Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 2 ล่วงเกินผู้ใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคิดผิดไปแล้ว
ตลอดคืนวันอันยาวนานก่อนหน้านี้ กระจกศิลาได้ตกไปอยู่ในมือของผู้ฝึกศาสตร์โบราณคนแล้วคนเล่าด้วยรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันไป และนำมาซึ่งการรบราฆ่าฟันกันมากมาย เมื่อชื่อเสียงโด่งดังเกินไป หรือว่าตกอยู่ในมือของผู้ฝึกศาสตร์โบราณคนใดคนหนึ่งนานเกินไป บรรพชนโลกาก็จะลอบสำแดงกลเม็ดออกมาเพื่อทำให้กระจกศิลาสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย และทำให้ผู้ฝึกศาสตร์โบราณคนอื่นได้ไปในท้ายที่สุด
การส่งต่อเช่นนี้
เคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณจำนวนมากต้องอาศัยกระจกศิลาจึงจะสามารถคิดค้นขึ้นมาได้ ผู้แกร่งกล้าที่ฝึกศาสตร์โบราณและได้กระจกศิลามาก็มีมากมาย ดังเช่นผู้ฝึกศาสตร์โบราณภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ระดับขั้นอลวนกว่าครึ่งก็เคยได้รับมาก่อน! ผู้ฝึกศาสตร์โบราณระดับขั้นอลวนนอกโลกทิพย์นิจนิรันดร์ที่ได้ไปนั้น เมื่อเทียบกันแล้วก็น้อยกว่ามากทีเดียว เกรงว่าคงจะมีเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น
ต่อให้เป็นเช่นนี้ อัตราการส่งต่อกระจกศิลาก็น่าหวาดหวั่นมาก
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไขว่คว้าโอกาสที่หายากนี้เอาไว้ให้ได้ ยกระดับพลังให้ดีๆ หากสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้โดยเร็วในรวดเดียว ก็จะดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยการเข้าสู่ขั้นอลวนเป็นอย่างมาก ทันทีที่ก้าวเข้าไปได้ วิญญาณของร่างกายก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ อย่างตนในทุกวันนี้ พลังก็สามารถเทียบกับขั้นอลวนที่ค่อนข้างอ่อนแอคนหนึ่งได้แล้ว แต่ในหลายๆ ด้านกลับยังคงแตกต่างอยู่
วิญญาณของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแข็งแกร่งกว่าตนอยู่มากโข! ดังนั้นร่างจริงของพวกเขาที่อยู่ในโลกทิพย์แห่งหนึ่งจึงสามารถส่งร่างแปรมุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์อีกแห่งหนึ่งได้
ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง ร่างแปรของเขาจึงมิอาจจากร่างจริงไปได้ไกลนัก หากห่างออกไปจนถึงระดับหนึ่ง ปณิธานมิอาจคงเอาไว้ได้ ร่างแปรก็จะสลายหายไป!
ดูจากระยะห่างที่ร่างแปรร่อนลงมาก็มองออกแล้ว
ดังเช่น ‘จอมมาร’ ร่างจริงอยู่ในวังทวีสูญ ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงโจมตีฐานที่มั่นของลัทธิทิพย์โบราณ เพียงถ่ายเสียงคราหนึ่ง ร่างแปรของจอมมารก็ร่อนลงมาทันที! ระยะห่างอันยาวไกลเกือบจะหนึ่งหรือสองส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกทิพย์แห่งหนึ่ง ต่อให้พลังของขั้นรวมเป็นหนึ่งแข็งแกร่งกว่านี้ก็ไม่มีทางส่งร่างแปรออกไปไกลเช่นนี้ได้ แม้แต่หนึ่งในร้อยล้านส่วนยังไม่ได้เลย
นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้!
วิญญาณมีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ ร่างกายก็มีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้เป็นอันมาก
……
ท่องไปทั่วโลกทิพย์นิจนิรันดร์ มองดูหุบเขาใหญ่อันมืดมิดซึ่งกินพื้นที่กว่าล้านล้านลี้ ข้ามผ่านทะเลสาบอันกว้างใหญ่ กายหยาบทะลุผ่านภูเขาเทพเปลวอัคคี…
เขาได้พบกับสถานที่อันน่ามหัศจรรย์มากมาย ได้มองดูกฎเกณฑ์การหมุนเวียนปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ และได้รับรู้การเหนี่ยวนำในกระจกศิลา ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น เขาปรับปรุงกระบี่ที่ห้าผลาญโลกาให้ง่ายดายขึ้น ทั้งยังฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง บวกกับการเหนี่ยวนำของกระจกศิลา สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุก่อนก็คือวิถีเข่นฆ่า ในที่สุดก็เข้าถึงกระบี่ที่หกผลาญโลกา
แน่นอนว่าเนื่องจากเข้าถึงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ก่อนแล้ว เรียนรู้กระบี่ที่หกผลาญโลกา จึงไม่มีส่วนช่วยใดๆ ในการรุกโจมตี แต่การต่อสู้ประชิดตัวกลับแข็งแกร่งขึ้นมาก เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงก็อาศัยสิ่งนี้จนบรรลุถึงขั้นที่เทียบได้กับเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด ทำให้ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น การป้องกันของเกล็ดเหนือผิวกายก็ยอดเยี่ยมขึ้น ฝ่ามือทั้งคู่ก็น่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา
“เติมเต็มข้อบกพร่อง ทำให้จุดอ่อนของข้าน้อยลง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีปรีดานัก
เขาไม่รีบร้อน
เดิมทีขาข้างหนึ่งของเขาก็ก้าวเข้าสู่กระบี่ที่หกผลาญโลกาแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วก็บรรลุได้ง่ายกว่า แต่จะก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนกลับยากมากทีเดียว! ทว่าวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าของตนก็พอจะสัมผัสขั้นอลวนได้รางๆ แล้ว ซึ่งด้านวิถีโลกเทียมนั้นก็สั่งสมมาแน่นหนามาก
….
กลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ มีพื้นที่เขียวชอุ่มอันมีชีวิตชีวาอยู่แถบหนึ่ง
บนพื้นที่เขียวชอุ่มมีชนเผ่าอันรุ่งเรืองมากแห่งหนึ่งตั้งอยู่ สมาชิกเผ่ามีถึงหลายแสนคน ในจำนวนนั้นมีเด็กน้อยที่อ่อนแอ พวกเขาเกิดมาก็เป็นชีวิตเหนือธรรมดาแล้ว ทว่าภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์โลกทิพย์ ความเร็วในการทะยานของพวกเขาจึงไม่นับว่าเร็วนัก ขณะเดียวกัน ภายในโลกทิพย์ก็นับได้ว่าพวกเขาแทบจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดแล้ว ต้องอาศัยความเป็นกลุ่มก้อนจึงจะสามารถเอาตัวรอดได้
บางทีในภายภาคหน้า ในหมู่พวกเขาอาจจะมีผู้แกร่งกล้าที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสักคนถือกำเนิดขึ้น แต่อย่างน้อยในตอนนี้ เด็กน้อยเหล่านี้ก็ยังต้องการความคุ้มครองจากชนเผ่าอยู่
ภายในชนเผ่า ก็มีพลรบที่แข็งแกร่ง ผู้นำสูงสุดของชนเผ่าเป็นยอดฝีมือ ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ คนหนึ่ง! เขาวางค่ายกลชนิดต่างๆ รอบชนเผ่าด้วยความยากลำบาก ทำให้ชนเผ่ารุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้
“ฟิ้ว”
เรือใหญ่สีแดงเข้มลำหนึ่งปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือชนเผ่า บนเรือใหญ่มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าบินออกมาทันที แต่ละคนแทบจะสวมอาภรณ์สีดำทั้งร่างกันหมด มีเพียงชายชราร่างผอมซูบที่เป็นหัวหน้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สวมอาภรณ์สีแดง นัยน์ตาทั้งสองของเขามีเปลวเพลิงอันเย็นชาลุกโชน ผู้ที่ถูกเขาจับจ้องล้วนต้องหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
“ลงมือเถิด เร็วหน่อย” ชายชราอาภรณ์สีแดงพึมพำเสียงเย็นเยียบ
“ขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาอาภรณ์สีดำล้วนแต่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง เงาร่างพลันกะพริบวาบ แล้วกระจายตัวไปทั่วทุกทิศในชนเผ่า แต่ละคนล้วนหยิบเอาป้ายอักขระสีดำก้อนหนึ่งมาไว้ในมือ เพียงครู่เดียวป้ายอักขระสีดำสิบสองก้อนนี้ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา ตู้มมม…ค่ายกลอันน่าหวาดหวั่นถูกป้ายอักขระสิบสองก้อนเหนี่ยวนำ กลางท้องฟ้าเหนือชนเผ่าพลันมีเมฆดำกลิ้งตัวไปมา
เมฆดำบดบังท้องฟ้า ทำให้บรรดาชาวเผ่าจิตใจไม่สงบ
“ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เด็กน้อยคนหนึ่งหลบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของมารดา มารดาของเขาเป็นถึงเทพโลกาคนหนึ่ง นางก็มองดูเมฆดำที่ก่อตัวขึ้นกลางท้องฟ้าด้วยความตื่นเต้นและจิตใจที่ไม่สงบ “วางใจเถิด ไม่มีอะไรหรอก พวกหัวหน้าเผ่าจะต้องปกป้องพวกเราเป็นอย่างดีแน่นอน”
ยามนี้ หัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นดั่งเทพผู้พิทักษ์ในสายตาของทั้งชนเผ่ากลับสัมผัสได้ถึงความไม่สงบ
เขาควบคุมค่ายกลทั้งชนเผ่าเพื่อรับมือผู้มาจากภายนอกก่อนแล้ว แต่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไป เมฆดำที่ม้วนตัวอยู่นี้ปรากฏขึ้นมาแทบจะในพริบตาเดียว
“ไม่ทราบว่าเป็นผู้อาวุโสท่านใด มีอะไรก็เชิญกำชับมาให้เต็มที่เถิด ข้าและคนอื่นๆ ล้วนมิกล้าขัดขืนอยู่แล้วขอรับ” หัวหน้าเผ่ากล่าวเสียงดัง เสียงนั้นทะลุค่ายกลของชนเผ่า ถ่ายทอดไปถึงโลกภายนอก
“ข้าจะให้พวกเจ้ารับความตายให้หมด พวกเจ้าก็ไม่ขัดขืนอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นชาสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน
หัวหน้าเผ่าตกตะลึงไป
ชาวเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนใจสั่นสะท้านไปหมด
“มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้น” น้ำเสียงเย็นชาแฝงแววรังเกียจ
“ตู้ม”
เมฆดำที่ม้วนตัวอยู่กลางฟากฟ้าพลันโผลงมา ค่ายกลภายในชนเผ่าช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก เมฆดำที่ม้วนตัวนี้สามารถทะลุผ่านค่ายกลได้อย่างง่ายดายราวกับเลือนรางไป แล้วปกคลุมทั้งชนเผ่าก่อนจะรุกรานเข้าไปภายในกายของชาวเผ่าแต่ละคน ตั้งแต่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียว ลงไปจนถึงทารกที่เพิ่งจะกำเนิดมาได้ไม่นานสักเท่าใดนักล้วนถูกเมฆดำแทรกซึมเข้าไปจนสิ้น
“ขยับไม่ได้ ไยจึงขยับไม่ได้แล้วเล่า” คนทั้งหมดของชนเผ่าค้นพบเรื่องนี้ด้วยความตื่นตระหนก พละกำลังภายในกายของพวกเขาล้วนถูกผนึกเอาไว้ แม้แต่ร่างกายก็เหมือนจะได้รับผลกระทบ แม้หูจะยังได้ยิน ดวงตาจะยังมองเห็น ปากยังสามารถขยับได้ แต่ร่างกายกลับมิอาจขยับเขยื้อนได้เลย
จากนั้นเมฆดำที่ม้วนตัวอยู่ก็สลายหายตัวไปจนสิ้น
คนชุดดำกลางอากาศทั้งสิบสองคนพลันรวมตัวเข้าด้วยกันแล้วพูดกับชายชราอาภรณ์สีแดงผู้นั้นด้วยความนอบน้อมว่า “ใต้เท้า จับทั้งเป็นมาได้หมดแล้วขอรับ”
“อื้ม” ใบหน้าของชายชราอาภรณ์สีแดงร่างซูบผอมราวกับโครงกระดูก เหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางพูดเสียงเรียบว่า “ครั้งนี้จนวนที่จับได้ก็เพียงพอแล้ว ท่านประมุขวังต้องการร่างทดลองสามแสนร่าง พวกเจ้าคัดเลือกตามเงื่อนไขของท่านประมุขวังเสีย ส่วนที่เหลือก็คุมขังเอาไว้ด้วยกันให้ข้าที หวังว่าร่างทดลองที่หลงเหลืออยู่จะสามารถช่วยข้าฝึกเคล็ดลับจนสำเร็จได้”
“ใต้เท้าต้องสามารถฝึกสำเร็จได้แน่ขอรับ”
“ใต้เท้า หรือจะให้ข้าไปจับร่างทดลองมาเพิ่มอีก ร่างทดลองพวกนี้มีเยอะๆ ไว้ก็ดีนะขอรับ” คนชุดดำผู้หนึ่งประจบประแจง
ชายชราอาภรณ์สีแดงโลหิตมองเขาแวบหนึ่งพลางเผยรอยยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มของเขาชวนผวานัก “ข้าจะนำร่างทดลองของชนเผ่านี้กลับไปก่อน เจ้าพาคนอีกสองคนไปจับร่างทดลองมาเพิ่มอีกก็แล้วกัน”
“ขอรับๆ”
การสนทนาของพวกเขานั้นเปิดเผยออกมา มิได้ระมัดระวังเก็บงำเอาไว้แต่อย่างใด หากแต่พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
แม้ชาวเผ่าจะขยับเขยื้อนมิได้ แต่ในจำนวนนั้นก็มียอดฝีมือขั้นเทพอากาศอยู่บ้าง การได้ยินของพวกเขาดียิ่งนัก เมื่อได้ยินบทสนทนาอย่างชัดเจน ว่า ‘ร่างทดลอง’ จึงพากันหน้าถอดสี
“เป็นการบำเพ็ญระบบทิพย์ ทั้งยังเป็นการบำเพ็ญระบบทิพย์ที่ชั่วร้ายอีกด้วย พวกเขาจะจับพวกเราไปทำการทดลองอันโหดร้ายต่างๆ” บรรดายอดฝีมือของชนเผ่าตื่นตระหนกไปหมด พวกเขายอมให้ตนเองถูกสังหารจนตายเสียยังดีกว่าถูกการบำเพ็ญระบบทิพย์ทำการทดลอง การบำเพ็ญระบบทิพย์ค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่ง ย่อมต้องค้นคว้าร่างกายและวิญญาณเป็นธรรมดา ซึ่งผู้ที่ชั่วร้ายบางคนในจำนวนนั้นถึงขั้นนำผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนมาเป็นวัตถุทดลอง
“จบเห่แล้ว”
“ชนเผ่าจบเห่แล้ว”
บรรดายอดฝีมือที่ได้ยินบทสนทนาของชนเผ่ากลางอากาศพากันใจสั่นและขมขื่นนัก ทั้งเคืองแค้นและสิ้นหวัง พวกเขาอยากจะสู้สุดชีวิต แต่น่าเสียดายที่พลังแตกต่างกัน ทำให้พวกเขาไม่มีสิทธิ์จะสู้สุดชีวิตด้วยซ้ำ
“การบำเพ็ญระบบทิพย์หรือ”
น้ำเสียงเย็นชาสายหนึ่งดังก้องขึ้น
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างปรากฏกายขึ้น เขามีสีหน้าโมโหขณะมองดูชาวเผ่าและคนชุดดำกลางอากาศเหล่านั้นรวมทั้งชายชราอาภรณ์สีแดงผู้เป็นหัวหน้าที่ถูกเคล็ดลับเล่นงานเข้าไป
“เจ้าเป็นใครน่ะ” ชายชราอาภรณ์สีแดงมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเย็นชาพลางพูดเสียงเยียบเย็น
“ประมุขวังของพวกเจ้าคือผู้ใดกัน ข้าอยากจะรู้ว่าที่แท้แล้วการบำเพ็ญระบบทิพย์ท่านใดที่โหดร้ายถึงเพียงนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว อันที่จริงเขามีความรู้สุกที่ดีต่อการบำเพ็ญระบบทิพย์ เพราะภรรยาฝึกฝนการบำเพ็ญระบบทิพย์ควบคู่กันไป ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตของตนก็บำเพ็ญระบบทิพย์ควบคู่ไปด้วยเช่นกัน!
ชายชราอาภรณ์สีแดงเห็นเข้าก็ยิ้มออกมา “เห็นทีจะพบกับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือคนที่อ่อนแอเข้าเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เช่นนั้นก็จับตัวทั้งเป็นไปเสียแล้วมอบให้แก่ท่านประมุขวัง! ร่างทดลองขั้นรวมเป็นหนึ่งสักคนก็ไม่เลวเลย”
“ขอรับ”
จากนั้นคนชุดดำทั้งสิบสองก็รับคำสั่งทันที
“ตู้ม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสำแดงบริเวณแผนภาพคลื่นจานออกมา ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกซึมเข้าไปในคนชุดดำทุกคนอย่างรวดเร็ว คนชุดดำนี้จัดเป็นแขนขาระดับล่างสุด ซึ่งล้วนแต่มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่งหรือชั้นที่สองเท่านั้น เพียงแต่อาศัยที่ป้ายอักขระท่านประมุขวังมอบให้จึงมีพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ส่วนชายชราอาภรณ์สีแดงผู้นั้นกลับนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สาม! แต่ภายใต้การรายล้อมของเส้นสายระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละคนล้วนถูกรัดรึงและพันธนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
สีหน้าของชายชราอาภรณ์สีแดงเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ เขาพยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่กลับดิ้นรนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา คนชุดดำกลางอากาศทั้งสิบสองคน และชายชราอาภรณ์สีแดงคนหนึ่งถูกพันธนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ชายชราอาภรณ์สีแดงร้องคำรามว่า “เจ้าตกสู่หายนะครั้งใหญ่แล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังล่วงเกินผู้ใด หา”
ตกสู่หายนะหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอย่างสงบ พลังของตัวเขาเองจวนจะถึงเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้ว ต่อให้เป็นร่างจริงของสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นระดับประมุขตำหนักอลหม่านหรือจักรพรรดิดำลงมือ อาศัยสมบัติล้ำค่ามูลค่าหลายพันศิลาปฐมโลกาที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้ก็สามารถต้านทานได้หนึ่งหรือสองชั่วอึดใจ ซึ่งก็เพียงพอให้ตนอาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นหนีเอาชีวิตรอดไปได้แล้ว! หากมิใช่ระดับอย่างจักรพรรดิดำ ตนก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลใจเลย
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นเทพจักรวาล
เพราะทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์มีเทพจักรวาลเพียงสองท่านเท่านั้น ท่านหนึ่งคือบรรพชนทิพย์ อีกท่านหนึ่งคือบรรพชนโลกา!
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย” ชายชราอาภรณ์สีแดงยิ่งเดือดดามากขึ้น เขาตะคอกด้วยความโมโหว่า “รีบปล่อยพวกเราเสีย ข้ารายงานไปยังท่านประมุขวังแล้ว เจ้าจะสำนึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ จะขอตายก็ไม่ได้อีก!”
“อ้อ ประมุขวังของพวกเจ้าช่างเก่งกาจเสียจริง สามารถทำให้ข้าร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ จะขอตายก็ไม่ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเย็น
…………………………