Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 1 มหัศจรรย์
ณ ทิวเขาหลานชาง ภายในวังที่จ้าวทะเลสาบชี่หูปลีกวิเวก
เหล่าผู้ติดตามรับใช้กลุ่มใหญ่ค่อยๆ ฟื้นคืนสติจนแจ่มชัด มีพวกเขาบางคนที่นอนเอนอยู่บนพื้น มีบางคนที่พิงอยู่ข้างกำแพง ยามที่ครองสติได้อย่างแจ่มชัด แต่ละคนต่างก็ตกใจเสียจนลุกยืนขึ้น! เพราะภายในวังมีกฎเกณฑ์เคร่งครัด พวกเขาถึงกับนอนเอนกายหลับอยู่บนพื้น อ้างอิงจากกฎของวังนั้นจะต้องถูกลงโทษจนถึงแก่ความตาย ในใจแต่ละคนล้วนตื่นตระหนกไม่เป็นสุข
“ไม่มีค่ายกลวังแล้ว!”
“ไม่มีค่ายกลอยู่อีกแล้ว”
เหล่าผู้ติดตามรับใช้ค้นพบความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วยิ่ง
ค่ายกลซึ่งมีพลังคุกคามแกร่งกล้าที่เดิมทีครอบคลุมทั่วทุกแห่งในวังเหล่านั้นหายลับไปจนหมด กระทั่งค่ายกลรักษากฎที่อยู่รอบนอกวังก็หายลับไปจนสิ้น
“เรื่องอันใดกัน เหตุใดค่ายกลจึงหายไปจนหมดสิ้นแล้วเล่า ข้ารับผิดชอบควบคุมค่ายกลเตือนภัยจานค่ายกลของค่ายกลนี้ก็หาไม่เจอเสียแล้ว” เหล่าผู้ติดตามจำนวนมากเกิดความสงสัย ถ่ายเสียงซึ่งกันและกันอย่างเงียบเชียบ
“เมื่อครู่ข้าหลับไปอย่างกะทันหัน ตอนที่ข้าตื่นขึ้นมาก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยต่างก็หลับกันอยู่”
“เจ้าก็หลับเหมือนกันหรือ ข้าเองก็เช่นกัน”
“…”
หลังจากถ่ายเสียงสื่อสารแลกเปลี่ยนกันแล้ว พวกเขาก็ค้นพบด้วยความหวาดกลัวว่าก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเขาทุกคนต่างก็เข้าสู่ห้วงนิทรา จะต้องเป็นเพราะระดับขั้นของพวกเขาต่ำเกินไป ความทรงจำที่ตนเองติดเข้าไปในเขตลวงก็ยังมิอาจระลึกขึ้นมาได้เลย
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็สะท้อนก้องไปทั่วทุกหนแห่งในวัง
“‘จ้าวทะเลสาบชี่หู’ ผู้เป็นเจ้าของวังแห่งนี้สิ้นชีพไปแล้ว จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต่างก็กลับไปเป็นอิสระแล้ว” น้ำเสียงเยือกเย็นสะท้อนก้องไม่หยุด ทำให้บรรดาผู้ติดตามรับใช้ทั้งหมดตะลึงในตอนแรก หลังจากนั้นไม่นานก็พากันปิติยินดีจนแทบคลั่ง เพราะพวกเขาเข้าใจกระจ่างดีว่าถ้าหากเจ้านายของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เสียงของผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับกึกก้องไปทั่วทั้งวังโดยไม่มีการตอบกลับเลยแม้แต่น้อยแน่นอน
“เป็นอิสระแล้วหรือ”
เหล่ายามรักษาการณ์ที่อยู่รอบนอกสุดทดสอบเหินบินออกไปข้างนอกอย่างอดมิได้อยู่บ้าง ในอดีตรอบนอกวังมีค่ายกลอยู่ พวกเขาย่อมมิอาจหนีไปได้พ้นอยู่แล้ว!
ทว่าในขณะนี้พวกเขาแต่ละคนบินไปแล้วกลับมิได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“พวกเราจากไปได้แล้ว ไปจากที่นี่ได้แล้ว”
“ในที่สุด ในที่สุดก็กลับเป็นอิสระแล้ว”
อารมณ์ของเหล่าผู้ติดตามรับใช้กลุ่มใหญ่ภายในวังตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบ มีบางคนที่ถึงกับคุกเข่าลงร้องไห้คร่ำครวญ เพราะตั้งแต่ถูกจับกุมตัวมา ตลอดหลายล้านปีมานี้ก็คือฝันร้ายมาโดยตลอด!
พวกเขาถูกชิงตัวมา จำเป็นต้องรับใช้จ้าวทะเลสาบชี่หูอย่างระมัดระวัง เพราะจ้าวทะเลสาบชี่หูปลีกวิเวกมาโดยตลอด มิได้ออกไปสังหารกลืนกินตามอำเภอใจ เมื่อใดที่กระหายจนหักห้ามไม่อยู่ ก็กลืนกินผู้ติดตามลงไปในคำเดียว!
มืดมนไร้ซึ่งดวงตะวัน มองไม่เห็นความหวัง มีเพื่อนร่วมงานถูกกลืนกินอยู่เป็นระยะๆ…
พลังยุทธ์อันน่าหวั่นเกรงของจ้าวทะเลสาบชี่หูทำให้ผู้ติดตามรับใช้ทั้งหมดมิได้มีความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย พวกเขาได้แต่อดทนไปเงียบๆ อย่างเศร้าโศก หวังเพียงว่าผู้โชคร้ายที่ถูกกลืนกินนั้นจะมิใช่ตนเอง ถึงอย่างไรสุดท้ายจ้าวทะเลสาบชี่หูก็ยังต้องการลูกน้องกลุ่มหนึ่งคอยรับใช้ ไม่สามารถกินจนหมดสิ้นได้
“ขอบคุณผู้อาวุโส”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือข้า”
มีผู้ติดตามจำนวนมากต่างก็ตะโกนเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่
“บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ มิลืมเลือนตลอดกาลอย่างแน่นอน” มีบางส่วนที่ตัดสินใจแน่วแน่อย่างเงียบๆ แต่ละคนเหินทะยานกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็ว ยิ่งหนีไปไกลก็ยิ่งดี ด้วยกลัวว่าจะถูกจับกุมตัวอีก
…
บนชั้นเมฆไกลออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองลงมายังวังแห่งนั้น มองดูเหล่าผู้ติดตามรับใช้ที่หนีกระจัดกระจายแล้วก็อดที่จะแย้มยิ้มมิได้ ความรู้สึกที่ได้ช่วยเหลือคนนั้นช่างดีเสียจริง
จิตข้าคือจิตฟ้า…
ผู้บำเพ็ญยุคโบราณที่แกร่งกล้ามากมายมาถึงระดับจิตใจนี้ สามารถเรียกชื่อได้ว่า ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ แต่การตระหนักรู้ของพวกเขากลับไม่เหมือนกัน
อย่างเช่น ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ จิตข้าคือจิตฟ้า เห็นชีวิตทั้งหมดทั้งมวลเป็นสุนัขฟาง สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ต้องสวามิภักดิ์ต่อเขา ยอมตายเพื่อเขาด้วยความเต็มใจ สายตาของเขาจับจ้อง…
เป็นเกียรติสูงสุดของบรรดาลูกน้องเหล่านี้ ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน หรือแม้กระทั่งเทพจักรวาลต่างก็ต้องสวามิภักดิ์ต่อเขา ต้องสวามิภักดิ์ต่อเขาตั้งแต่พื้นฐานของวิญญาณ!
อย่างเช่น ‘บรรพชนทิพย์’ จิตข้าคือจิตฟ้า จิตฟ้าเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ควบคุมการสัญจรของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ควบคุมการสัญจรของอากาศอันสับสนอลหม่าน สิ่งที่เขาใฝ่หาคือวิชชาขั้นสูงสุด บนวิถีของวิชชาสายนี้ ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นเครื่องมือของเขา ดังนั้นเขาจึงศึกษาวิเคราะห์สรรพสิ่ง ใช้ประโยชน์จากทุกอย่างที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ เหยียบย่างออกมาบนเส้นทางที่เป็นของเขา
ส่วนบรรพชนเทียนอวี๋ ประมุขเหยากวง และบรรพชนห้วงอากาศนั้น แต่ละคนต่างก็มีจิตใจที่เอ่อท้นไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ เคล็ดวิชาสืบทอดวิถีผู้ท่องอากาศที่บรรพชนห้วงอากาศถ่ายทอดต่อมา ก็ยิ่งมีข้อกำหนดที่เข้มงวดต่อจิตใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นเช่นนี้!
ว่ากันอย่างจริงจังแล้ว
ในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า โลกทิพย์โบราณและโลกจอมมารดาเป็นของสองสำนักใหญ่ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดาค่อนข้างจะเหมือนกัน เพียงแต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แกร่งกล้ากว่าอยู่มากก็เท่านั้น บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์แห่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็มีความคล้ายคลึงกัน พวกเขาต่างก็สนใจแต่ตนเอง มองดูความเป็นตายของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเย็นชา ส่วนโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราและโลกทิพย์กิเลนบูรพากลับให้ความสำคัญกับความเป็นตายของสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน
พวกเขาพยายามที่จะปกป้องผู้อ่อนแออย่างสุดกำลัง ทำให้ผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนพัฒนา ถึงกับบังอาจเข่นฆ่าตามอำเภอใจ พวกเขาก็สามารถส่งผู้แกร่งกล้าไปไล่ล่าสังหารได้!
ดังนั้นเจ้าเมืองหลัวก็ยืนอยู่ทางฝั่งโลกทิพย์ทั้งสองแห่งนี้ เขาสรรสร้างเจดีย์ดาวหกแห่งขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทั้งยังให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกกับโลกทิพย์ทั้งสองแห่งนี้
แน่นอนว่า ‘บรรพชนกู่’ มิได้มีจิตใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอ
จิตใจของบรรพชนกู่ ที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราและโลกทิพย์กิเลนบูรพาค่อนข้างมีความพิเศษ ก็ย่อมได้รับการปฏิเสธอยู่แล้ว อันที่จริงบรรพชนกู่ก็ไม่เต็มใจจะพึ่งพิงโลกทิพย์กิเลนบูรพาสักเท่าใดนัก น่าเสียดายที่เขาอ่อนแอเกินไป เป็นระดับล่างสุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดสามระดับขั้น บรรพชนโลกาแห่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ บรรพชนทิพย์ย่อมมิอาจดูแคลนเขาได้เลย ยังเป็นเพราะเจ้าเมืองหลัวเห็นแก่หน้า ‘หยวน’ จึงปรารถนาที่จะเก็บเขาเอาไว้ ทำให้เขาอาศัยอยู่ที่โลกทิพย์กิเลนบูรพา
….
บนหาดทรายริมทะเล ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ในมือกำลังกุมกระจกศิลานั้นเอาไว้
“กระจกศิลานี้ช่างน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็คิดไม่ถึงว่าการสังหารจ้าวทะเลสาบชี่หูจะได้รับผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ สิ่งนี้คล้ายกับกระจกหินโบราณขัดเงาบานหนึ่ง แม้กระทั่งส่องสะท้อนรูปลักษณ์มนุษย์ก็ยังรางเลือนอย่างยิ่ง แต่ความมหัศจรรย์ของมันทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงตั้งแต่ตอนแรกที่ได้มาไว้ในมือ เขาถึงกับละจากทิวเขาหลานชางมาถึงริมทะเลอันไกลโพ้นแห่งหนึ่งแล้วเริ่มตั้งใจตรวจตราโดยละเอียด
บนกระจกศิลามีลวดลายสีสันสดใสอัดตัวกันแน่นขนัดปรากฏขึ้น ลวดลายทางด้านซ้ายประกอบด้วยดอกไม้สีสดดอกหนึ่ง ลวดลายทางด้านขวาประกอบด้วยธงรบอันหนึ่ง ดอกไม้และธงรบค่อยๆ ผสานกันอย่างช้าๆ แล้วเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันตรงกลางกระจกศิลา… ในท้ายที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีดำอันร้ายกาจดอกหนึ่ง
“มหัศจรรย์เกินไปแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มศีรษะลงมอง ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล
ดอกไม้สีสดดอกนั้น… อ้างอิงจากเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของตนในตอนนี้ ระดับขั้นวิวัฒน์ขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน รูปร่างในท้ายที่สุด แน่นอนว่าสามารถนับได้ว่ามีความลึกลับระดับขั้นอลวน
ธงรบผืนนั้น…ก็อ้างอิงจากการวิวัฒน์ของเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง ก็วิวัฒน์ไปถึงระดับขั้นอลวนแล้วเช่นกัน กระบวนการวิวัฒนาการนี้ อันที่จริงแล้วเป็นกระบวนการที่ค่อยๆ เข้าไปล้ำลึกขึ้น ทำให้ตนเองเข้าใจได้ดีมากยิ่งขึ้น
และการผสานรวมกันของทั้งสองสิ่ง
ก็คือการหลอมรวมกันของเคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณสองศาสตร์ ทำให้เคล็ดวิชาสืบทอดสองศาสตร์ที่ไปถึงขั้นอลวนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
“ข้าบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณสองศาสตร์นี้ มันชี้นำข้าให้บำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดสองศาสตร์นี้ นอกจากนี้ยังหลอมรวมสอดประสานซึ่งกันและกันด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหวั่นพรั่นพรึง “ถ้าหากบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดสี่ศาสตร์ดังเช่นจักรพรรดิดำ เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ศาสตร์ก็จะวิวัฒน์ ทั้งยังช่วยในการผสานรวมกันด้วยใช่หรือไม่”
“แต่ว่ามันดูเหมือนจะชี้นำเพียงแค่ศาสตร์โบราณเท่านั้น”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ค้นพบแล้ว
ตอนนี้ตนเองศึกษาสามระบบควบคู่กัน! ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ระบบผู้ท่องอากาศ และระบบศาสตร์โบราณ แต่กระจกศิลาอันลึกลับนี้กลับชี้นำให้เกิดการวิวัฒน์เพียงแค่ระบบศาสตร์โบราณเท่านั้น
“โชคดีที่เคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณสองศาสตร์ที่ข้าเลือกสอดคล้องกับวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่า การค่อยๆ เพิ่มความลึกล้ำของศาสตร์โบราณสองศาสตร์นี้ทำให้ข้ามีความรู้เกี่ยวกับวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าอย่างลึกซึ้งขึ้น” ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นยอดฝีมือที่มีพลังยุทธ์เกือบจะไปถึงชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ย่อมมีความรู้เกี่ยวกับขั้นอลวนค่อนข้างกระจ่างดีอยู่แล้ว
ตอนนี้กระจกศิลายังมีการชี้นำที่ค่อยๆ เพิ่มความลึกล้ำขึ้น…
ก็เช่นเดียวกันกับไฟริมทางที่ส่องสว่างให้กับเส้นทางสายนี้
“ข้าปรารถนาจะไปถึงขั้นอลวน แต่มีความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่แล้วก็ผ่อนคลายลงได้ไม่น้อยเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา แน่นอนว่าสำหรับวิถีโลกเทียมเพียงเท่านั้น เช่นวิถีเข่นฆ่า ตัวเขายังมิอาจสัมผัสได้ถึงขั้นอลวน แม้กระทั่งดูจากการชี้นำของกระจกศิลาก็เกรงว่ายังต้องสิ้นเปลืองเวลาอีกเนิ่นนาน
ถึงแม้ว่ากระจกศิลาจะมหัศจรรย์ ก็เป็นเพียงแค่การชี้นำเท่านั้น ถ้าหากพื้นฐานของตนไม่เพียงพอก็ไม่ได้
“ถึงแม้จะเป็นการชี้นำ ก็มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งแล้ว”
“กระทั่งเคล็ดวิชาของศาสตร์โบราณที่ไม่เสร็จสมบูรณ์จำนวนหนึ่ง มีมันคอยชี้นำ ต่างก็สามารถเสร็จสมบูรณ์ได้ หรือแม้กระทั่งคิดค้นเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณใหม่ขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “สมบัติอันมหัศจรรย์เช่นนี้ แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า มิได้มีชื่อเสียงโด่งดังแต่อย่างใดเลย”
…………………………………………..