Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 27 การตายของกู่ฉี
ภายในเมืองราชันย์มีด ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงกำลังชี้แนะผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่มาขอให้ช่วยสอน
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งมีความหมายตรงตัว ทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็น ‘หนึ่ง’ ‘หนึ่ง’ นี้ก็คือที่สุด ก็เหมือนกับจุดสูงที่สุดและแหล่งที่มา! เรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องทำในตอนนี้ พูดให้ง่ายหน่อยก็คือเดินไปให้ถึงขีดสุด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางผู้บำเพ็ญหญิงที่มีหางเป็นเกล็ดตรงหน้าพลางพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องไปคิดถึง ‘เหนือกว่าจุดสูงสุด’ อะไรนั่นเลย ระดับขั้นของเจ้าในตอนนี้ยังต่ำนัก อย่าได้วาดฝันเกินเอื้อม”
“ไขว่คว้าจุดสูงสุดมาให้ได้ก่อน อย่างน้อยก็ไปให้ถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวจึงจะมีสิทธิ์ไปสำรวจเหนือกว่าจุดสูงสุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรยายไปพลาง ใช้มือแสดงไปพลาง “เจ้าดูสิ เคล็ดวิชาของเจ้าสามารถสำแดงได้อย่างสุดยอดขึ้นไปอีก อย่างเช่นแบบนี้…”
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หญิงผู้นี้มองด้วยสายตาเป็นประกาย
ในตอนที่คัดเลือกเบื้องต้นจัดอยู่ในร้อยอันดับแรก นางก็ไม่เคยขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยสอน ด้วยรู้สึกว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งไม่คู่ควรให้ขอให้ช่วยสอน แต่การแสดงของสิงหั่วสวินอีทำให้นางมาขอให้ช่วยสอนในตอนนี้ แต่นางกลับค้นพบว่าการชี้แนะของตงป๋อเสวี่ยอิงในด้าน ‘ค่ายสังหาร’ ถึงแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่กลับชี้ตรงถึงแก่นแท้ การชี้แนะจึงได้กระชับและตรงจุดยิ่ง
“ตงป๋อ รีบออกมาเร็วเข้า” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์หรือ
“พูดถึงแค่ตรงนี้ชั่วคราวก่อน ข้ายังมีธุระต้องทำ เจ้ากลับไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้น
“เจ้าค่ะ” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หญิงมิกล้ามากความ รับคำอย่างเชื่อฟัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินออกไปจากคูหาในทันที
ด้านนอกประตูคูหา
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ถ่ายเสียงพูดว่า
“ไป ท่านบรรพชนให้ข้ามาพาเจ้ากลับวังทวีสูญโดยด่วน ข้าก็เลยมาพาเจ้ากลับไป”
“เร่งร้อนถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
นี่ยังอยู่ในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราอยู่เลย!
“ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังตามไปอย่างเชื่อฟัง ช่วงเวลาชี้แนะผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้นผ่อนคลายอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นทั้งหมดก็มีอยู่เพียงสองร้อยคนเท่านั้น เกรงว่านานๆ ทีจึงจะมีคนมาขอให้ตนสอนสักคนหนึ่ง
……
พวกเขาสองคนไปจากเมืองราชันย์มีด พร้อมกันนั้นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ไปถึงยังวังทวีสูญโดยตรง
ณ วังทวีสูญ
ที่พำนักของบรรพชนเทียนอวี๋ เขาเรียกตงป๋อเสวี่ยอิงมาพบตามลำพัง
“ช่างแปลกเสียจริง งานชุมนุมใหญ่ดวงดารายังไม่สิ้นสุดก็เรียกข้ากลับมาแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความสงสัยขึ้นในใต เดินอยู่ภายในลานบ้านของที่พักของบรรพชนเทียนอวี๋ เหล่าผู้ดูแลก็มิได้ขัดขวางเลยตลอดทาง เพียงไม่นานก็มาถึงด้านข้างของต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านต้นหนึ่ง ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ ชายชราหลังค่อมกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงทักทายด้วยความเคารพ
บรรพชนเทียนอวี๋มองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องบอกเจ้า ปรมาจารย์กู่ฉีของเจ้า เขาสิ้นลมแล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมอย่างตกตะลึง
ทว่าในห้วงสมองกลับเต็มไปด้วยเสียงคำรามกึกก้อง
ปรมาจารย์กู่ฉีตายแล้วหรือ
“ทำไม ทำไม…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะพูดขึ้นมาอย่างอดมิได้
“เขาถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปลิดชีพ เชื่อว่าอีกไม่นานบุคคลระดับสูงของขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งก็จะต้องแพร่ข่าวนี้แน่” บรรพชนเทียนอวี๋พูด
ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดฟุ้งซ่านจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรู
พูดถึงความรู้สึก ตอนนั้นยามที่ท่านพ่อท่านแม่ น้องชาย ท่านอาจง ท่านอาถงจากไป นั่นจึงจะเรียกว่าทุกข์ระทมขมขื่น ตอนนั้นจิ้งชิวผู้เป็นภรรยาหมิ่นเหม่จะแตกสลายกระจัดกระจาย เขารู้สึกว่าทั้งโลกล้วนไร้ซึ่งสีสัน…ในหัวใจ อาจารย์ที่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยพบหน้ากัน พูดคุยกันตัวเป็นๆ เลยสักครั้งผู้นี้ สำหรับความรู้สึกของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นก็อ่อนกว่ามากนัก
แต่เขาก็ยังเคารพนับถืออาจารย์ผู้นี้เป็นอย่างมาก
พูดกันอย่างจริงจังแล้ว นับได้ว่าการได้พูดคุยกับปรมาจารย์กู่ฉีจริงๆ ก็มีเพียงแค่ตอนรับถ่ายทอดวิชาที่จักรวาลภูมิลำเนาในครั้งนั้นเท่านั้น อาจารย์ได้ทิ้งร่างแปรเอาไว้ที่นั่นในตอนนั้น
ตอนนั้นร่างแปรเทพจักรวาลอันใหญ่มหึมาหาใดเปรียบกลับพูดจาตั้งมากมายก่ายกอง
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ากู่ฉีของข้าก็จะมีลูกศิษย์กับเขาด้วย”
“ความรู้สึกที่มีลูกศิษย์ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
“ข้าเองก็รับศิษย์เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าควรจะสอนลูกศิษย์อย่างไรดี”
“จนถึงตอนนี้ แม้กระทั่งคำเรียกหาว่าอาจารย์สักคำหนึ่งเจ้าก็ยังมิเคยเรียกเลยกระมัง ถึงแม้ว่าจะมิได้สอนวิชาลับผู้ท่องให้กับเจ้าแต่อย่างใด และข้าก็มิได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่ดีร้ายอย่างไรข้าก็มีบุญคุณที่ถ่ายทอดให้เจ้า ทั้งยังส่งมอบสมบัติพิทักษ์วิถีให้แก่เจ้าอีกด้วย”
ร่างแปรเทพจักรวาลขนาดมหึมาในตอนนั้นมองดูลูกศิษย์ของตน
“ศิษย์ตงป๋อเสวี่ยอิง คารวะท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงกราบเขาเป็นอาจารย์
ร่างแปรเทพจักรวาลขนาดมหึมาแย้มยิ้มขึ้นมาในขณะนั้น
จากนั้น…
ท่ามกลางอาจารย์จำนวนมากมายบนเส้นทางการบำเพ็ญ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีอาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งชื่อว่ากู่ฉี ผู้ที่แม้แต่ร่างจริงก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ส่วนกู่ฉี ในที่สุดก็มีลูกศิษย์กับเขาคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเขาอีกด้วย
คราวก่อนที่ตนประมือกับเหลยเหยียน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาโลกทิพย์ทั้งห้า ปรมาจารย์กู่ฉีเองก็รู้ ถึงขนาดที่รู้ผ่านภาพการต่อสู้ว่าตนได้บำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงและเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดไปควบคู่กันด้วย ทั้งยังส่งวัตถุภายนอกที่จำเป็นในการบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสองศาสตร์นี้มาให้อีกด้วย
ตอนนั้นก็เหลือเพียงแค่ภาพมายาท่อนหนึ่งทิ้งเอาไว้เท่านั้น
“ฮ่าฮ่า ศิษย์เพียงคนเดียวของข้า กู่ฉีผู้นี้ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้ อยากจะโอ้อวดกับผู้เฒ่าคนอื่นๆ สักหน่อยจริงๆ น่าเสียดายที่เรื่องที่เจ้าเป็นศิษย์ของข้านี้ตอนนี้ยังต้องปิดเป็นความลับ ข้าเองก็ยังไม่เหมาะที่จะมาพบเจ้า รอให้เรื่องวุ่นวายนี้ผ่านไปแล้วพวกเราศิษย์อาจารย์ค่อยมานั่งดื่มกันให้ดีๆ สักหลายจอก มาบำเพ็ญกัน อย่าได้เฉื่อยชา! เอาล่ะ ไม่พูดมากความแล้ว”
ภาพมายาในตอนนั้นช่างเรียบง่าย
ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงยังเคยคิดว่ารอให้ตนแกร่งกล้าขึ้นกว่านี้ก่อน รอสักวันที่ไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องที่ตนคือลูกศิษย์ของกู่ฉีเป็นความลับแล้วว จะต้องไปกราบคารวะท่านอาจารย์ พูดคุยสนทนากับท่านอาจารย์ แล้วดื่มด้วยกันสักหลายจอก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่น ในใจยากเกินทนรับ เขาสามารถรู้สึกได้ว่าปรมาจารย์กู่ฉีมีความรักใคร่ทะนุถนอมผูกพันกับเขาเป็นอย่างยิ่งจริงๆ ถึงขนาดกลัวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะติดร่างแหไปด้วย จึงได้เก็บความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์เอาไว้เป็นความลับมาโดยตลอด
ในโลกอันไพศาลแห่งนี้ กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
แต่ผู้ที่รักใคร่ทะนุถนอมตนจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง เห็นตนเป็นดังญาติใกล้ชิด จะมีสักกี่คนกันเล่า
แต่ทว่าตอนนี้ คนผู้นั้นไม่มีอีกแล้ว!
“เฮ้อ”
บรรพชนเทียนอวี๋เองก็ทอดถอนใจเสียงหนึ่ง
เทพจักรวาล ตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจนถึงตอนนี้มีเทพจักรวาลถือกำเนิดขึ้นมาแค่เพียงเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะตายไปจำนวนหนึ่งแล้ว แต่การตกต่ำของเทพจักรวาลทุกคนต่างก็เป็นเรื่องใหญ่ที่สนั่นฟ้าสะเทือนดิน ถึงแม้ว่าเขา บรรพชนเทียนอวี๋จะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่ากู่ฉีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับขั้นที่สามเท่านั้น ตลอดระยะเวลาอันยาวนานคนทั้งสองก็เป็นสหายที่ดีต่อกัน ตอนนี้กู่ฉีตายไปแล้ว เขาก็รู้สึกโศกเศร้านัก“พรึ่บ” บรรพชนเทียนอวี๋พลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีตราประทับสีทองอันหนึ่งปรากฏขึ้น
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยปาก “ท่านอาจารย์ของเจ้าก็รู้ว่าเขาทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจอย่างร้ายกาจจริงๆ ด้วยอุปนิสัยของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วย่อมไม่มีทางวางเฉยอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะคิดหาวิถีทางรักษาชีวิตรอด แต่ภายใต้ความบ้าคลั่งของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เกรงว่าคงยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงได้เก็บสะสมสมบัติล้ำค่าของเขาเอาไว้กับปรมาจารย์บรรพชนห้วงอากาศ ถึงแม้ว่าตัวตายก็มิอาจประมาทจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้”
“หลังจากที่เขามีเจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวแล้ว ก็ได้ฝากฝังเอาไว้ว่าถ้าหากตัวตายก็ให้ยกสมบัติล้ำค่าของเขาให้เจ้าสืบทอดต่อไป”
“บรรพชนห้วงอากาศส่งมันมาให้แล้ว”
“ตอนนี้มันก็เป็นของเจ้าแล้วล่ะนะ” บรรพชนเทียนอวี๋พูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตราประทับสีทองในมือของบรรพชนเทียนอวี๋ชิ้นนั้น แต่ในใจกลับยิ่งยากจะทนรับได้ ทิ้งสมบัติล้ำค่าเอาไว้ให้ตน เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์กู่ฉีเห็นเขาเป็นคนในครอบครัว
“ไม่สมควรเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ไม่สมควรเลย ตอนนั้นท่านอาจารย์หนีเอาชีวิตรอดมาได้ตลอด เตร็ดเตร่ไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน ตอนนั้นก็มิได้มีบรรพชนทิพย์คุ้มครอง เขาตัวคนเดียวก็สามารถหนีมาได้เป็นเวลาเนิ่นนาน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถสังหารเขาได้! เขามีบรรพชนทิพย์ช่วยเหลือ เหตุใดจึงกลับกลายเป็นสิ้นชีพไปเสียได้เล่า”
……………………………………