Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 24 โดดเด่นจนน่าตกใจ
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ไม่อยากแจ้งให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านทราบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมไม่คัดค้าน
แม้จะมีข่าวลือบ้าง แต่ข้อแรกคือระยะเวลาสั้นนัก ข้อสองคือผู้ที่เชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกสิงหั่วสวินอีเป็นการไม่ยุติธรรมนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย!
เหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมที่สนใจมากก็จะไปเก็บรวบรวมข้อมูล พวกเขาก็จะเข้าใจว่าสิงหั่วสวินอีเป็นบุตรชายของ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ บำเพ็ญมาห้าแสนล้านปี อันดับของเจดีย์ดาวก็แค่อันดับสามพันหกร้อยกว่าเท่านั้น พวกเขาก็จะคิดว่าไม่ยุติธรรม…และยังมีบรรดาบุคคลระดับสูงของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สนใจเรื่องนี้ก็จะรู้ข้อมูลนี้
แต่เหล่าผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไม่มีข้อมูลโดยละเอียดของสิงหั่วสวินอี พวกเขาอาจจะยังคิดว่า ‘สิงหั่วสวินอี’ เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเสียด้วยซ้ำ!
ดังนั้นจึงรู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้ย่ำแย่นัก
หลักๆ ก็คือผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หนึ่งหมื่นหกพันกว่าคนที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ และคนส่วนหนึ่งของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
……
หนึ่งร้อยคนจากการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวและหนึ่งร้อยคนที่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือกตัวมา หลังจากทั้งสองร้อยคนนี้ถูกกำหนดออกมาแล้ว ก็จะมีคุณสมบัติเข้าไปใน ‘เจดีย์กาลเวลา’ แห่งเมืองราชันย์มีดแล้วบำเพ็ญโดยเร่งเวลาร้อยเท่า อันที่จริงแล้วก็เป็นการบำเพ็ญถึงล้านปีเต็ม นอกจากนี้พวกเขายังสามารถพลิกอ่านคัมภีร์จำนวนมากได้ตามใจ ซึ่งล้วนแต่เป็นคัมภีร์ค่อนข้างพื้นฐานที่หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มอบให้
เนื่องจากสองร้อยคนนี้ ท้ายที่สุดก็ต้องเข้าร่วมหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์พื้นฐานของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกนั้นสามารถเชื่อมถึงกันได้หมด
นอกจากนี้แล้วยังจะมอบสมบัติล้ำค่าจำนวนหนึ่งให้ด้วย
เวลาล้านปี คัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนและสามารถเชิญปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ให้มาชี้แนะได้…เวลาล้านปีนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญไร้สังกัดทั้งหลายแล้วช่างเหมือนฝันที่เป็นจริง บรรดาผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคิดจะได้ศาสตร์ลับที่ร้ายกาจมาสักวิชาก็ต้องสู้สุดชีวิตหรือถึงขั้นต้องอาศัยโชค จึงจะได้มาโดยปาฏิหาริย์! ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามีคัมภีร์ศาสตร์ลับจำนวนมากมาวางตรงหน้าให้เลือกสรรได้ตามอำเภอใจ
สิงหั่วสวินอีก็ต้องทำตามกฎแต่โดยดี ด้วยการเตรียมการของงานชุมนุมใหญ่ เขาก็บำเพ็ญโดยเร่งเวลาร้อยเท่าเช่นเดียวกันกับเหล่าผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า “ผ่านไปหมื่นปีแล้ว วันนี้ก็คือวันที่พวกเขาเหล่านี้จะทำการต่อสู้แล้ว” สำหรับเขา เวลาหมื่นปีช่างสั้นมากจริงๆ หากมิได้มีผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ถูกคัดเลือกมาขอคำชี้แนะ แล้วตั้งใจสงบจิตใจบำเพ็ญจริงๆ และรับรู้สักเล็กน้อยแล้วล่ะก็ เวลาหมื่นปีก็จะรู้สึกเหมือนเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากคูหาแล้วทะยานข้ามท้องฟ้าไป ห่างออกไป ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็กำลังบินเหินมาเช่นกัน
“ตงป๋อ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์บินเคียงข้างตงป๋อเสวี่ยอิงไป “แม้ระยะเวลาหมื่นปีนี้จะสั้น แต่ก็มีบางคนที่ลอบวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีนามว่าประมุขวังปาอวิ่นผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่าตอนที่เขาและยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นสนทนากันก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ ทั้งยังกล่าวว่ารอให้ถึงตอนการต่อสู้ตัดสินอันดับ จะคอยหัวเราะเยาะเจ้าอีกต่างหาก”
“ปาอวิ่นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
คนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตและเห็นแก่ตัวเป็นอันมาก
ทว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญ ไม่ว่าคนแบบไหนก็มีทั้งนั้น ผู้ที่เห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่งก็ย่อมมีเป็นธรรมดา ทำตามข้าก็รอด ขัดขวางข้าก็ตายก็มีอยู่มากมาย ประมุขวังปาอวิ่นจะเกลียดตนด้วยเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องปกตินัก
“จะคอยหัวเราะเยาะข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เกรงว่าเขาคงจะไม่มีโอกาสหรอก”
“ถูกต้อง” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็เผยรอยยิ้มออกมา
สวบๆ
พวกเขาทั้งสองบินไปถึงสถานที่จัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ที่นั่งถูกจัดเตรียมเอาไว้เหมือนกับตอนเปิดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ริมสุดของที่นั่งห้าที่ทางซ้ายมือของเจ้าลัทธิภาพจิต
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทยอยกันมาถึงทีละคนๆ ส่วนบรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์แต่ละคนที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่กลับมาถึงพร้อมหน้ากันตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว แม้พวกเขาหลายคนจะมิได้ถูกเลือก แต่กลับอยากชมการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อที่จะดูความแตกต่างของพลังระหว่างกัน! ยังมีเหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองราชันย์มีด บางคนยังคงเป็นเด็ก พวกเขาพากันตั้งตารอคอยชมการต่อสู้
“ในบรรดาหนึ่งร้อยคนที่ห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือก อีกเก้าสิบเก้าคนก็แล้วไปเถิด แต่สิงหั่วสวินอีผู้นั้นกลับอาศัยคนหนุนหลังอย่างแน่นอนไร้ข้อกังขา เป็นผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติมากที่สุดคนหนึ่ง” บรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างได้รู้ข้อมูล และพวกเขาคือผู้ที่มิได้รับเลือก ดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกจิตใจไม่สงบเข้าไปใหญ่
“ข้าเคยพูดมาก่อนแล้วว่า เขาไม่สมควรจะได้รับตำแหน่งปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เห็นได้ชัดว่าสายตาสู้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านมิได้เลย”
“มิใช่ว่าสายตาสู้ไม่ได้ แต่ถูกซื้อได้ง่ายกว่าต่างหากเล่า”
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หลายคนลอบถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กัน พวกเขาหลายคนเต็มไปด้วยความเคทองแค้น
หากสิงหั่วสวินอีมิได้ถูกเลือก อันดับที่ว่างนี้ก็อาจจะเป็นพวกเขาคนใดคนหนึ่งก็เป็นได้
“ดูเอาเถิด”
“ในการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาว สิงหั่วสวินอีผู้นั้นเป็นเพียงแค่อันดับที่สามพันหกร้อย อีกประเดี๋ยวตอนที่เขาต่อสู้ก็จะเห็นข้อบกพร่องแล้ว”
……
เสียงของเจ้าลัทธิภาพจิตดังกังวาน สะท้อนก้องอยู่ข้างหูของผู้บำเพ็ญทั่วงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราหรือแม้กระทั่งดวงจิต “ผู้บำเพ็ญสองร้อยคนที่ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นในครั้งนี้แบ่งเป็นห้ากลุ้ม แต่ละกลุ่มจะเฟ้นหาผู้ชนะสองคน ผู้ชนะสิบคนสุดท้ายจะมาตัดสินกันตัวต่อตัว…และจะมีการจัดห้าอันดับแรกออกมาตามผลงานทั้งหมด ห้าคนแรกนี้ สามารถเลือกเข้าร่วมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใดในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ตามใจ แน่นอนว่าจะกลายเป็นคนสำคัญของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และได้รับการบ่มเพาะอย่างเต็มที่ บัดนี้ กลุ่มแรกเริ่มได้”
เสียงของเจ้าลัทธิภาพจิตนุ่มนวล แต่กลับทำให้ผู้ชมทั้งหมดเงียบลงอย่างไม่รู้ตัว
สายตาของแต่ละคนล้วนจับจ้องไปที่เวทีการต่อสู้กว้างยาวถึงแสนลี้ซึ่งอยู่ไกลออกไป ยามนี้เงาร่างสายแล้วสายเล่าทะยานมาถึงบนเวทีการต่อสู้เสียงดังสวบๆๆ ซึ่งนี่ก็คือสี่สิบคนของกลุ่มแรก
ขณะเตรียมการต่อสู้…
เจ้าลัทธิภาพจิตผู้รับผิดชอบการจัดเตรียมก็ได้แบ่งผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่งออกจากกัน แล้วกระจายเข้าไปทั้งห้ากลุ่ม ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในแต่ละกลุ่มก็จะคัดออกมาสองคน
นอกจากนี้หากกลุ่มใดมีผู้ที่พรสวรรค์สูงยิ่งเกาะกลุ่มกันอยู่ สองร้อยคนทางด้านหลังล้วนต้องบุกฝ่าเจดีย์ดาว เหล่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ก็จะเลือกอีกห้าคนมาเพิ่มเติม!
โดยสรุปแล้ว งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราต้องพยายามคัดเลือกผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ดีที่สุดออกมาสิบคน
“ตู้ม”
“ฟิ้ว”
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์สี่สิบคนต่อสู้กันอย่างสับสนอลหม่านอยู่บนเวที บางคนถูกกระแทกออกจากเวที บ้างก็กระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายขึ้นมา
พวกเขาแต่ละคนล้วนได้รับสมบัติล้ำค่าคุ้มกายชิ้นหนึ่งซึ่งสามารถกระตุ้นขึ้นมาใช้ได้ชั่วคราว แต่ทันทีที่ใช้งาน ก็แสดงว่าพ่ายแพ้ในการต่อสู้แล้ว! ต้องออกจากเวทีการต่อสู้ไปเองแต่โดยดี หากถูกกระแทกออกจากเวทีก็แสดงว่าพ่ายแพ้แล้วเช่นกัน ท้ายที่สุดบนเวทีเหลือเพียงสองคน ก็คือผู้ชนะนั่นเอง
แทบจะแค่ชั่วลมหายใจเดียวก็เหลือผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เพียงแปดคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ คนอื่นๆ ล้วนถูกคัดออกไปทั้งสิ้น
อีกสองชั่วลมหายใจถัดมา ก็เหลือผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เพียงสามคน
“ตู้ม”
เมฆดำม้วนตัวมาแล้วกระแทกเข้ากับร่างของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์คนหนึ่ง จนทำให้อีกฝ่ายกระอักเลือดแล้วกระเด็นออกจากเวทีการต่อสู้ไป หลังกระเด็นออกจากเสทีไปแล้ว เขาก็จ้องมองชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บนเวทีพลางลอบพึมพำว่า “ชางฉงเทียนอวิ๋น นับว่าเจ้าโหดร้ายนัก”
กลุ่มแรกนี้มีชางฉงเทียนอวิ๋นอยู่ เขาเป็นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่เพียงคนเดียวในการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาว สำหรับคนอื่นแล้ว นับว่าเขาได้เปรียบเรื่องพลัง
เมื่อครู่เหลือเพียงสามคนสุดท้าย พลังของชางฉงเทียนอวิ๋นแข็งแกร่งที่สุด อีกสองคนแตกต่างกันไม่มากนัก คนที่ถูกกระแทกออกไปได้ลอยถ่ายเสียงให้ชางฉงเทียนอวิ๋น ขอให้เขาช่วยเหลือ หลังจบเรื่องแล้วจะมอบศิลาปฐมโลกาสิบก้อนให้เป็นการตอบแทน
ไหนเลยจะไปคิดว่า…
ชางฉงเทียนอวิ๋นจะกระแทกเขาออกไปทันที
“ชางฉงเทียนอวิ๋นช่างร้ายกาจเสียจริง”
“ได้เปรียบมากจริงๆ”
“เป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดของกลุ่มที่หนึ่งเลยทีเดียว” แม้การต่อสู้จะรวดเร็วยิ่งนัก แต่เหล่าผู้ชมล้วนเห็นได้ถึงพลังของชางฉงเทียนอวิ๋น
……
“กลุ่มที่สอง”
……
“กลุ่มที่สาม”
การคัดเลือกโดยวิธีแบ่งกลุ่มการต่อสู้นั้นรวดเร็วนัก ไม่นานก็มาถึงกลุ่มที่สามแล้ว ผู้บำเพ็ญสี่สิบคนในกลุ่มที่สามพากันทะยานขึ้นไปบนเวที ในจำนวนนั้นก็มี ‘สิงหั่วสวินอี’ ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองซึ่งดูจากรูปโฉมและกลิ่นอายภายนอกแล้ว สิงหั่วสวินอีก็เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในจำนวนนั้น
“สิงหั่วสวินอีขึ้นมาแล้ว”
“ดูสิ อีกประเดี๋ยวเขาก็จะเผยจุดอ่อนออกมาแล้ว” บรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกไม่สงบเอาเสียเลย พวกเขาคิดอยากให้ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ซึ่งไม่ค่อยจะเที่ยงธรรมเท่าใดผู้นั้นเสียหน้า หากสิงหั่วสวินอีที่เขาเลือกพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถแล้ว ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาตาไร้แวว และไม่ยุติธรรม
มิใช่เพียงผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่เบื้องล่างเท่านั้น
แม้แต่บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบนแท่นสูงหลายคนก็พากันจับตามอง พวกเขามาชมการต่อสู้ จึงย่อมได้ยินข่าวลือต่างๆ มาก่อนล่วงหน้าแล้ว พวกเขาหลายคนอดเหลือบมอง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งนั่งอยู่ตรงตำแหน่งริมสุดของห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่มิได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ พลางมองดูการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นบนเวทีขนาดมหึมาด้านล่าง
หางตาของแม่ทัพเทียนกวงเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่งแล้วก็ลมการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องล่างต่อไป
“ตู้มมมม…”
การต่อสู้พลันปะทุขึ้น
สิงหั่วสวินอีหนุ่มน้อยอาภรณ์ทองพลันมีแสงสีขาวชั้นหนึ่งปะทุขึ้นมา ภาพลวงแสงสีขาวปกคลุมผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์อีกสามสิบเก้าคนบนเวทีแห่งนี้ นี่ก็คือศาสตร์โบราณเขตลวงของสิงหั่วสวินอี! วิถีโลกเทียมบรรลุถึงระดับขั้นเช่นนี้ ทั้งยังเข้าถึง ‘ฟองแตกสลาย’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาอีกด้วย ศาสตร์โบราณเขตลวงซึ่งมีอยู่แต่เดิมของเขาจึงย่อมยกระดับขึ้นมาถึงระดับขั้นใหม่ล่าสุดได้ อานุภาพของเขตลวงอันน่าหวาดหวั่น ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์กว่าครึ่งในที่นั้นล้วนแต่ตกรอบ ยังมีจำนวนน้อยนิดที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนครั้งแล้วครั้งเล่าพยายามที่จะครองสติเอาไว้ให้ได้ มีเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ยังมีสติสมบูรณ์อยู่
ขณะเดียวกับที่สำแดงเขตลวงออกมา สิงหั่วสวินอีกลับโบกมือคราหนึ่ง
ตู้มมม…
รัศมีของเปลวเพลิงโจมตีลงบนร่างของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งหลายอย่างกะทันหัน วิถีโลกเทียมมีพลังระดับเจดีย์ดาวสี่ชั้น แต่การบำเพ็ญสายโลหิตของเขาทำให้พลังเพิ่มพูนขึ้นไม่มากนัก คือมีพลังชั้นที่สาม บัดนี้ภายใต้การล้อมโจมตี ผู้ที่ตกหลุมพรางและดิ้นรนครองสติไว้ได้อย่างพอถูไถล้วนยากที่จะต้านทานเอาไว้ได้
ภายใต้การโจมตีของเปลวเพลิงที่หอบม้วนเข้ามา ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หลายคนก็ถูกกระแทกจนกระเด็นออกจากเวทีการต่อสู้ เหลือเพียงแปดคนเท่านั้นที่สามารถต้านทานได้ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมากและบำเพ็ญจิตมาอย่างยอดเยี่ยม แต่พวกเขาทั้งแปดก็พากันมองสิงหั่วสวินอีด้วยสายตาตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น
คนที่อยู่ด้านล่างเวทีซึ่งคิดจะให้สิงหั่วสวินอีพลาดพลั้ง คิดจะพิสูจน์ว่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ไม่เที่ยงธรรม และผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ตกรอบเหล่านั้น ต่างก็พากันอ้าปากค้าง
นี่ นี่ นี่…
นี่คือพลังของอันดับที่สามพันหกร้อยกว่าๆ ของการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวหรือ เหตุใดจึงรู้สึกว่าเหิมเกริมกว่าชางฉงเทียนอวิ๋นซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งเสียอีกเล่า
……
บนแท่นสูง ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนมากล้วนสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ คนจำนวนไม่น้อยพากันตกอกตกใจ บางคนอดมองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นมิได้
“ยินดีด้วยๆ จักรพรรดิสิงหั่ว ยินดีด้วย” ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนกลับเริ่มสนทนาปราศรัยกับจักรพรรดิสิงหั่ว พวกเขาล้วนแต่มีตา การควบคุมเขตลวงย่อมต้องเป็นพลังของตน ไม่มีทางเป็นพลังภายนอกได้อย่างแน่นอน
ส่วนทางห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่
ประมุขวังเจียงฝู่เหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงทางด้านซ้ายอย่างสนอกสนใจ ใบหน้าเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาพลางพึมพำว่า “น่าสนใจ เวลาหมื่นกว่าปี สิงหั่วสวินอีกลับยกระดับขึ้นมาได้มากมายถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นเขตลวงด้วยหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีชื่อเสียงทางด้านเขตลวงมากที่สุดนี่นา”
“ผู้อาวุโสตงป๋อ”
ประมุขเกาะจื่อถูยิ้มงดงาม แฝงไว้ด้วยแรงเย้ายวนอันชวนตะลึงลาน “ช่างเก่งกาจเหลือเกิน มิน่าเล่าท่านจึงเลือกสิงหั่วสวินอี ในสายตาของข้า พลังของเขาอาจจะร้ายกาจกว่าชางฉงเทียนอวิ๋นเสียอีก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากพูดว่า “เขตลวงเชี่ยวชาญด้านการล้อมโจมตี เมื่อเทียบกับชางฉงเทียนอวิ๋นแล้ว พลังของเจ้าหนุ่มสวินอีผู้นี้ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน ก็ต้องรอให้ถึงศึกตัดสินชี้ขาดเสียก่อนจึงจะรู้”
…………………………………………