Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 9 หัวหน้าผาจอมมาร
บรรดายอดฝีมือแห่งสำนักปักษาเขียวต่างก็คิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่น่าหวาดหวั่นผู้นี้กำลังเก็บตัวอยู่ แต่อันที่จริงแล้ว…
ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากสำนักปักษาเขียวกลับไปยังจักรวาลบ้านเกิดอย่างเงียบเชียบ
“เมื่อมีค่ายกลสามแห่งที่ข้าวางเอาไว้แล้ว สำนักปักษาเขียวก็คงจะไร้กังวลแล้ว ต่อให้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น ข้าก็สามารถเร่งไปได้ทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพยักหน้า “สามเรื่องที่ข้าตกลงเอาไว้ในตอนนั้น รับ ‘อวิ๋นเผิง’ เป็นศิษย์แล้วคอยปกป้องและการพิทักษ์สำนักปักษาเขียวล้วนแต่เป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแต่ต้องใช้เวลามากหน่อยก็เท่านั้นเอง มีเพียงเรื่องที่สามเท่านั้น…ที่ออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง!”
“หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด
ผาจอมมาร
ชื่อเสียงภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์นั้นไม่แพ้นครภัตตาหารทองคำเลย หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมาร ในรายงานของวังทวีสูญมีบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าล้วนแต่มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า
พวกเขามีพลังระดับนี้ สถานที่พำนักและบำเพ็ญตามปกติก็ย่อมต้องมีกลเม็ดต่างๆ มากมายอยู่แน่นอน หากมีศัตรูก็เกรงว่าคงต้องเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน! เนื่องจากยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าเหมือนกันนั้น หากสองคนร่วมมือกันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเลย การวางค่ายกลนั้น ก็เพื่อสกัดกั้นศัตรูที่แข็งแกร่งและหลบหนีเอาชีวิตรอดเสียมากกว่า…แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมั่นใจในตนเองมาก แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถกำจัดยอดฝีมือซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าสองคนภายในถิ่นของศัตรูได้ คาดว่าหากสังหารไป ก็คงถูกค่ายกลต่างๆ ที่ฝ่ายตรงข้ามวางเอาไว้ตลอดวันคืนอันยาวนานรัดรึงเอาไว้ ต่อให้อีกฝ่ายมิอาจสังหารตนให้ตายได้ เกรงว่าก็คงจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างไม่ต้องหัวซุกหัวซุนนัก!
หากลงมือครั้งหนึ่งแล้วล้มเหลว คิดจะหาโอกาสอีกก็ยากแล้ว
ค่ายกลที่ตนวางเอาไว้ในสำนักปักษาเขียวล้วนแต่มีอานุภาพถึงเพียงนั้น หากเพื่อรักษาชีวิต เป็นไปได้มากว่าหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารจะไปซื้อค่ายกลที่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนวางเอาไว้มาติดตั้งภายในฐานที่มั่น ทว่าด้วยสมบัติล้ำค่าที่พวกเขามี อย่างมากก็ซื้อได้แค่ค่ายกลคงที่เท่านั้นเอง
อย่าง ‘ค่ายกลที่สามารถเคลื่อนย้ายได้’ นั้นมีราคาสูงกว่าค่ายกลคงที่มากนัก ความยากในการหลอมก็สูงกว่ามากทีเดียว
ค่ายกลที่สามารถสกัดกั้นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้เหมือนกันนั้น ค่ายกลคงที่อาจจะต้องใช้ศิลาปฐมโลกาสักสามร้อยก้อน แต่ค่ายกลที่พกติดตัวและสำแดงออกมาได้ตลอดเวลา เกรงว่าคงจะต้องใช้ศิลาปฐมโลกาสามพันก้อนเลยทีเดียว!
“ที่ตกลงกันไว้ตอนนั้น การสังหารหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมาร กำหนดเวลาไว้ที่แสนล้านปี ข้ามีเวลาเพียงพอ คนโง่งมเท่านั้นแหละจึงจะบุกฝ่าฐานที่มั่นของศัตรูเข้าไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมีแผนการอยู่ก่อนแล้ว
อย่าง ‘เจ้าเมืองอมตะ’ คู่ต่อสู้ที่พบในขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาในตอนนั้น
เคราะห์ดีที่อยู่ภายในขุมทรัพย์ เจ้าเมืองอมตะไร้ทางหนี มิเช่นนั้นแล้วด้วยศาสตร์ร่างแยกของอีกฝ่าย หากทะลุอากาศหนีไปตามทิศทางที่แตกต่างกัน…ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งกว้านี้ก็ทำได้เพียงไล่ไปตามทิศทางเดียวเท่านั้น มิอาจสังหารได้
แน่นอนว่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้บรรลุถึงระดับขั้น ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ แล้ว พลังสูงส่งกว่าตอนที่อยู่ในขุมทรัพย์จักรพรรดิเก้าเมฆาอยู่ชั้นหนึ่ง ต่อให้อยู่ในทุ่งร้างอันกว้างขวางและต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง ก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารได้!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารผ่าน ‘หอทะเลสัตตดารา’ ว่า…เมื่อหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารออกจากฐานที่มั่นเมื่อใด ก็ให้แจ้งตนทันที
เมื่อไม่มีข้อได้เปรียบด้านสถานที่ซึ่งเป็นถิ่นของพวกเขาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง
“เฮอะ ผู้แกร่งกล้าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เก็บตัวครั้งหนึ่งอาจจะเป็นเวลากว่าหมื่นล้านปี ส่วนการบำเพ็ญระบบทิพย์ ค้นคว้าและเก็บตัวทดลองครั้งหนึ่งก็อาจจะมีตั้งแต่หมื่นล้านปีไปจนถึงแสนล้านปี…แต่หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารชมชอบการกลืนกินและเข่นฆ่า พวกเขาไม่มีใจอดทนพอจะเก็บตัวได้นานนักหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายดี ตามปกติแล้วหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารอยู่ในฐานที่มั่นได้ไม่นานเท่าไหร่ก็จะออกไปกลืนกินและเข่นฆ่า
เวลาล่วงเลยไปปีแล้วปีเล่า
“ฟิ้ว”
ลมพัดหวน บุปผาร่วงโรย บนพื้นเต็มไปด้วยกลีบบุปผางดงามหลากสีสัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ข้างต้นไม้ พลางมองดูกลีบดอกไม้กลีบหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ มันร่วงลงสู่จอกของตนในท้ายที่สุด เขาอดชะเง้อมองโถงตำหนักไกลออกไปแห่งนั้นมิได้ นั่นคือโถงตำหนักที่ภรรยาเก็บตัวอยู่ ผ่านไปถึงเจ็ดล้านปีเต็มๆ แล้ว ภรรยาก็ยังไม่หลุดพ้น
“การหลุดพ้นนั้นอาจจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หรืออาจจะติดอยู่นานแสนนานก็เป็นได้”
“แต่เมื่อกินหัวใจหลิวเมฆาแดงลงไปแล้ว สถานะการบำเพ็ญของภรรยาก็ควรจะเยี่ยมยอดที่สุด ยอดเยี่ยมกว่าการรับรู้ในชั่วขณะมากนัก นานถึงเพียงนี้ยังไม่บรรลุอีกหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ จากนั้นเขาก็แหงนหน้าดื่มสุราอีกจอกหนึ่ง จิตใจที่สับสนวุ่นวายอยู่บ้างก็กลับคืนสู่ความสงบ ด้วยการบำเพ็ญจิตของเขา…เรื่องที่สามารถทำให้หัวใจของเขาวุ่นวายได้นั้นมีน้อยมากแล้ว
แต่หากเกี่ยวข้องกับการหลุดพ้นของภรรยา กลับทำให้หัวใจของเขาวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ผู้อาวุโสตงป๋อ หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารออกเดินทางแล้ว เป็นไปได้กว่าเก้าส่วนว่าจุดหมายคือ ‘เมืองต้านวายุ’” ข้อมูลจากหอทะเลสัตตดาราถูกส่งมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย แม้ข้อมูลของหอทะเลสัตตดาราจะมีราคาแพง แต่ประสิทธิภาพก็สูงยิ่งนัก
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าก้าวหนึ่งก็ไปถึงกลางฟากฟ้าห่างออกไป มิติกลางท้องฟ้าบิดเบี้ยว แล้วเขาก็อันตรธานไป
……
ณ เมืองต้านวายุ โลกทิพย์นิจนิรันดร์
เมืองต้านวายุเป็นตัวเมืองที่ค่อนข้างสงบสุขแห่งหนึ่ง เนื่องจากแม้เจ้าเมืองต้านวายุจะมีพลังเพียงแค่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ แต่กลับมีชื่อเสียงด้านความสามารถในการรักษาชีวิต และยังเรียกตนเองว่า ‘ต้านวายุ’ แม้แต่ชื่อของตัวเมืองก็ยังเรียกว่าต้านวายุ! หากร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นลมเมื่อใด…ต่อให้เป็นยอดฝีมือซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าก็ยังมิอาจทำให้เขาบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย
เนื่องจากเขารับมือได้ยากมาก เมืองต้านวายุที่เขาสร้างขึ้นขึงมีขุมอำนาจมารังแกน้อยมาก
ภายในลานของจวนแห่งหนึ่งในเมืองต้านวายุ ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนเสื่อ เขากำลังบำเพ็ญอยู่
“ในที่สุดก็มาเสียที” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปิดเปลือกตาขึ้นมา เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า “ข้ารออยู่ที่เมืองต้านวายุตั้งสามหมื่นปีแล้ว”
นับว่าอีกฝ่ายเร่งเดินทางมาได้เร็วแล้ว
เนื่องจากหัวหน้ารอง หนึ่งในสองหัวหน้าของผาจอมมารสามารถแหวกทางเชื่อมมิติเพื่อเร่งเดินทางไปได้
ตู้ม!
ไม่นานนัก กลางอากาศก็มีน้ำวนมิติอันบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น เงาร่างสองสายทะยานออกมาจากน้ำวนมิติ
พวกเขาสองคนนั้น คนหนึ่งมีเกราะสีดำห่อหุ้มทั่วร่าง รูปร่างบึกบึน เหนือผิวเกราะมีกลิ่นอายสีดำอันชั่วร้ายม้วนตัวอยู่ นัยน์ตาสีแดงโลหิตทั้งคู่ของเขาเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง อานุภาพอันไร้รูปร่างกดดันเบื้องล่าง ร่างกายของผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่ได้รับระลอกคลื่นของอานุภาพอันไร้รูปร่างพลันแหลกสลายลงทันใด แม้แต่บ้านเรือนจำนวนมากก็พังทลายไปราวกับกรวดทรายอย่างไรอย่างนั้น
ภายในขอบเขตพันลี้เบื้องล่างเงาร่างเกราะสีดำ พลันแหลกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไปจนหมด นอกขอบเขตพันลี้ ก็มีสิ่งมีชีวิตมากมายตายไป เขาก็คือหัวหน้าใหญ่แห่งผาจอมมาร ‘จอมมารดำ’ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งผาจอมมารขึ้นมา ชื่อเสียงชั่วร้ายกระฉ่อนไปทั่ว…เกรงว่าชื่อเสียงอันชั่วร้ายของผาจอมมารมีต้นเหตุมาจากเขากว่าแปดส่วน
อีกคนก็คือเงาร่างด้านข้างซึ่งดูเหมือนจะไม่สะดุดตาสายหนึ่ง เขาก็คือหัวหน้ารอง ‘จ้าวทะเลสาบชี่หู‘ เงาร่างของจ้าวทะเลสาบชี่หูเลือนราง ราวกับเงาสายหนึ่งกลางฟ้าดิน
“จอมมารดำ จ้าวทะเลสาบชี่หู!”
ณ จวนเจ้าเมืองแห่งเมืองต้านวายุ พลันมีเงาร่างสิบกว่าสายทะยานขึ้นไปต่อเนื่องกัน นำโดยชายหนุ่มอาภรณ์ม่วงรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่ง เขาก็คือเจ้าเมืองต้านวายุ ใบหน้ายากที่จะปิดบังความโมโหเอาไว้ “มาส่งสัญญาณสังหารภายในเมืองของข้า ทำไมกัน จะเปิดศึกกับข้าจริงๆ น่ะหรือ”
แม้เขาจะอ่อนแออยู่บ้าง แต่การรักษาชีวิตและหลบหนีนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง รังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย!
“เหอๆๆ…” เสียงของจ้าวทะเลสาบชี่หูที่อยู่ด้านข้างแหลมบาดหู “ต้านวายุ หากเป็นเวลาปกติแล้ว ข้าและพี่ใหญ่คงคร้านจะมาหาเจ้าที่นี่ หากปีศาจน้อยอย่างเจ้าสู้ไม่ไหวก็หนีไป แล้วก็เอาคืนอย่างบ้าคลั่ง แต่ตอนนี้น่ะหรือ เฮอะๆ ข้ากับพี่ใหญ่มีความอดทนที่จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าอย่างมาก ตอนนี้มีสองทางเลือกให้เจ้า หนึ่ง ส่ง ‘กระจกศิลา’ มา สองพวกเราสังหารเจ้าแล้วเอากระจกศิลามา”
เจ้าเมืองต้านวายุสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “กระจกศิลาอะไรกัน พวกเจ้าฟังใครพูดมาน่ะ ข้ายังไม่รู้เลยว่ากระจกศิลาคืออะไร”
ปากยังคงพูดอยู่ แต่กลับลอบปรับค่ายกลมหึมาที่วางอยู่ทั่วทั้งเมืองต้านวายุขึ้นมาแล้ว
“ตู้มมม…”
แสงสีทองสะดุดตาพุ่งจากบริเวณต่างๆ ของตัวเมืองขึ้นสู่ฟ้า
“มารร้ายของผาจอมมารบุกสังหารเข้ามา รีบหนีเอาชีวิตรอดกันเสียเถอะ” เสียงของเจ้าเมืองต้านวายุสะท้อนก้องไปทั่วทุกหนแห่งของตัวเมือง ส่วนตัวเขาเองก็แปรเป็นลมสายหนึ่งแล้วหนีไปอย่างไร้สุ้มเสียง เขาไม่มีจิตคิดอาศัยโชคช่วยเลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายก็โพล่งชื่อของ ‘กระจกศิลา’ ออกมา เห็นได้ชัดว่ารู้ว่าเขามีสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้อยู่
สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เป็นหัวใจหลักของระบบการบำเพ็ญศาสตร์โบราณของเขา แล้วจะยอมมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไรกันเล่า
ส่วนตัวเมืองนี้ ในหัวใจของเขานั้นสู้ ‘กระจกศิลา’ ไม่ได้เลย
………………………………