Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 25 ศึกตัดสิน
“ข้าแปลกใจนัก” ประมุขวังเจียงฝู่หันหน้ามาพลางพูดยิ้มๆ “ที่ผ่านมาสิงหั่วสวินอีบำเพ็ญมาห้าแสนล้านปีก็มีพลังเช่นนั้นเอง บัดนี้เพิ่งจะผ่านไปนานสักเท่าใดกันเชียว เขตลวงก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว หรือว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา สิงหั่วไม่สามารถหาอาจารย์ดีๆ ให้เขาได้สักคน ในเวลาสั้นๆ กลับยกระดับขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ การรับรู้ต้องสูงส่งอย่างมากแน่นอน แม้จะไม่มีอาจารย์ชั้นดี บำเพ็ญด้วยตนเองเพียงลำพังก็ไม่ควรอ่อนแอเหมือนตอนเริ่มต้น…ผู้อาวุโสตงป๋อ ช่วยคลายความสงสัยให้ข้าหน่อยได้หรือไม่เล่า”
“ฮ่าฮ่า”
จักรพรรดิสิงหั่วที่อยู่เยื้องไปกลับหัวเราะขึ้นมา “เจียงฝู่ พูดได้เพียงว่าไม่เสียทีที่ผู้อาวุโสตงป๋อเป็นผู้บำเพ็ญที่มีผลสำเร็จด้านวิถีโลกเทียมร้ายกาจที่สุดของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์! เขาเข้าใจเขตลวงได้ดียิ่งนัก ด้วยการชี้แนะจากเขา บุตรชายข้าก็เข้าใจเขตลวงได้ทะลุปรุโปร่งอย่างพรวดพราด! ข้าเองก็ซาบซึ้งในตัวผู้อาวุโสตงป๋อมาก ที่สามารถขุดค้นเอาความสามารถที่ซ่อนอยู่ทางด้านเขตลวงของบุตรชายออกมาจนได้ ฮ่าฮ่า งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ มาได้ถูกต้องแล้ว!”
เห็นกันอยู่ว่าประมุขวังเจียงฝู่กำลังถามตงป๋อเสวี่ยอิง แต่จักรพรรดิสิงหั่วกลับแทรกเข้ามาเอง
ทว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอื่นๆ ในที่นั้นล้วนพากันผสมโรง
ล้อเล่นแล้ว
เจ้าลัทธิภาพจิต ประมุขวังเจียงฝู่และจักรพรรดิสิงหั่ว…เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดสามคนในที่นั้น พวกเขาล้วนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นอลวน พวกเขาสามารถสังหารระดับเจดีย์ดาวเจ็ดชั้นและเข่นฆ่าได้ในชั่วพริบตา! สังหารระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปด…นั่นก็เป็นการกดดันอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปสำแดงอีกไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถทำลายไปได้แล้ว สถานะของพวกเขาก็เท่ากับสถานะของยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดเมื่ออยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่งนั่นเอง
ดังนั้นต่อให้หยิ่งทระนงเช่นแม่ทัพเทียนกวง แม้พวกเขาจะไม่เอ่ยปากผสมโรง แต่ก็เผยรอยยิ้มออกมา
“เจ้าหนุ่มขั้นรวมเป็นหนึ่งคนนี้กลับทำให้จักรพรรดิสิงหั่วปกป้องและซาบซึ้งในตัวเขาได้” แม่ทัพเทียนกวงนั่งอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง ในใจกลับมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา เขาสามารถสัมผัสได้ว่าจักรพรรดิสิงหั่วซาบซึ้งในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงมากจริงๆ และยังสัมผัสได้ถึงความยินดีปรีดาอันไร้ที่สิ้นสุดของจักรพรรดิสิงหั่วด้วย!
“หรือความสามารถที่ซ่อนอยู่ของสิงหั่วสวินอีจะถูกตงป๋อเสวี่ยอิงขุดค้นออกมาจริงๆ หนอ” แม่ทัพเทียนกวงกลับไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
จักรพรรดิสิงหั่วพูดขนาดนี้แล้ว แม่ทัพเทียนกวงไม่เชื่อจะทำอย่างไรได้อีกเล่า
……
ในโลกของผู้บำเพ็ญ ผู้แกร่งกล้าก็เป็นที่ยอมรับนับถือจนซึมลึกเข้ากระดูกดำแล้ว
ผู้ที่มานั่งชมการต่อสู้อยู่บนแท่นสูง นอกจากขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว คนอื่นๆ ก็เป็นขั้นอลวนทั้งสิ้น! เช่นนี้ก็จะเห็นได้ว่าธรรมดาทั่วไปแล้ว อันที่จริงก็เป็นเรื่องปกตินัก ขอเพียงบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสั่งสมอะไรมากหน่อยก็สามารถบรรลุระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้ ส่วนโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน ยุคนี้ก็ไม่มีขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดเลย!
เมื่อขั้นอลวนเผชิญหน้ากับขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็จะเหลือบมองลงมาอย่างเหนือกว่าเป็นธรรมดา พวกเขาส่งร่างแปรมาร่างหนึ่งตามอำเภอใจ ก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปจนถึงชั้นที่หกได้แล้ว ซึ่งสามารถล้างสังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มใหญ่ได้เลยทีเดียว
เดิมทีในใจของพวกเขาดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิงในเรื่องพลัง ต่อมาตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเลือก ‘สิงหั่วสวินอี’ โดยไม่สนใจรักษาหน้าตนเอง ทำให้พวกเขายิ่งดูแคลนขึ้นไปอีก! เพียงแต่ตอนนี้…กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว!
ข้อแรก พลังของสิงหั่วสวินอีน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในการคัดเลือกเบื้องต้นกลับอ่อนแอนัก เห็นได้ชัดว่าสามารถยกระดับได้อย่างมากมายในระยะเวลาสั้นๆ แต่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่คนล้วนไม่ได้เลือกเขา เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่คนล้วนไม่ทราบว่าสิงหั่วสวินอีก้าวหน้าอย่างน่าตกใจเพียงใด ถ้าหากรู้ก่อน พวกประมุขวังเจียงฝู่ก็จะต้องเลือกเขาอย่างแน่นอน
มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้นที่ล่วงรู้และคัดเลือกเขา! นอกจากนี้ยังเป็นด้านเขตลวงอีกด้วย แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้สิงหั่วสวินอีเก่งกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรก็ตาม แต่กลับทำให้พวกเขายิ่งนับถือปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้นี้มากขึ้นไปอีก
ข้อสอง ซึ่งสำคัญที่สุด
ก็คือพวกเขาล้วนรู้สึกว่าจักรพรรดิสิงหั่วซาบซึ้งและปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างมาก ลำพังแค่ข้อนี้ พวกเขาก็มิอาจดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิงได้
……
การคัดเลือกทั้งห้ากลุ่มยุติลงอย่างรวดเร็ว แต่ละกลุ่มล้วนคัดผู้บำเพ็ญออกมาสองคน รวมทั้งหมดสิบคน!
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งสิบคนนี้เริ่มต่อสู้กันตัวต่อตัว การต่อสู้ยกแล้วยกเล่าดำเนินไป พวกเขาแต่ละคนล้วนต้องต่อสู้ทั้งหมดเก้ายก เพื่อตัดสินห้าอันดับแรกออกมาจากผลการต่อสู้ในท้ายที่สุด!
ถึงยามนี้แล้ว…
การต่อสู้ก็สำคัญมากทีเดียว!
สองร้อยคนจากการคัดเลือกเบื้องต้นของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ต่อให้เข้าร่วมหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจนับได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญ อย่างมากก็ได้รับทรัพยากรพื้นฐานที่สุดเท่านั้น แต่เมื่อสิบคนสุดท้ายเข้าร่วมหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะกลายเป็นบุคคลสำคัญซึ่งจะได้รับการบ่มเพาะอย่างสุดความสามารถ
“ตู้ม…”
ลูกหลงจากการต่อสู้สะท้อนไปมาบนเวทีซึ่งมีบริเวณกว่าแสนลี้
“ชางฉงเทียนอวิ๋นชนะ!”
……
แต่ละคนต่อสู้เก้ายก รวมทั้งหมดสี่สิบห้ายก เมื่อเทียบกันแล้วการต่อสู้นี้ก็ยอดเยี่ยมกว่ามากทีเดียว พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์และการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง วิธีการต่างๆ ล้วนแต่วิจิตรพิสดาร ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างดูแล้วตื่นเต้นนัก
“สิงหั่วสวินอีชนะ”
สิงหั่วสวินอียืนอยู่บนเวทีโดยไม่ขยับเขยื้อน ตัวเขาเองต่อสู้ไปห้ายกแล้ว
การต่อสู้ของเขาโดดเด่นสะดุดตาที่สุดบนเวที เนื่องจากการต่อสู้แต่ละครั้ง เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย โดยทั่วไปก็จะสำแดงเขตลวงออกมาก่อน! แต่ให้สามารถสกัดกั้นเขตลวงได้ พลังของคู่ต่อสู้ก็ต้องลดลงเป็นอย่างมาก ข้อสองก็คือสำแดง ‘คุกโลกา’ ออกมา โดยทั่วไปจะใช้คุกโลกาถึงหกชั้นร่อนลงมา คุกโลกาที่ทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่าเข้าโอบล้อมคู่ต่อสู้เอาไว้ โดยทั่วไปคู่ต่อสู้ก็จะถูกพันธนาการจนดิ้นไม่หลุด จากนั้นก็จะถูกพันธนาการและถูกขับออกไปจากเวที
เขาคว้าชัยชนะอย่างง่ายดายเช่นนี้ห้ายกต่อเนื่องกัน
“เขตลวงช่างน่าหวาดหวั่นนัก”
“เคล็ดการพันธนาการของเขาสิจึงจะน่าหวาดหวั่น เมื่อถูกพันธนาการแล้ว พลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สามยังดิ้นไม่หลุดเลย” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ตกรอบซึ่งชมการต่อสู้อยู่เบื้องล่างกว่าหมื่นคนล้วนตกตะลึงเหลือแสน
“หมื่นกว่าปีก่อนเขาเพิ่งจะอยู่ในระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สองเท่านั้น เพียงพริบตาเดียวก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว”
“ผู้อาวุโสตงป๋อชี้แนะศิษย์ได้เยี่ยมยอดถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ก่อนหน้านี้เหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ตกรอบยังรู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ยุติธรรม ตอนนี้กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายชี้แนะศิษย์ได้เยี่ยมยอดเกินไปเสียแล้ว
“ข้าก็เคยไปขอคำชี้แนะมาก่อน ไยจึงมิได้ยกระดับขึ้นสักเท่าไหร่เลยเล่า”
“ใครใช้ให้เจ้าไม่ฝึกฝนเขตลวงล่ะ”
“ถูกต้อง ผู้อาวุโสตงป๋ออาจจะเชี่ยวชาญเขตลวงมากที่สุดกระมัง พวกเราก็มิใช่ยอดฝีมือด้านเขตลวง”
“พวกเจ้าก็มิใช่บุตรชายของจักรพรรดิสิงหั่ว ผู้อาวุโสตงป๋อชี้แนะพวกเจ้า จะทุ่มเทสุดกำลังได้อย่างไรกัน”
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
อิจฉา ริษยา แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจของพวกเขาก็ยอมรับในสายตาและความสามารถในการชี้แนะศิษย์ของผู้อาวุโสตงป๋ออยู่ดี
……
ในที่สุดสิงหั่วสวินอีก็เคลื่อนไหวแล้ว
เขาเผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนหนึ่งนาม ‘คั่งหย่ง’ และได้สำแดงศาสตร์ลับโลกเทียมกระบวนที่สอง ‘ฟองแตกสลาย’ ซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมา และถูกบีบให้ต้องสำแดงฟองแตกสลายสามกระบวนออกมาพร้อมกัน จึงทำให้คั่งหย่งบาดเจ็บสาหัส บีบบังคับให้คั่งหย่งต้องยอมแพ้
……
การต่อสู้สี่สิบห้ายกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดก็ดำเนินมาถึงยกสุดท้าย ผู้ที่รับผิดชอบจัดลำดับการต่อสู้ของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราจงใจจัดให้การต่อสู้ระหว่าง ‘ชางฉงเทียนอวิ๋น’ และ ‘สิงหั่วสวินอี’ อยู่ในยกสุดท้าย พวกเขาทั้งสองล้วนคว้าชัยมาทั้งแปดยกก่อนหน้านี้ ยกนี้ผู้ใดชนะ…ก็จะเท่ากับชนะเก้ายกรวด และเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งศึกตัดสินของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้อย่างไร้ข้อกังขา
อันที่จริงตอนนี้พวกเขาทั้งสองก็อยู่ในห้าอันดับแรกอย่างแน่นอนแล้ว และจะเป็นคนสำคัญซึ่งได้รับการบ่มเพาะอย่างแน่นอน แต่พวกเขาทั้งสองก็มีความปรารถนาที่จะต่อสู้ล้นฟ้า
“ตู้มมม…” ชางฉงเทียนอวิ๋นยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายแข็งแกร่งบึกบึน เมฆดำม้วนตัวแล้วแผ่กำจายไปรอบผิวกาย เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งจนถึงขีดสุด
ส่วนสิงหั่วสวินอีในรูปร่างหนุ่มน้อยยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเวทีการต่อสู้ กลิ่นอายของเขาถูกเก็บงำเอาไว้ เหมือนจะเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาสามัญคนหนึ่งซึ่งไม่มีภัยคุกคามแม้แต่น้อย แต่จู่ๆ ร่างกายของเขาก็พลันปะทุแสงสีขาวอันเรืองรองออกมา ซึ่งแสงสีขาวอันเรืองรองนี้ปกคลุมทั่วทั้งเวทีในพริบตา
“เริ่มแล้ว”
เจ้าลัทธิภาพจิต ประมุขวังเจียงฝู่ จักรพรรดิสิงหั่ว เจ้าลัทธิเทียนกวง บรรพชนงูอู่เจ๋อ ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ที่อยู่บนแท่นสูงพากันจับตามองการต่อสู้เบื้องล่างครั้งนี้โดยละเอียด การต่อสู้ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะมิได้สนใจมากนัก แต่การต่อสู้ครั้งนี้กลับเป็นยกที่สำคัญที่สุดของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้เลยทีเดียว
………………………………….