Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 22 ถึงคราวโชคดี
ณ โลกทิพย์นิจนิรันดร์ ในวังแห่งหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในทิวเขาหลานชาง บริเวณโดยรอบวังจัดวางค่ายกลเอาไว้ ต่อให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปมาเดินอยู่ใกล้ๆ ตรงหน้าก็ยังยากที่จะค้นพบได้
วังแห่งนี้ก็คือที่พำนักในปัจจุบันของ ‘จ้าวทะเลสาบชี่หู’ หัวหน้ารองของผาจอมมารในตอนนั้น
“โชคดีของข้า ก่อนหน้านี้ตกลงไปถึงก้นบึ้ง ตอนนี้ในที่สุดก็วกกลับขึ้นมาแล้ว!” ภายในลานเล็กด้านในวัง จ้าวทะเลสาบชี่หูสั่งผู้ติดตามรอบกายให้ปล่อยตนอยู่ตามลำพังคนเดียว ในมือมีกระจกที่มีลักษณะเฉพาะอันหนึ่ง ด้านหลังของกระจกนั้นดูเหมือนจะเป็นก้อนหินธรรมดาทั่วไป ด้านหน้าก็เป็นก้อนหิน แต่กลับเรียบลื่นเป็นอย่างยิ่ง พินิจดูอย่างละเอียดก็ยังสามารถเห็นรูปลักษณ์ของตนเองได้อย่างทุลักทุเล
ก็สามารถนับได้ว่าเป็นกระจกอันหนึ่ง แต่ความมหัศจรรย์ของ ‘กระจกศิลา’ นั้นกลับมิอาจคาดการณ์ได้เลย
“ตอนนั้นข้าเห็นพลังยุทธ์ของจอมมารดำแข็งแกร่งพอดู ความเชี่ยวชาญของเขาส่งเสริมข้าได้ เช่นนี้จึงทำให้อยากจะเข้าสู่ผาจอมมาร” จ้าวทะเลสาบชี่หูลูบคลำกระจกศิลาในมือเบาๆ “พอข้าร่วมมือกันกับเขา พลังรบก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างแท้จริง ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวเหล่านั้น ก็มิอาจเทียบได้กับเราสองคนร่วมมือกัน…ค่ายสังหารและการปล้นชิง วันเวลาเหล่านั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน ทำให้ข้าสะสมทรัพยากรได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“แต่ว่า…”
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นสมาชิกของสองสำนักใหญ่ไปเสียได้” จ้าวทะเลสาบชี่หูแววตาหม่นหมอง “ทำเสียจนข้าก็ติดร่างแหไปด้วย ถูกยอดฝีมือใต้บังคับบัญชาของบรรพชนโลกาจับตัวไป!”
ถูกจับกุมตัว คุมขัง และสอบสวน…
ในตอนนั้นจ้าวทะเลสาบชี่หูตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
บรรพชนโลกามีสถานะเช่นไร แทบจะยืนอยู่ที่จุดสูงที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด มีเพียงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่สามารถกดดันให้บรรพชนโลกาก้มหัวให้ จ้าวทะเลสาบชี่หูในตอนนั้นสิ้นหวังเสียแล้ว คิดว่าตนเองอาจติดร่างแหจนต้องตาย โชคดีที่หลังจากเผชิญกับการไต่สวนหลายครั้งแล้วตัดสินว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับสองสำนักใหญ่ก็ปล่อยตนออกมากลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง!
“สมควรตายนัก จอมมารดำที่สมควรตาย!” จ้าวทะเลสาบชี่หูยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห “เจ้าหลบภัยในสองสำนักใหญ่ อย่าทำร้ายข้าก็แล้วกัน!”
“เจ้าตายไปแล้ว… ข้าช่างโชคดีเสียจริง!”
จ้าวทะเลสาบชี่หูอดที่จะก้มหน้าลงมองกระจกศิลาในมือมิได้ เขาลูบมันสองครั้งอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากที่เขาถูกปล่อยตัวออกมาแล้วก็ไปรีดทรัพย์ที่ผาจอมมารมารอบหนึ่ง เช่นค่ายกลรักษาการณ์ เป็นต้น ตอนนั้นพวกเขาสองคนก็ใช้จ่ายไปเป็นมูลค่าไม่น้อย ภายหลังเขาก็จากไป ผาจอมมารก็ล่มสลายลงอย่างรวดเร็วยิ่ง “ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขนาดมาจัดการข้ากับจอมมารดำ ดูท่าทางระยะเวลาที่ผ่านมานี้จะมีค่ายสังหารมากมายเกินไป เกรงว่าคงจะล่วงเกินผู้แกร่งกล้าบางคนเข้า จนไปกระตุ้นตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มา”
“แย่แล้ว ถึงแม้ว่าการสังหารปล้นชิงจะลดจำนวนลง การสะสมทรัพยากรก็จะช้าลงเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังทำตัวให้เล็กไว้หน่อยดีกว่า”
ตอนแรกจ้าวทะเลสาบชี่หูตัดสินใจจะเก็บตัวกบดาน
แต่เขาก็ยังติดตามรอยประทับที่ทิ้งเอาไว้บนร่างของ ‘เจ้าเมืองต้านวายุ’ แล้วเสาะหาตัวต่อไป เจ้าเมืองต้านวายุย่อมไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย จ้าวทะเลสาบชี่หูมีหัวใจก็นับได้ว่าไม่มี บวกกับทางด้านการเคลื่อนที่ผ่านอากาศของเขาที่เหนือกว่าเจ้าเมืองต้านวายุอยู่มาก… ดังนั้นเจ้าเมืองต้านวายุอยากจะหนีก็หนีไม่พ้น ในท้ายที่สุดก็ถูกทำให้ตายทั้งเป็น กระจกศิลาก็ตกมาถึงมือของจ้าวทะเลสาบชี่หู
“ถึงคราวโชคดีของข้าแล้วจริงๆ กระจกศิลานั้นมหัศจรรย์ยิ่งกว่าที่ข้าเข้าใจเสียอีก” จ้าวทะเลสาบชี่หูตื่นเต้นเป็นที่สุด “อาศัยกระจกศิลา ข้าถึงขนาดมีหวังที่จะเปิดทางออกสู่วิถีศาสตร์โบราณอันสมบูรณ์แบบของข้า! ไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่หกของเจดีย์ดาว ถึงขนาดเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เขาได้กระจกศิลามาครองเป็นเวลาหลายล้านปีแล้ว
ยิ่งตระหนักรู้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามหัศจรรย์หาใดเปรียบ เป็นสมบัติล้ำค่าที่มหัศจรรย์ที่สุดที่เขาได้ครอบครองในชีวิตนี้
จากนี้ไป…
เดิมทีจ้าวทะเลสาบชี่หูที่กบดานแล้วก็ยังมีความไม่ยอมจำนนใจอยู่บ้าง แต่กลับเกิดความปรารถนาขึ้นในใจ เขายอมปล่อยวางค่ายสังหารปล้นชิงอย่างสิ้นเชิงเป็นการชั่วคราว แล้วทุ่มเทจิตใจให้กับการศึกษากระจกศิลา “หึๆ รอให้พลังยุทธ์ของข้าแกร่งกล้ากว่านี้ก่อน แล้วหลังจากที่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนแล้ว เวลานั้นจึงจะทำให้ตื่นตะลึงไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างแท้จริง! ผู้อาวุโสตำหนักในของวังทวีสูญตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะไปนับเป็นอะไรได้เล่า”
ต่อให้ผู้อาวุโสตำหนักในร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น
ขอเพียงแค่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน สถานะของเขาก็จะไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว เป็นยักษ์ใหญ่ของฝ่ายหนึ่ง เป็นผู้นำของฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง
อย่างเช่นขั้นรวมเป็นหนึ่งอยากจะพึ่งพิงในขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่แน่ว่าขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะรับ! ดังเช่นบรรพชนโลกาผู้สูงส่งก็รังเกียจที่จะรับขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นมาอยู่ภายใต้สำนัก
ส่วนยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าหากพวกเขาปรารถนาที่จะพึ่งพิงในขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์สักแห่ง ขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เต็มอกเต็มใจกันเป็นอย่างยิ่ง!
แม้กระทั่งเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมากมายต่างก็ไม่อยากจะพึ่งพิงสักเท่าใดนัก เพราะว่าพึ่งพิงแล้วถึงแม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือบางอย่าง แต่กลับต้องรับผิดชอบภารกิจ อย่างเช่นอาจถูกดินแดนศักดิ์สิทธิ์จัดการให้ไปยังชายขอบของห้วงอากาศ ไปต่อสู้กับฝูงมารผลาญทำลายก็เป็นได้! นอกจากนี้ ยิ่งเป็นผู้แกร่งกล้าก็ยิ่งหยิ่งยโสจนเข้ากระดูก ดังนั้นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนมากต่างก็สร้างขุมอำนาจของตนเองขึ้นมา
อย่างเช่นจักรพรรดิดำและบรรพชนทรายที่ต่างก็มิได้พึ่งพิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงระดับขั้นนี้ของพวกเขา นอกเสียจากร่างจริงของเทพจักรวาลมาสังหาร มิฉะนั้นก็ย่อมมิอาจคุกคามพวกเขาได้เลย! และเหล่าเทพจักรวาลก็คงไม่สร้างความบาดหมางกับบรรดายักษ์ใหญ่เหล่านี้อย่างไร้ซึ่งเหตุผลอยู่แล้ว
“เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” จ้าวทะเลสาบชี่หูเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงมองกระจกศิลาในมือ
ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความมั่นใจในการเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับขั้นอลวนอย่างกระจ่างแจ้งแต่อย่างใดเลย แต่ตอนนี้มีกระจกศิลาแล้ว หลายล้านปีมานี้เขาได้เห็นหนทางที่ตนจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนอย่างรางๆ แล้ว ก็ย่อมมีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว
…
ฟิ้ว
ก้อนเมฆขาวราวกับกลุ่มเส้นไหม ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากอากาศอันบิดเบี้ยว ยืนอยู่บนชั้นเมฆพลางมองลงมายังทิวเขายาวต่อเนื่องอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง
“ทิวเขาหลานชาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงต่ำ “ซ่อนตัวอยู่ลึกพอดูทีเดียว มารตนหนึ่งอย่างเช่นจ้าวทะเลสาบชี่หูนี้ถึงกับสามารถอดทนไม่ทำการสังหารแล้วยังกบดานอยู่อย่างเงียบๆ ได้ ช่างมหัศจรรย์นัก หรือว่าการถูกสำนักของบรรพชนโลกาจับกุมตัวไปสอบสวนจะทำให้เขากลัวจริงๆ”
สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่เชื่อเอาเสียเลย
พญามารที่ระดับขั้นการบำเพ็ญจิตใจไม่มีทางต่ำต้อย มีมนตราอันลึกล้ำเช่นนี้ อย่างน้อยระดับขั้นจิตใจก็ต้องเป็นระดับ ‘จิตใจดุจคมมีด’ จิตใจย่อมมิอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่า…จ้าวทะเลสาบชี่หูคงจะอดทนกบดานเป็นระยะเวลาหนึ่ง เวลาที่อดทนอดกลั้นยิ่งยาวนาน ความเป็นมารภายในจิตใจก็อาจจะปั่นป่วน สุดท้ายก็อาจจะอดรนทนไม่ไหว ทำการสังหารขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าเขากลับคาดการณ์ผิดเสียแล้ว! คราวนี้จ้าวทะเลสาบชี่หูกลับมิได้กดดันตนเอง หากแต่จมดิ่งอยู่กับการหยั่งรู้ภายในกระจกศิลาอย่างบ้าคลั่ง
“อ้างอิงจากข้อมูลของหอทะเลสัตตดารา สถานที่ตั้งของวังของจ้าวทะเลสาบชี่หูควรจะอยู่ที่นั่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวออกไป สวบๆๆ เคลื่อนย้ายไม่กี่ครั้งก็ไปถึงส่วนลึกของทิวเขาหลานชาง
มองลงไปเบื้องล่าง
บริเวณส่วนลึกของภูเขาเบื้องล่างมีทะเลสาบที่ดูราวกับหยกขนาดมโหฬาร บริเวณโดยรอบทะเลสาบรายล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้า งดงามเป็นอย่างยิ่ง มองไม่เห็นร่องรอยของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
“พรึ่บ”
หว่างคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏรอยประทับของปีศาจชาดสีแดงเพลิง ที่ด้านหลังก็มีวิหคเทพปีศาจชาดสีแดงเพลิงที่สยายปีกอันมหึมาตนหนึ่งปรากฏขึ้น ปีศาจชาดกระพือปีกอย่างช้าๆ กระแสอากาศสีแดงเพลิงแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ และกลิ่นอายวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แผ่ออกไปเช่นเดียวกัน
เคล็ดภาพลวงปีศาจชาด
กระแสอากาศสีแดงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทั้งยังมีระลอกคลื่นวิญญาณที่มิอาจแอบมองได้
ระลอกคลื่นวิญญาณพลันเคลื่อนผ่านค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องล่าง ถึงแม้ว่าค่ายกลจะร้ายกาจ แต่กลับมิอาจต้านทานการโจมตีของวิญญาณได้เลย! เขตลวง…ก็คือการโจมตีของวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าลูกน้องผู้ติดตามจำนวนมากมายที่อยู่ภายในวังที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องล่างแห่งนั้นแต่ละคนต่างก็เผยสีหน้างุนงงสับสน แล้วถูกกวาดเข้าไปภายในเขตลวงจนหมดสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงยกระดับเคล็ดภาพลวงปีศาจชาดไปจนถึงพลังยุทธ์ชั้นที่หกของเจดีย์ดาว แม้กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญต่างก็ได้รับผลกระทบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกน้องผู้ติดตามเหล่านี้เลย
…………………………………….