนภาพคลื่นจาน ให้แผนภาพคลื่นจานกดดันคู่ต่อสู้เอาไว้ แล้วให้ลูกไฟน้ำเต้าสีดำทำการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิต… เช่นนี้จึงจะสามารถสังหารระดับ ‘ประมุขวังฉีอู่’ นี้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์นั้นไม่เหมือนกัน!
มันมาจากความไร้สรรพสิ่ง สามารถไปถึงข้างกายศัตรูได้โดยตรง ยากจะต่อต้านเป็นที่สุด
“จุดอ่อนของประมุขโลกอนธการก็คือการป้องกันตัวเองอ่อนแอเกินไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์เป็นเคล็ดการโจมตีเพียงอย่างเดียวล้วนๆ ประมุขโลกอนธการมาถึงระดับนี้ในด้านการโจมตีได้ แต่ในด้านการป้องกันนั้นเกรงว่าคงจะพอๆ กันกับพลังยุทธ์ขั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวโดยทั่วไปเท่านั้น
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว
กลางอากาศอันสับสนอลหม่านเบื้องหน้ามีโลกมายาขนาดมหึมาสามใบปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง ภายในของโลกทุกใบต่างก็กลั่นกรองเอาใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา
“อ้อ สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามสายพร้อมกัน ก็คือขีดจำกัดของข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีแรงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สายที่สี่ออกมาได้ พลังคุกคามของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์นั้นยิ่งใหญ่ แต่ก็สูบพลังจิตไปมากมายเช่นกัน
“ขั้นอลวน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด
ยามที่สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา ในที่สุดเขาก็มีความตระหนักรู้เกี่ยวกับระดับขั้นใหญ่ขั้นสุดท้ายของเทพอากาศ… ขั้นอลวน อย่างเลือนรางแล้ว
ระดับความยากจากขั้นรวมเป็นหนึ่ง จะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนนั้นยิ่งใหญ่นัก ยากเย็นยิ่งกว่าระดับเทพแท้เหยียบย่างเข้าสู่เทพอากาศเสียอีก!
ความยากที่สุดของเส้นทางการบำเพ็ญก็คือขั้นอลวนเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นสุดท้าย! รองลงมาก็คือขั้นรวมเป็นหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน ผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวจำนวนมากมายต่างก็งุนงงสับสนกับขั้นอลวน แต่ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้อะไรขึ้นมาบ้าง แต่กลับล้ำเลิศมากแล้ว
“ขั้นอลวน”
“มีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด”
“โลกมายาของข้าสามารถทานทนกลั่นกรองสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมาได้ ก็สามารถแบกรับความเป็นไปได้อื่นๆ เช่นเดียวกัน… เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เช่นนั้นก็คือขั้นอลวนแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเบาๆ
สิ่งมีชีวิต
จากไม่มีอะไรเลย บำเพ็ญไปทีละก้าวๆ ทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ความซับซ้อนพรรค์นี้อาจกลับกลายเป็นสิ่งกีดขวางการบำเพ็ญได้ ดังนั้นก็จะค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นระบบกฎเกณฑ์อันสมบูรณ์แบบ และในที่สุดก็จะ ‘รวมเป็นหนึ่ง’ แต่ต่อให้รวมเป็นหนึ่งก็จะไปถึงขีดจำกัดของเส้นทางการบำเพ็ญในทางใดทางหนึ่งอยู่ดี
บรรลุอีกหรือ จำเป็นต้องทลายขีดจำกัด! ทำให้ตนเองเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุด เช่นนั้นก็คือขั้นอลวนแล้ว
มีเพียงขั้นอลวนเท่านั้น… จึงจะสามารถบ่มเพาะจักรวาลอันสมบูรณ์แบบที่สุดออกมาได้ในท้ายที่สุด! เช่นนั้นจึงจะเป็นการบำเพ็ญระดับขั้นสุดท้าย
“วิถีโลกเทียมของข้า ตอนนี้อัดแน่นจนถึงขีดสุด กลายเป็นรากฐานโลกเทียมแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเบาๆ “จะทำลายรากฐานโลกเทียม กลายเป็นขั้นอลวน…”
เขาสำเร็จวิชาโลกมายา บ่มเพาะสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา จึงมีความเข้าใจในขั้นอลวนอย่างรางๆ
การจะก้าวออกจากจุดนั้นจริงๆ… ช่างยากเย็นเหลือเกิน!
“บางทีระบบผู้ท่องอากาศออกจะง่ายกว่าอยู่สักหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
การจะบรรลุระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ จำเป็นต้องตระหนักรู้อย่างทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้ระลอกคลื่นและค่ายสังหาร วิถีสองสายนี้ เขาไม่มีทางรู้เห็นความลึกลับของขั้นอลวนได้เลย วิถีโลกเทียมที่พรสวรรค์สูงส่งที่สุดนั้นสามารถมองเห็นได้ แต่ก็รู้ดีว่า… ไม่สามารถทำสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน
ระบบผู้ท่องอากาศ ตอนนี้เขาไปถึงขั้นที่สี่สิบแล้ว! ใกล้เข้าไปอีกเพียงก้าวเดียวก็คือขั้นที่สี่สิบเอ็ด ซึ่งก็คือระดับขั้นอลวนแล้ว
ส่วนเหตุผลที่สามารถไปถึงขั้นที่สี่สิบได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็ต้องขอบคุณศาสตร์ลับสี่ภาพวาดที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้ชุดนั้น ทำให้ในระหว่างการตระหนักรู้ภาพวาดภาพแรก เติมเต็มซึ่งกันและกันกับวิชาลับผู้ท่อง เขาจึงสามารถบรรลุผู้ท่องอากาศอย่างต่อเนื่อง
“ตอนนี้ข้าก็กำลังหยั่งรู้ภาพวาดภาพที่สอง บางทีในอนาคตระบบผู้ท่องอากาศของข้าก็อาจจะเข้าใกล้การเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนมากขึ้นอีกก้าวก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
“กลับดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวไปก้าวหนึ่งก็ทะลุผ่านผนังกั้นจักรวาลที่อยู่ไกลออกไป กลับไปยังจวนจ้าวทะเลหมอกดำ
ตอนนี้หากพูดถึงพลังยุทธ์ เขาก็สามารถเทียบเคียงกับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่ค่อนข้างอ่อนแอจำนวนหนึ่งได้แล้ว อย่างเช่นเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงที่นับได้ว่าค่อนข้างอาวุโส สามารถบุกผ่านชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้ และผู้ที่ค่อนข้างอ่อนแอที่มีอยู่อย่างเช่นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนของระบบเหล่ากลืนกิน ก็มีไม่น้อยที่หยุดยั้งอยู่ที่พลังยุทธ์ระดับชั้นที่หก ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ในระดับที่สูงเท่ากันกับพวกเขาแล้ว
ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ภายในโลกทิพย์ก็นับได้ว่ามีอยู่เพียงน้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง เป็นยักษ์ใหญ่ของฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง
เช่นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญที่มีอยู่มากมายถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่มีชั้นที่หกของเจดีย์ดาวอยู่เลยแม้แต่คนเดียว! เช่นนี้ก็เห็นได้ว่าพรสวรรค์ทางด้านวิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นสูงส่งเพียงใด
แน่นอนว่าต้องขอบคุณประมุขโลกอนธการเป็นอย่างมากที่สรรสร้างศาสตร์ลับศาสตร์นี้ออกมา
……
เวลาไร้ปรานี เพียงพริบตาก็ผ่านไปแปดสิบล้านปีแล้ว
ณ จวนจ้าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างนั่งดื่มสุราอยู่ที่นั่น อวี๋จิ้งชิวที่อยู่ไกลออกไปกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ ล้วนเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่คิดหาวิธีรวบรวมตำราเคล็ดวิชากระบี่จากโลกภายนอกมาตลอดหลายปี ถึงขนาดที่ในบรรดาเคล็ดวิชาเหล่านั้นก็มีข้อมูลที่ผู้อาวุโสชี้แนะอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง อวี๋จิ้งชิวก็ย่อมชมชอบที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ที่ร้ายกาจเหล่านี้อยู่แล้ว
“น่าเสียดายที่มิอาจบรรลุได้มาโดยตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างรางๆ เช่นกัน
พลังยุทธ์ของตนแกร่งกล้าแล้วอย่างไรเล่า
ถึงแม้จะสำเร็จวิชาการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น เขาจะรู้สึกได้ถึงความพรั่นพรึง ได้เห็นโลกระดับสูงกว่า ถึงแม้ว่าจะตระหนักรู้จิตข้าคือจิตฟ้า สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา เขาก็ยืนอยู่ในแถวของยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงของมหาโลกทิพย์ทั้งห้า แต่ทั้งหมดนี้ก็สู้ความปรารถนาจะให้ภรรยาของเขาบรรลุมิได้เลย!
“เหตุใดจึงหาหัวใจหลิวเมฆาแดงไม่พบมาโดยตลอดเลยเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายอยู่บ้าง “รอเวลาอีกสักระยะหนึ่ง ถ้าหากไม่ได้ผลจริงๆ ก็ได้แต่บากหน้าไปขอร้องท่านบรรพชนแล้วล่ะ”
ถึงอย่างไรท่านบรรพชนก็เป็นเทพจักรวาล
ขอความช่วยเหลือจากเทพจักรวาล หากไม่ถึงคราวจำเป็น ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่อยากปริปาก
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ที่ตำหนักกิเลนบูรพาของ ‘เมืองชวีหมู่’ แห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพา มีหัวใจหลิวเมฆาแดงดวงหนึ่งที่ต้องการซื้อขาย” ป้ายคำสั่งส่งสารส่งข้อมูลมาแถวหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะเผยสีหน้ายินดีอย่างใหญ่หลวงมิได้ ตื่นเต้นยินดีจนจอกสุราในมือแตกสลายเสียงดัง ‘เพล้ง’ โดยไม่รู้ตัว
นี่ทำให้อวี๋จิ้งชิวที่ฝึกกระบี่อยู่ไกลๆ หยุดลง หมุนกายมองมาทางสามีที่อยู่ไกลออกไปอย่างสงสัย สามีของตนมีพลังยุทธ์สูงส่งเพียงใด เหตุใดจึงควบคุมพลังไม่อยู่จนทำจอกสุราแตกกันหนอ
“เสวี่ยอิง เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” อวี๋จิ้งชิวถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว เกิดเรื่องน่ายินดีขี้นเรื่องหนึ่ง เรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งทีเดียวล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะฮ่าฮ่า “ตอนนี้ข้าต้องออกไปอีกรอบหนึ่งเดี๋ยวนี้ เจ้ารอข้าก่อนนะ รอข้ากลับมา เจ้าก็จะรู้เองนั่นแหละ”
……………………………………