Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 6 ศิษย์และอาจารย์พบหน้า
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะกำลังมองดูจวนเทพเนตรมารตรงหน้า แต่อันที่จริงกลับสำแดงแผนภาพคลื่นจานรุกรานเข้าไปภายในจวนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ แล้วพบ ‘อวิ๋นเผิง’ เจ้าหนุ่มที่กำลังจะกลายมาเป็นศิษย์ของเขา
“ยอมคุกเข่าเอาหน้าแนบพื้นแต่โดยดีเช่นนี้เชียวหรือนี้” หัวคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่รีบบุ่มบ่ามเข้าไป
ถูกจับตัวไปเป็นทาส
ช่างเป็นจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตคนโดยแท้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ทาสคนหนึ่งแทบจะไม่มีโอกาสโงหัวขึ้นมาได้เลย
ดังนั้นจึงสามารถอาศัยช่วงนี้สอดส่องผู้ที่จะมาเป็นศิษย์ของตนในภายหน้าผู้นี้ได้ “สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายแล้วสาวเท้าออกไป ก็ไปถึงหอสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปแล้วหาที่นั่งก่อนจะนั่งลง เขาสั่งสุราชั้นดีและอาหารรสเลิศมาแล้วนั่งดื่มกินอยู่เพียงลำพัง ขณะเดียวกันก็สำรวจทุกการกระทำของศิษย์คนนี้ของตนอยู่ห่างๆ…เขาก็ไม่กล้าประมาทเกินไป เมื่อกลายเป็นทาสแล้ว ก็ไม่แน่ว่าอาจจะสิ้นชีวิตไปเมื่อไหร่ก็ได้ เขาต้องรับรองความปลอดภัยของศิษย์ตน
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องดู พลังงานของหัวใจหลิวเมฆาแดงสามารถคงอยู่ได้กว่าสามร้อยล้านปี เขาจึงไม่รีบร้อนกลับไป
“เห็นทีจะยังไม่ล้มเลิก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา “คว้าทุกช่วงเวลาเพื่อบำเพ็ญเช่นนี้ ตอนที่ทำงานหนัก ถูกตำหนิหรือกระทั่งตอนถูกแส้ตี…เขาก็ล้วนแบ่งสมาธิไปบำเพ็ญทั้งสิ้น”
“เอ๊ะ ต้องลงมือแล้ว หากยังไม่ลงมืออีก ศิษย์คนนี้ของข้าคงจะไม่มีชีวิตอีกแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นด้วยอารมณ์เรียบเฉย เมื่อสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็หายวับไป
เนื่องจากนี่คือบริเวณที่บรรพชนโลกาปกครอง ที่นี่จึงพบเห็นการเข่นฆ่าได้ทุกบริเวณ การกลืนกินดวงวิญญาณมากมายก็เป็นเรื่องปกตินัก ทาส การลงทัณฑ์ การทรมาน การเข่นฆ่า…สิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่ถูกกลืนกินเป็นประจำ ‘การลงทัณฑ์’ จำนวนมากคือการกลืนลงไปในคำเดียว! นี่คือสถานที่ที่ ‘ดำมืด’ ยิ่งกว่าหุบเหวลึกดำมืดมากมายนัก
……
ณ ห้องลงทัณฑ์แห่งหนึ่งภายในจวนเทพเนตรมาร
อวิ๋นเผิงผู้มีท่าทางเป็นหนุ่มน้อยถูกผนึกกำลังและมัดเอาไว้ ภายในห้องลงทัณฑ์ยังมีคนอีกผู้หนึ่ง เป็นบุรุษร่างผอมสูงผิวขาวซีด รูปโฉมของเขาหล่อเหลานัก นัยน์ตาเรียวยาวเป็นสีแดงเข้ม ลิ้นยาวเหยียดกำลังไล้เลียมุมปาก ลิ้นยื่นยาวออกมาแล้วกวาดออกไปเป็นระยะสองสามเมตร แล้วไล้เลียผิวของอวิ๋นเผิงคำหนึ่ง ทันใดนั้นผิวหนังชิ้นหนึ่งก็ถูกเลียจนหลุดลอกออกมา
“อ๊าก” อวิ๋นเผิงข่มความเจ็บปวดเอาไว้ “หรือว่าข้าจะต้องตายไปแล้วจริงๆ ถูก ‘ผู้เคารพแมลงโลหิต’ ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในจวนเทพเนตรมารจับตามองเสียแล้ว”
ผู้เคารพแมลงโลหิตคือศิษย์รักของประมุขจวนเทพเนตรมาร ‘จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมาร’
เขามีความสามารถเรื่องระบบการบำเพ็ญ‘กลืนกิน’ เป็นอันมาก บัดนี้ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว และนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่ง เรียกได้ว่าผู้เคารพแมลงโลหิตเป็นผู้ที่ชมชอบการกลืนกินที่สุดในจวน โดยปกติแล้วเขาบุกฝ่าตามที่ต่างๆ ภายนอก กลืนกินสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน บางครั้งก็กลับมายังนครภัตตาหารทองคำบ้าง เนื่องจากภายในนครมีกฎอยู่ว่ามิอาจกลืนกินตามอำเภอใจได้
ดังนั้นเมื่ออยู่ภายในนคร โดยทั่วไปผู้เคารพแมลงโลหิตก็จะบำเพ็ญ และบางครั้งก็จะเลือกเป้าหมายคนหนึ่งแล้วค่อยๆ ดื่มด่ำไป
ครั้งนี้ ‘อวิ๋นเผิง’ เป็นผู้ถูกเลือก
“ผู้สืบทอดของสำนักปักษาเขียวหรือ ภายในกายมีการบ่มเพาะโลหิตของสำนักปักษาเขียว” นัยน์ตาทั้งสองของผู้เคารพแมลงโลหิตเปล่งประกาย ลิ้นของเขายื่นออกไปแล้วแทะเล็มเนื้อชิ้นนั้น กินจนมีโลหิตเปรอะเต็มปาก จากนั้นโลหิตทุกหยดก็ถูกเลียไปจนหมด “รสชาติช่างแสนวิเศษจริงๆ ได้ยินมาว่า เมื่อบำเพ็ญมรดกของสำนักปักษาเขียวจนถึงขีดสุด จนสามารถแปรเป็นรูปร่างของสำนักปักษาเขียวคนหนึ่งได้ ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้อย่างนั้นหรือ”
“ฮุฮุ ข้าได้พลิกดูทาสที่เพิ่งจับมาใหม่ในจวน เห็นศิษย์สำนักปักษาเขียว ข้าก็ตั้งใจตรวจสอบดู รู้สึกว่ากลิ่นอายของเจ้าดึงดูดข้าได้ดีที่สุด แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย”
ขณะที่ผู้เคารพแมลงโลหิตกำลังกลืนกินลงไปนั้น
ภายในกายของเขากลับมีแมลงเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนดูดซึมเลือดเนื้อเหล่านั้นลงไป ขณะเดียวกับที่ดูดซึมนั้น ก็แยกแยะได้ทันทีว่าเป็นโลหิตของสำนักปักษาเขียว…ทั้งยังได้ลองนำโลหิตของสำนักปักษาเขียวหลอมรวมเข้าไปในกายของตน
“โลหิตของสำนักปักษาเขียวมีส่วนช่วยร่างกายของข้าจริงๆ ด้วย” ผู้เคารพแมลงโลหิตลอบพึมพำ
ระบบการบำเพ็ญกลืนกิน
แม้โดยทั่วไปจะอ่อนแอมาก อย่างขั้นรวมเป็นหนึ่งโดยทั่วไปก็ล้วนมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่ง แต่ระบบนี้ก็มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งถือกำเนิดขึ้นเช่นเดียวกัน! ดังเช่น ‘บรรพชนโลกา’ ผู้สูงส่งเหนือใครก็ได้พิสูจน์เรื่องนี้ อย่างผู้ที่เขารับเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงยิ่งในระบบเหล่ากลืนกิน
พวกเขาสามารถนำสารบางส่วนจากการกลืนกินดวงวิญญาณหลอมรวมเข้าไปในกาย ซึมซับจุดเด่นของเลือดเนื้อและดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทำให้ชีวิตของตนสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ!
อย่างบรรพชนโลกา…
ความแข็งแกร่งของร่างกายเขานั้นยังแข็งแกร่งกว่าราชันย์มีดแห่ง ‘ระบบการบำเพ็ญที่แข็งแกร่งที่สุด’ หรือคนอื่นๆ ตั้งมากมาย ร่างกายของบรรพชนโลกาเป็นร่างที่สมบูรณ์แบบที่สุด แม้แต่วิญญาณก็แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบเช่นกัน ดังนั้นด้วยกลเม็ดจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘บรรพชนทิพย์’ หากเผชิญหน้ากับบรรพชนโลกาก็มิอาจคว้าชัยได้
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่หนึ่ง รองลงมาก็คือจอมมารดาและบรรพชนโลกา บรรพชนทิพย์นั้นแตกต่างกับจอมมารดาและบรรพชนโลกาน้อยที่สุด รองลงมาอีกก็คือราชันย์มีด! บรรพชนคีรีมารและประมุขเหยากวงนั้นถัดลงไปอีก
“อืม” ผู้เคารพแมลงโลหิตกำลังดื่มด่ำอยู่ ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไป เนื่องจากภายในห้องลงทัณฑ์มีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น
“เจ้าเป็นใครกัน” ผู้เคารพแมลงโลหิตแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา เขาระมัดระวังตัวขึ้นมา
“ข้าเป็นอาจารย์ของเขา” ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ไปทางอวิ๋นเผิงที่ถูกมัดอยู่ด้านข้าง เมื่อเขาชี้ไป โซ่บนร่างของอวิ๋นเผิงก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงจนสิ้น อวิ๋นเผิงมอชายหนุ่มอาภรณ์ขาวแปลกหน้าตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
เขาสามารถมั่นใจได้ว่า…
เขาไม่รู้จักยอดฝีมือเร้นลับตรงหน้าผู้นี้แน่
“ท่านอาจารย์。อวิ๋นเผิงคุกเข่าลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นก็โขกศีรษะ
แม้จะไม่รู้จัก
แต่เขาก็รู้ชัดว่า…นี่คือความหวังที่เขาจะรอดชีวิต
“อาจารย์ของเขารึ” ผู้เคารพแมลงโลหิตจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง “เจ้าเป็นคนของสำนักปักษาเขียวหรือ”
“นับว่าใช่กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ในภายหน้าตนต้องไปพิทักษ์สำนักปักษาเขียวนานถึงล้านล้านปี ก็พอจะนับได้ว่าเป็นคนของสำนักปักษาเขียวอย่างพอถูไถ
“คนของสำนักปักษาเขียว เจ้ากล้าบุกรุกเข้ามาในจวนเทพเนตรมาร ช่างบังอาจนัก” ผู้เคารพแมลงโลหิตยิ้มเย็น
ตู้มมมม…
ทันใดนั้นประตูห้องลงทัณฑ์ก็เปิดออก คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากภายนอก นี่คือบุรุษผู้ชั่วร้ายสวมอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วของเขามีร่องรอยหนึ่งอยู่ เมื่อเข้ามาสายตาก็กวาดมองไปแล้วหยุดอยู่ที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ท่านอาจารย์” ผู้เคารพแมลงโลหิตกล่าว “คนของสำนักปักษาเขียวผู้นี้ถึงกับกล้าบุกเข้ามาในจวนเทพเนตรมารของพวกเรา” เขาพบว่าจู่ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏกายขึ้น จึงมิกล้าประมาท แล้วรายงานขึ้นไปทันที
บุรุษผู้ชั่วร้ายผู้นี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยแววตาสำรวจ แล้วยิ้มหยันพลางพูดว่า “ในบรรดายอดฝีมือสำนักปักษาเขียวน่าจะไม่มีเจ้าอยู่นะ ทว่ากล้าบุกรุกพื้นที่ของข้า ช่างรนหาที่ตายจริงๆ ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นอาหารของข้าก็แล้วกัน” เขาพูดพลางอ้าปากหมายจะกลืนกิน
“เนตรมาร!”
น้ำเสียงกังวานดังก้องขึ้น
บุรุษผู้ชั่วร้ายสะดุ้ง
ทันใดนั้นเงาร่างองอาจสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้องลงทัณฑ์ เขามีผมสีทอง ผิวหนังของเขาก็สะท้อนประกายสีทองสะดุดตา ปากสีแดงดุจอ่างโลหิต จมูกเชิดชี้ฟ้า นัยน์ตาทั้งคู่ฉายแววเหิมเกริมสูงเทียมฟ้า
“ท่านประมุขรัฐ” บุรุษผู้ชั่วร้ายโค้งคำนับด้วยความเคาระโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ท่านประมุขรัฐ” ผู้เคารพแมลงโลหิตก็รีบโค้งคำนับด้วยความตกใจ
คนตรงหน้าก็คือผู้สร้างนครภัตตาหารทองคำ…ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำนั่นเอง นั่นคือผู้ที่บรรพชนโลกาชื่นชมและรับเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง ว่ากันว่าเขาบำเพ็ญสองระบบควบคู่กัน ทว่าลำพังแค่ระบบเหล่ากลืนกินก็มีพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าแล้ว หากพลังของศาสตร์โบราณก็ปะทุขึ้น…ในบรรดาเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าก็นับว่าเป็นยอดฝีมือระดับยอดสุด
คาดว่าพลังคงจะเทียบเท่ากับตงป๋อเสวี่ยอิงขณะที่ยังมิได้รู้แจ้ง ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’
ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำกลับมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
เนื่องจากขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามานั้นก็ได้ส่งสารให้ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำ ดังนั้นผู้ครองนครภัตตาหารทองคำจึงรีบมา เพราะถึงอย่างไรเมื่อโลกทิพย์ทั้งสามเผชิญหน้ากับสองลัทธิใหญ่ก็มีการร่วมมือกันโดยใกล้ชิด บุคคลระดับสูงของโลกทิพย์ทั้งสามต้องมีการร่วมมือกันมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงมิกล้าล่วงล้ำลงมือกับศิษย์ถ่ายทอดเองของบรรพชนโลกา แต่ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำก็ไม่กล้าลงมือกับผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญเช่นเดียวกัน
พวกเขาให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายเป็นอันมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิกล้าดูแคลนฝ่ายตรงข้าม เพราะถึงอย่างไรเขาก็วิเคราะห์แล้วว่าอีกฝ่ายมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าระดับยอดสุด แต่ในฐานะที่ประมุขรัฐปีกทองเป็นประมุขรัฐของแถบหนึ่งจึงมิได้ลงมือมาตั้งนานแล้ว
และผู้ครองนครภัตตาหารทองคำก็เข้าใจว่า…ผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นนัก พลังก็บรรลุถึงระดับนี้แล้ว ในภายหน้าพลังยากที่จะคาดเดาได้
“ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำกล่าวยิ้มๆ
สีหน้าของจ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารและผู้เคารพแมลงโลหิตด้านข้างล้วนเปลี่ยนแปรไป
“เหตุใดผู้อาวุโสตงป๋อจึงสนใจมายังนครภัตตาหารทองคำของข้าได้เล่า” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำพูดยิ้มๆ
“ศิษย์ของข้าถูกจับตัวมาเป็นทาสอยู่ในจวนเทพเนตรมาร แน่นอนว่าข้าต้องมา หากมาช้าไปแค่ก้าวเดียว เกรงว่าคงจะถูกกลืนกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็ปรายตามองอวิ๋นเผิงซึ่งอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง
อวิ๋นเผิงซึ่งรอดตายมาได้หวุดหวิด ยามนี้ยังมึนงงอยู่บ้าง
ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำผู้สูงส่งเหนือใครเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้ด้วยความเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ จะเป็นอาจารย์ของตนได้หรือ
เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำสีหน้าเข้มขึ้น สายตากวาดมองไปยังจ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมาร “เนตรมาร เหตุใดศิษย์ของผู้อาวุโสตงป๋อจึงถูกจับมาเป็นทาสอยู่ที่นี่ได้ ชดใช้ให้ให้ผู้อาวุโสตงป๋อเสียหน่อยเถอะ”
“ขอรับ” หว่างคิ้วของจ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารพลันยิงแสงสีม่วงรำไรตรงไปยังร่างของผู้เคารพแมลงโลหิตด้านข้าง ผู้เคารพแมลงโลหิตพลันแข็งค้างไปทันที เขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารอ้าปาก แล้วปากก็ขยายใหญ่ขึ้น แล้วกลืนผู้เคารพแมลงโลหิตลงท้องไปจนหมด
จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารเข้าใจดีนัก
ด้วยรู้จักนิสัยของประมุขรัฐของตน เขาจึงกินศิษย์ของตนลงไปเพื่อเป็นการชดใช้ความผิดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย! ภายในบริเวณที่บรรพชนโลกาปกครอง…ระดับชั้นนั้นเข้มงวดและโหดร้ายเสียยิ่งกว่า
“ผู้อาวุโสตงป๋อ แม้เนตรมารจะใจแคบไปหน่อย ทว่าเรื่องนี้ก็แล้วกันไปเช่นนี้ดีหรือไม่เล่า” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางหัวเราะแหะๆ “ไปๆๆ ห้องลงทัณฑ์นี้มิใช่สถานที่ดีอะไรเลย ไปนั่งเล่นตรงที่พำนักของข้ากันเถิด”
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ในใจยังคงตกใจกับการที่จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารกลืนกินผู้เคารพแมลงโลหิตลงไปในคำเดียวจนหมดอยู่บ้าง
เขาเคยได้ยินมาว่าในบริเวณที่บรรพชนโลกาปกครองนั้นเลือดเย็นและอำมหิต
แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นนี่นา
………………………..