Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 8 ผู้อาวุโสสูงสุดตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกทิพย์นิจนิรันดร์อีกครั้ง สำหรับเขาแล้ว การมุ่งหน้าไปยังที่ต่างๆ นั้นเป็นเรื่องง่ายเพียงชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น
“สำนักปักษาเขียว”
เขายืนอยู่บนทุ่งร้างทอดสายตามองไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน เทือกเขาตรงหน้าคือเทือกเขาสำนักปักษาเขียวซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ ‘สำนักปักษาเขียว’ นั่นเอง! ศิษย์ที่แข็งแกร่งของสำนักปักษาเขียว โดยทั่วไปล้วนมีร่างกายที่พิเศษอย่างยิ่ง ซึ่งก้าวหน้าไปทางขั้นสุดของ ‘สำนักปักษาเขียว’! ดังนั้นจึงดึงดูดความละโมบของผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกินให้มาลอบโจมตีแล้วกินลงไปให้หมดอยู่บ่อยครั้ง!
เพื่อให้ไม่ถูกกิน สำนักปักษาเขียวก็ต้องแข็งแกร่งด้วยตนเอง!
เคราะห์ดีที่เคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียวนั้นประทับแน่นอยู่บนเทือกเขาสำนักปักษาเขียว แม้ในประวัติศาสตร์ สำนักนี้จะถูกทำลายลงหลายครั้ง แต่ก็จะมีผู้บำเพ็ญหน้าใหม่มายังเทือกเขาแห่งนี้เพื่อศึกษาเคล็ดวิชาสืบทอดและบุกเบิกสำนักปักษาเขียวขึ้นมาอีกครั้ง!
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าเดินไป
ฟิ้ว
แต่ละก้าวของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนทะลุไปกว่าหมื่นลี้ ทั้งยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จนเข้าใกล้เทือกเขาสำนักปักษาเขียวตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“ใครน่ะ”
“นี่คือสำนักปักษาเขียว หากจะขึ้นเขา ก็ต้องเดินขึ้นมาจากเชิงเขา”
บรรดาศิษย์ที่ป้องกันสำนักปักษาเขียวอยู่มองเห็นเงาร่างสายหนึ่งไกลออกไป ก้าวแต่ละก้าวก็ล้วนแต่เป็นการเคลื่อนที่ในพริบตา เมื่อยิ่งเข้าไปประชิด แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะปลดปล่อยอานุภาพอันไร้รูปร่าออกมา แต่พวกเขาก็ยังคงคำรามออกมาด้วยความโกรธเคือง
เนื่องจากตลอดวันคืนอันยาวนาน พวกเขาก็ล้วนเข้าใจจุดนี้ดี
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ก็ต้องใช้พลังจึงจะสามารถกำราบอีกฝ่ายได้! นี่คือกฎเหล็กของดินแดนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแห่งนี้
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป ในมือมีน้ำเต้าสีดำปรากฏขึ้น เขาดึงจุกน้ำเต้าสีดำออก
สวบ
ลูกไฟลูกหนึ่งลอยมาเสียงดังสวบ หลังลอยออกไปแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นดวงดาราเพลิงขนาดมหึมาซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าล้านลี้! เปลวเพลิงด้านบนกลิ้งไปมา อานุภาพอันยิ่งใหญ่ ทำเอายอดฝีมือสำนักปักษาเขียวทั้งหลายซึ่งกำลังซ่อนตัวเพื่อบำเพ็ญเพียรอยู่พากันพรวดพราดออกไปอย่างรวดเร็ว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”
“ไยจึงมีระลอกคลื่นใหญ่โตถึงเพียงนี้”
“อานุภาพนี้ช่าง…”
หลังจากเหล่ายอดฝีมือสำนักปักษาเขียวแต่ละคนออกจากที่พำนักและสถานที่เก็บตัวของตนแล้วก็พากันเงยหน้ามองท้องฟ้า
ดวงดาราเพลิงขนาดมหึมาปลดปล่อยคลื่นความร้อนออกมาทำให้คนทั้งหมดพากันหน้าถอดสี มันสะดุดตาเสียยิ่งกว่าดวงตะวันกลางฟากฟ้า การคงอยู่ของมันถึงขั้นเริ่มส่งผลต่อการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์รอบด้าน เหนือผิวคลื่นความร้อนของดวงดาราเพลิงยังมีระลอกคลื่นจางๆ อักขระเทพอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นมา แล้วแทรกซึมไปทั่วทั้งเทือกเขาสำนักปักษาเขียวด้านล่างในพริบตา
ดวงดาราเพลิงร่อนลงมายังด้านล่างเล็กน้อย ทำให้ค่ายกลพิทักษ์เริ่มสั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวไป ฟึ่บ เพียะ ค่ายกลของสำนักปักษาเขียวนั้นสู้นครภัตตาหารทองคำมิได้เลย คาดว่าสามารถต้านทานยอดฝีมือเจดีย์ดาวสี่ชั้นได้อย่างพอถูไถเท่านั้น ภายใต้อานุภาพลูกไฟของน้ำเต้าสีดำ ต่อให้เพียงแค่เป็นอานุภาพเพียงเล็กน้อยที่ปลดปล่อยออกไปด้านภายนอก ก็เริ่มทำให้ค่ายกลเหล่านี้พังทลายลงได้แล้ว
เรื่องนี้ทำให้ยอดฝีมือสำนักปักษาเขียวทั้งหลายร้อนใจขึ้นมาแล้ว
ทันใดนั้นลูกไฟของน้ำเต้าสีดำก็พลันหยุดลง ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในทันใด มือขวาโบกออกไป ดวงดาราเพลิงขนาดมหึมาหดเล็กลงอย่างรวดเร็วในพริบตา กลายเป็นลูกไฟขนาดเท่าไข่ไก่ แล้วหมุนคว้างอยู่เหนือฝ่ามือของชายหนุ่มอาภรณ์ขาว
“นั่นใครกันน่ะ” พวกเขาขลาดกลัวไปหมด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง
ระลอกคลื่นแผนภาพคลื่นจานอันไร้รูปร่างปกคลุมลงไปเบื้องล่าง ทันใดนั้นก็พันธนาการยอดฝีมือทั้งสำนักปักษาเขียวเอาไว้ รวมทั้งยอดฝีมือซึ่งดูเหมือนจะสงบเสงี่ยมไม่สะดุดตาแต่กลับมีพลังรบสูงที่สุดคือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่คนหนึ่งด้วย ชายชราผมสีเหลืองยุ่งเหยิงผู้นั้นดิ้นรนพลางสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ แต่ภายใต้แผนภาพคลื่นจาน เขาก็ดิ้นรนอย่างเหน็ดเหนื่อยนัก เขาเข้าใจแล้วว่าต่อให้สามารถดิ้นรนได้อย่างพอถูไถ แต่พลังของเขาก็ถูกกดดันจนเหลือเพียงหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น อีกฝ่ายจะสังหารเขาก็ทำได้สบายนัก
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงแผนภาพคลื่นจานออกมากดดันและพันธนาการเอาไว้แล้ว ก็ปลดปล่อยพันธนาการออกไป ให้พวกเขาได้คืนสู่อิสรภาพ
เมื่อคนสำนักปักษาเขียวเหล่านี้สัมผัสได้ว่าพันธนาการอันน่าหวาดหวั่นนี้สลายหายไปแล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้าง
“จงฟังให้ดี”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตาลงมองไปทั่วทั้งเทือกเขาสำนักปักษาเขียวตรงหน้า “นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าก็คือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักปักษาเขียว มิมีผู้ใดเห็นต่างกระมัง”
น้ำเสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วทั้งฟ้าดินและสะท้อนก้องอยู่จ้างหูศิษย์สำนักปักษาเขียวทุกคน
ศิษย์สำนักปักษาเขียวทั้งหมดพากันตกตะลึงไป
จากนั้นแต่ละคนก็เผยสีหน้าปีติยินดีจนแทบคลั่งออกมา!
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุด” ทันใดนั้นก็มีศิษย์คุกเข่าลง
ไม่นานนัก
ทุกบริเวณทั่วเทือกเขาสำนักปักษาเขียว ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนล้วนคุกเข่าลง “คารวะผู้อาวุโสสูงสุด”
ยอดฝีมือทั้งหมดของสำนักปักษาเขียวต่างก็อดตื่นเต้นมิได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอยรำพึงเพราะเรื่องนี้ หากอยู่ในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา เกรงว่าคงจะมีศิษย์ในสำนักบางคนยอมตายเพื่อต่อสู้สุดชีวิต แต่ที่นี่คือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ เขตการปกครองของบรรพชนโลกา ตลอดคืนวันอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุดที่นี่นับถือพลังที่แท้จริงล้วนๆ! นอกจากนี้แม้ชาว ‘สำนักปักษาเขียว’ จำนวนไม่น้อยได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียว แต่ก็มีจำนวนมากที่ฝึกศาสตร์โบราณอื่นๆ
เพราะถึงอย่างไร ศาสตร์โบราณก็ต้องดูพรสวรรค์ มิใช่ว่าคนมุกผู้จะเหมาะสมกับเคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียว
บวกกับที่ดินแดนนี้ยุ่งเหยิงเกินไป ทำให้ศาสตร์โบราณต่างๆ รวมกันเป็นกลุ่มก้อนไปหมด! อันที่จริง ‘สำนักปักษาเขียว’ ก็อาศัยผู้ที่บำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียวเป็นหลัก จากนั้นก็ดึงดูดศาสตร์โบราณอื่นๆ มากมายเข้ามารวมตัวกันเป็นกลุ่ม ที่พวกเขารวมตัวกัน…เป้าหมายแรกก็คือเพื่อความอยู่รอด!
มีผู้แกร่งกล้าที่เยี่ยมยอดคนหนึ่งมาเยือน แล้วรับตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเขา หากพวกเขาฝัน ก็ต้องหัวเราะจนตื่น
เพราะนี่หมายถึงความปลอดภัย!
ความปลอดภัย…คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนบนดินแดนแห่งนี้ปรารถนา
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีจิตคิดร้ายหรือไม่น่ะหรือ พวกเขามิได้แยแสเลย! เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงใช้กลเม็ดที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้พิสูจน์ข้อหนึ่งแล้วว่า ขอเพียงเขาอยากทำ เขาก็สามารถทำลายทั้งสำนักปักษาเขียวได้ซึ่งๆ หน้าในพริบตาเดียว อยากจะเหยียบย่ำอย่างไรก็เหยียบย่ำโดยไม่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้เลย
และนี่ก็คือสาเหตุที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงพลังออกมาอย่างเหิมเกริมทันทีที่มาถึง! หากไม่สำแดงพลังออกมา แต่ละคนของสำนักปักษาเขียวจะเคารพตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแต่โดยดีได้อย่างไรกันเล่า
……
ณ ตำหนักหลักของสำนักปักษาเขียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ ณ จุดสูงสุดของตำหนักหลัก แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังต้องยืนอยู่ข้างหนึ่ง ส่วนด้านล่างก็คือยอดฝีมือและศิษย์ทั้งหลายของสำนักปักษาเขียว
“ค่ายกลของสำนักปักษาเขียวอ่อนแอเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา “นับจากวันนี้ไป ข้าจะวางค่ายกลใหม่ และข้าจะถ่ายทอดวิธีควบคุมค่ายกล กู่ซางกู่ซาง、เปยโจ้วให้แก่พวกเจ้าทั้งสองคน พวกเจ้าแต่ละคนจะแบ่งกันควบคุมค่ายกลพิทักษ์แห่งหนึ่ง”
“ขอรับ”
กู่ซางคือเจ้าสำนักปักษาเขียว มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สาม เขารับคำด้วยความเคารพในทันที
ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายชราผมสีเหลืองยุ่งเหยิงผู้มีนามว่าเปยโจ้ว เขาซ่อนตัวอยู่ในสำนักปักษาเขียวโดยไม่ฟังคำสั่งปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้เป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในสำนักปักษาเขียว ยามนี้เขาก็รับคำด้วยความเคารพเช่นเดียวกัน
“หากมีผู้ใดสามารถทำลายค่ายกลได้ก็รีบส่งสารให้ข้าทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ “ตามปกติแล้วข้าจะเก็บตัวบำเพ็ญบางครั้งก็จะออกไปเดินท่องข้างนอกบ้าง หากไม่มีเรื่องใหญ่พอ ก็ไม่ต้องมารบกวนข้าล่ะ”
พูดจบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายขึ้นแล้วจากไปทันที
ยอดฝีมือทั้งสำนักปักษาเขียวตกตะลึงไปบ้าง…
วันคืนต่อจากนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทุ่มเทเพื่อวางค่ายกลอย่างสุดกำลัง ค่ายกลประเภทหนึ่งคือค่ายกลเตือนภัยซึ่งศิษย์ทั่วไปล้วนสามารถสัมผัสได้ มันสร้างขึ้นโดยมีความเร้นลับของแผนภาพคลื่นจานเป็นศูนย์กลาง ยังมีค่ายกลอีกประเภทหนึ่งคือค่ายกลโลกเทียมซึ่งสามารถทำให้ศัตรูตกเข้าสู่เขตลวงได้ ค่ายกลสุดท้าย…ก็คือค่ายกลสังหารซึ่งสร้างขึ้นตามกระบี่ที่ห้าผลาญโลกา
หากค่ายกลมิอาจต้านทานได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องปรากฏกายเองเป็นธรรมดา!
“อะไรกันน่ะ”
“ผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้นิสัยแปลกประหลาดเกินไปแล้วกระมัง”
พวกกู่ซางและเปยโจ้วทั้งสองคนยืนอยู่นอกประตูคูหาแห่งหนึ่งด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ในคูหาแห่งนี้ ตามปกติแล้วห้ามศิษย์เข้าไปรบกวนเด็ดขาด
“ช่างเขาเถิด” เจ้าสำนักกู่ซางกลับแสยะยิ้มออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้เหมือนจะเลือกสำนักปักษาเขียวของพวกเราเป็นที่ซ่อนตัวของเขา ทั้งยังเหมือนจะไม่ชอบเรื่องจุกจิก ขอเพียงมิได้เกี่ยวโยงกับเรื่องที่ใหญ่พอ พวกเราไม่ไปรบกวนเขาก็ใช้ได้แล้ว! มียอดฝีมือที่เยี่ยมยอดเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า วันคืนต่อจากนี้ของสำนักปักษาเขียวเราก็คงจะผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว ข้ารอคอยยิ่งนัก รอให้ถึงตอนที่พวกมารเหล่านั้นมาหาเรื่องพวกเราชาวสำนักปักษาเขียวเสียก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นค่ายกลสังหารที่ข้าควบคุมก็จะสามารถปลดปล่อยอานุภาพออกมาได้บ้างแล้ว”
เขาเป็นผู้ควบคุมค่ายกลสังหาร หนึ่งในค่ายกลทั้งสาม หากกระตุ้นขึ้นมา ประกายกระบี่ร่อนลงไป อานุภาพก็จะน่าหวาดหวั่นอย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
นัยน์ตาของชายชราผมสีเหลืองมีม่านตาเป็นวงๆ เขาพยักหน้า “ผู้แกร่งกล้าที่นิสัยพิกลมีมากมายถมไป สำนักปักษาเขียวของพวกเราโชคดี ที่มีผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้คนหนึ่งอยู่ที่นี่ เจ้าต้องกำชับให้ดี ว่าบรรดาศิษย์ผู้ทำหน้าที่รับคำสั่งอยู่รอบๆ อย่าได้ไปยั่วโมโหผู้อาวุโสสูงสุดเป็นอันขาด”
“นี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” เจ้าสำนักกู่ซางพยักหน้า ขณะเดียวกันในใจเขาก็ลอบคิด
ผู้แกร่งกล้าผู้นี้อยากจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักปักษาเขียว ก็เพื่อเคล็ดวิชาสืบทอดที่ประทับรอยอยู่บนเทือกเขาสำนักปักษาเขียวอย่างนั้นหรือ
เคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียวน่าพิศวงมากจริงๆ มันประทับรอยอยู่บนเทือกเขา ต่อให้เทือกเขาพังทลาย เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถนูนออกมาแล้วปรากฏขึ้นได้อีกครั้ง เคล็ดวิชาสืบทอดไม่มีทางทำลายได้ตลอดกาล! ในประวัติศาสตร์ก็มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนมาชมดูเคล็ดวิชาสืบทอดนี่ด้วยตนเอง ทว่าผู้ที่มารับหน้าที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดด้วยเหตุนี้กลับพบเห็นได้น้อยนัก เพราะถึงอย่างไรด้วยพลังอันน่าหวาดหวั่นของตงป๋อเสวี่ยอิง หากจะชมเคล็ดวิชาสืบทอด ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดขวางอยู่แล้ว
…………………………….