Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 20 พักฟื้น
“ผู้อาวุโสจักรพรรดิดำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่ลงมือ หากมิใช่ผู้อาวุโส คราวนี้เด็กรุ่นหลังอย่างข้าคงจะลำบากเสียแล้ว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จักรพรรดิดำหัวเราะเสียงดังก้อง “เมื่อครู่เผชิญกับการจู่โจม สหายน้อยตงป๋อก็มิได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าคงจะมีวิธีการรับมืออยู่แล้วกระมัง วังทวีสูญก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของระบบการบำเพ็ญความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เชี่ยวชาญการหลอมสมบัติล้ำค่านานาชนิดเป็นอย่างยิ่ง บรรพชนเทียนอวี๋รักถนอมคนใกล้ตัวเพียงใด เกรงว่าคงจะมอบวัตถุคุ้มกันชีพอันร้ายกาจเอาไว้ให้ก่อนแล้ว ข้าก็เพียงแค่อาศัยจังหวะลงมือ มาพบหน้าสหายน้อยสักหน่อย อาศัยอยู่ข้างข้าที่สำนักปักษาเขียวอยู่ระยะหนึ่ง ก็ควรจะมาพบเจ้าสักหน่อย”
“พบข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ ทันใดนั้นก็แย้มยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะปลีกวิเวกอยู่ข้างๆ ที่สำนักปักษาเขียว ช่างบังเอิญเสียจริง”
ก่อนหน้านี้ตนยังสับสนอยู่
การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น แม้กระทั่งเหล่าสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่สูงส่งจำนวนมากก็ยังไม่สามารถสำแดงได้เลย ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมีศาสตร์โบราณน้อยชนิดเหลือเกินที่สามารถทำได้
แน่นอน
ตนเองได้รับเคล็ดวิชาสี่ภาพวาดอันไม่สมบูรณ์ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาคิดค้นขึ้นมา อาศัยสิ่งนี้ก็สามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้! ถึงแม้ว่าจักรพรรดิดำจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าเขารู้วิชาการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ‘ประมุขแดนมรณะ’ ลอบโจมตีอย่างฉับพลัน จักรพรรดิดำค้นพบในทันทีได้อย่างไร ที่แท้แล้วก็เพราะอาศัยอยู่ข้างๆ นั่นเอง
“โชคร้าย” จักรพรรดิดำพูดยิ้มๆ “เหตุผลที่ข้าปลีกวิเวกอยู่ที่สำนักปักษาเขียวก็เป็นเพราะเจ้า”
“เพราะข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าจะให้ข้ายืนคุยเป็นเพื่อนเจ้าอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ” จักรพรรดิดำถาม
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้น “น่าละอายเหลือเกิน ผู้อาวุโสจักรพรรดิดำ เชิญขอรับ”
จากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปภายในคูหาพร้อมกัน
……
ที่สำนักปักษาเขียวก็มีศิษย์อยู่จำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขามองดูเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง ตอนแรกก็เป็นบุรุษอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่งมาตามหา ‘ผู้อาวุโสเปยโจ้ว’ เพื่อแก้แค้น แล้วฟ้าดินก็ดูคล้ายจะเปลี่ยนเป็นความชุลมุนตามมา… ‘บุรุษอาภรณ์ดำ’ ที่มีพลังยุทธ์ลึกล้ำจนมิอาจคาดเดา ผู้ทำให้พวกเขาที่มีอยู่ทั้งหมดต่างก็รู้สึกหวั่นเกรงเดินเหยียบย่างบนอากาศเข้ามา
พลังคุกคามนั้นเหนือกว่าลูกไฟน้ำเต้าสีดำที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงในตอนนั้นมากมายนัก
น่าหวั่นเกรงและชวนให้ตัวสั่นสะท้าน…
บุรุษอาภรณ์ดำเพียงแค่ปรายตามองปราดเดียว บุรุษอาภรณ์สีม่วงผู้ที่ดูคล้ายว่าจะมีพลังยุทธ์สูงส่งเป็นที่สุดก็วอดวายกลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันที
ตอนนี้บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้เดินเคียงไหล่กับผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเขาเข้าไปในคูหาแล้ว
“ผู้ใดกัน”
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสสูงสุดก็จะเคารพเขาเป็นอย่างมาก”
“พลังคุกคามนี้ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน ขั้นอลวนกระมัง”
แต่ละคนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเงียบๆ
และระดับสูงของสำนักปักษาเขียวจำนวนหนึ่งที่มีโลกทัศน์สูงส่งพอกลับหน้าถอดสี พวกเขารู้จักบรรดาบุคคลที่มีสถานะสูงส่งเป็นที่สุดจริงๆ ทั่วทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ จักรพรรดิดำรังเกียจที่จะซ่อนเร้นตัวตนเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ดังนั้นเหล่าบุคคลระดับสูงของสำนักปักษาเขียวที่มีโลกทัศน์สูงส่งพอเหล่านี้ก็รู้ถึงตัวตนของจักรพรรดิดำได้ ต่างก็อกสั่นขวัญแขวนอับจนคำพูดโดยไม่รู้ตัว
“จักรพรรดิดำหรือ”
“ที่แท้ก็คือจักรพรรดิดำนั่นเอง!”
“ผู้อาวุโสสูงสุดรู้จักกับจักรพรรดิดำด้วยหรือนี่” พวกเขาแต่ละคนประสานสายตากัน หัวใจเต้นรัวเร็วยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนในโลกทิพย์นิจนิรันดร์จะมีอยู่จำนวนหนึ่ง แต่นามอันทรงเกียรติของจักรพรรดิดำกลับเหนือกว่าขั้นอลวนโดยทั่วไปมากมายนัก เขากับบรรพชนโลกามีความเกี่ยวดองเป็นพี่น้องกัน
******
ณ โลกทิพย์โบราณอันไกลโพ้น
ที่วังก้นบึ้งทะเลสาบ
ผู้วิเศษหวั่งหมิงนั่งอยู่บนบัลลังก์ สีหน้าไม่น่าดู เหล่าผู้ติดตามที่อยู่ด้านข้างต่างก็กลั้นหายใจ พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ว่าเจ้านายบ้านตนในยามนี้อารมณ์ไม่ดีอย่างที่สุด
“ไสหัวออกไปให้หมด” ผู้วิเศษหวั่งหมิงเอ่ยอย่างเย็นชา
“ขอรับ”
เหล่าผู้ติดตามถอยออกไปกันจนหมดสิ้น
ผู้วิเศษหวั่งหมิงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เนิ่นนานผ่านไปจึงเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “จักรพรรดิดำถึงกับสอดมือยุ่งเกี่ยว ข้าลำบากลำบนจึงจะสามารถขอร้องระดับสูงภายในสำนักได้ ให้พวกเขาเชื้อเชิญ ‘ประมุขแดนมรณะ’ ให้ลงมือสักครา! ถ้าหากมิใช่เขาก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้!”
เพราะประมุขแดนมรณะที่ลงมือเป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น แม้ว่าจะแหลกสลายไปก็มิได้สูญเสียแต่อย่างใด
แต่การที่จะสามารถทำให้ผู้ที่มีสถานะเช่นประมุขแดนมรณะผู้นี้ลงมือด้วยตนเองสักครั้งหนึ่งนั้น… ก็มิใช่เรื่องง่ายดายเอาเสียเลย ถ้าหากผู้วิเศษหวั่งหมิงไปเชิญเองโดยตรง อย่างน้อยก็ต้องจ่ายพันสองพันศิลาปฐมโลกา เขาคงจะทนรับมิได้
“โอ้”
“ในสำนักมิอาจใช้จ่ายมากเกินไปได้ รู้สึกว่าความหวังที่จะทำสำเร็จค่อนข้างต่ำ”
ผู้วิเศษหวั่งหมิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่บ้าง “ถ้าหากตอนนี้เป็นเวลาเปิดศึก เกรงว่าก็จะสามารถระดมกองกำลังย่อยกองหนึ่งไปจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างง่ายดาย!”
ตอนนี้สำนักทิพย์โบราณอยู่ในระยะ ‘พักฟื้น’
ระยะเวลาเนิ่นนานมาจนถึงตอนนี้
โดยทั่วไปต่างก็เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อสงครามขึ้น การต่อสู้ทุกครั้งล้วนโชกเลือดคาวโลหิต เทพจักรวาลตกต่ำก็สามารถเห็นได้อยู่บ่อยครั้ง ดังเช่นสิ่งมีชีวิตขั้นที่สองอย่าง ‘จักรพรรดิเก้าเมฆา’ และ ‘บรรพชนชาง’ ต่างก็ตกต่ำ ขั้นที่สามตกต่ำก็มีมากยิ่งกว่า เช่นโลกทิพย์นั้น อันที่จริงแล้วมิได้มีเพียงแค่โลกทิพย์ห้าแห่ง เพียงแต่เปิดสงครามที่ขยายไปใหญ่โต โลกทิพย์จึงถูกตีจนแหลกสลายไป
ดังเช่นกู่ฉี ก็เพราะกำเริบบ้าบิ่นไปทำลายเรื่องดีของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ยั่วยุจนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดือดดาล ไล่ล่าสังหารโดยไม่เสียดายค่าใช้จ่าย! สถานที่เช่นโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็ยังมิกล้าให้ความคุ้มครองเลย
เพราะถ้าหากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่เสียดายค่าใช้จ่ายจริงๆ โลกทิพย์ธรรมดาสามัญแห่งหนึ่งก็ย่อมต้านจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ไหวอยู่แล้ว เช่นโลกทิพย์จอมมารดาและโลกทิพย์นิจนิรันดร์ แม้จะมีหวังที่จะต้านไหว แต่ตัวกู่ฉีเองก็เป็นผู้ท่องอากาศที่ไปถึงระดับสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดแล้ว ความสามารถในการหนีเอาชีวิตรอดแข็งแกร่งเป็นที่สุด ภายใต้ความโมโหของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่มาตลอดจนถึงวันนี้ ก็เพียงเพราะกู่ฉีก็ออกคำสั่งเอาไว้…
เรื่องที่สั่งห้ามมิให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดออกไปว่าเป็นศิษย์ของเขา เพราะเมื่อใดที่เปิดเผยก็กลัวว่าเพลิงโทสะที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีต่อกู่ฉีก็อาจจะเกี่ยวพันมาถึงตงป๋อเสวี่ยอิงได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นขั้นอลวนก็ยังยากที่จะเอาชีวิตรอดภายใต้เพลิงโทสะของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์
“น่าเสียดายที่การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว” ผู้วิเศษหวั่งหมิงลอบทอดถอนใจ
ในยามสงคราม ทั้งสองฝั่งบาดเจ็บล้มตาย ต่างก็ทุกข์โศกกันเป็นอย่างมาก เมื่อสงครามสิ้นสุด ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องพักฟื้น อย่างมากก็แค่การประมือเล็กๆ เท่านั้น กระทั่งการตกต่ำของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็พบเห็นได้ยากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตกต่ำของเทพจักรวาลเลย
“ตอนนี้ผู้อาวุโสจำนวนมากภายในสำนักต่างก็กำลังบำเพ็ญกันอยู่ รอโอกาสเถิด” ผู้วิเศษหวั่งหมิงเอ่ยพึมพำ เพียงแค่รอให้ถึงโอกาส อย่างเช่นสงครามปะทุขึ้น เขาที่เป็นผู้วิเศษคิดหาวิธีดึงดูดพลังมาสักเล็กน้อยก็สามารถบดขยี้ตงป๋อเสวี่ยอิงจนตายได้แล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลา ผู้แกร่งกล้าที่ตกต่ำก็มีตั้งไม่รู้เท่าใด
สำหรับตอนนี้น่ะหรือ ผู้วิเศษหวั่งหมิงเข้าใจดีว่าได้แต่รอคอยเท่านั้น!
……
ณ ภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียว ภายในคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรินสุราชั้นเลิศให้ ในขณะเดียวกันนั้นก็พูดว่า “ผู้อาวุโสจักรพรรดิดำเลือกปลีกวิเวกอยู่ทางฝั่งสำนักปักษาเขียว เป็นเพราะข้าอย่างนั้นหรือขอรับ ไม่ทราบว่าเพราะอะไรข้าน้อยจึงทำให้ผู้อาวุโสเป็นเช่นนี้หรือ”
“เจ้าบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดใช่หรือไม่” จักรพรรดิดำยกจอกสุราขึ้นจิบเบาๆ อึกหนึ่ง พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ผู้อาวุโสจักรพรรดิดำทราบได้อย่างไรกัน อ้อ เป็นเพราะความเคลื่อนไหวยามที่ข้าบำเพ็ญจนบรรลุแล้วอย่างนั้นหรือขอรับ”
จักรพรรดิดำส่ายศีรษะเบาๆ
ปัง!
ด้านหลังของเขาพลันมีปักษาชาติสีแดงเพลิงตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ขนของปักษาขนาดมโหฬารตัวนี้ก็สามารถเห็นได้อย่างกระจ่างชัด นัยน์ตาทั้งคู่คล้ายจะแฝงไว้ด้วยอารมณ์ ปีกขนาดมหึมาของมันกระพือน้อยๆ กระแสอากาศสีแดงเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางกระแสอากาศทุกสายคล้ายกับมีจักรวาลขนาดย่อส่วนแห่งหนึ่งกระเพื่อมไหวอยู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นแล้วก็ตกตะลึง ‘ร่างจำแลงปีศาจชาด’ นี้ก่อให้เกิดแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งกว่าตนมากมายเหลือเกิน โชคดีที่จักรพรรดิดำจงใจเก็บงำ มิฉะนั้นเกรงว่าตนคงจะต้องติดกับแน่แล้ว
“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจักรพรรดิดำก็จะบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังไปถึงระดับขั้นเช่นนี้แล้วด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงอัศจรรย์ใจ
ในฐานข้อมูลสาธารณะบันทึกเอาไว้
จักรพรรดิดำมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโอหัง การต่อสู้ก็บดขยี้ซึ่งๆ หน้า! ยังไม่เคยได้ยินว่าเขาเชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงมาก่อนเลย
“เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเป็นสิ่งที่ข้าเผยแพร่ออกไปข้างนอก” จักรพรรดิดำพูดยิ้มๆ “ตอนแรกปล่อยต้นฉบับออกไปทั้งสิ้นสามสิบเล่ม อาจจะถูกเทพจักรวาลบางคน ขุมอำนาจบางแห่งเอาไป และอาจมีบางส่วนที่สูญหายไปแล้วกระมัง”
“ผู้อาวุโสเป็นผู้เผยแพร่อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้น “ผู้อาวุโสถึงกับคิดค้นเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณเช่นนี้ออกมาได้ นับถือ นับถือ”
เขานับถืออย่างยิ่งโดยแท้จริง
โลกเขตลวงเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของเคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณนี้เท่านั้น ยังมีกลิ่นอายชวนหลงใหล และประโยชน์ที่มีต่อวิญญาณอีกด้วย…
“ไม่ๆๆ”
จักรพรรดิดำส่ายศีรษะ “ข้าคิดค้นมิได้หรอก นี่เป็นเคล็ดวิชาสืบทอดอันมีเอกลักษณ์ที่ข้าได้รับมาโดยบังเอิญ อ้างอิงจากบันทึกของเคล็ดวิชาสืบทอดในตอนแรก ข้าเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น! หลังจากที่ข้าหลอมรวมเสร็จแล้วจึงค่อยเผยแพร่ออกสู่ภายนอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักในทันที
“แต่ว่าข้าไม่อยากให้เคล็ดวิชาของข้าถูกโลกภายนอกล่วงรู้จนหมด ดังนั้นเช่นเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด ที่เผยแพร่ออกไปล้วนเป็นปีศาจชาดแปดแปรทั้งสิ้น! แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีร่างแปรที่เก้าอยู่ด้วย” จักรพรรดิดำยิ้มน้อยๆ
“ยังมีร่างแปรที่เก้าด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเป็นประกาย เขาอดที่จะนึกอยากได้มิได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากเช่นไรดี
“ข้าสามารถถ่ายทอดร่างแปรที่เก้านี้ให้แก่เจ้าได้” จักรพรรดิดำพยักหน้า “ข้าเผยแพร่เคล็ดวิชาสืบทอดหลายศาสตร์ออกไปแล้ว ก็หวังว่าเคล็ดวิชาสืบทอดสี่ศาสตร์นี้จะมีผู้แกร่งกล้าที่ร้ายกาจจำนวนหนึ่งได้ไป ข้าไม่สามารถไปถึงขั้นสุดยอดสุดท้ายได้ แต่หวังว่าชนรุ่นหลังจะมีใครสักคนที่สามารถไปถึงจุดนี้ได้”
………………………………………….