Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 28 ร่างแปรทิพย์โบราณ
หลบหนีตามลำพังก็สามารถมีชีวิตอยู่มาได้เนิ่นนานถึงเพียงนั้น พอมีบรรพชนทิพย์คุ้มครองกลับกลายเป็นสิ้นชีพไปเสียได้
“เรื่องนี้ก็จริงอยู่” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะเบาๆ “เฮ้อ ตอนนั้นท่านอาจารย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนีไป จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็เคยไล่ล่าสังหารท่านอาจารย์ของเจ้ามาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนล้มเหลวทั้งสิ้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คิดว่า…ท่านอาจารย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น คาดว่าคงจะทนไม่ไหวแล้วตายไป ทั้งยังไม่อยากทุ่มเทมากเกินไปนัก แต่ว่าท่านอาจารย์ของเจ้าเป็นถึงผู้ท่องอากาศ พลังชีวิตแข็งแกร่งเป็นที่สุด ระหว่างวันเวลาที่หลบหนีก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาได้”
“ถึงแม้ว่าสองสำนักใหญ่จะมีเทพจักรวาลอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามท่าน แต่มีเพียงแค่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถคุกคามชีวิตของท่านอาจารย์ของเจ้าได้จริงๆ ท่านอาจารย์ของเจ้าเองก็ไม่อยากระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงได้มาขอให้บรรพชนทิพย์ช่วยเหลือในท้ายที่สุด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างตั้งใจ
สองสำนักใหญ่ ลัทธิจอมมารดามีเทพจักรวาล ‘จอมมารดา’ อยู่เพียงคนเดียว แต่นั่นก็คือบุคคลที่เป็นรองเพียงแค่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวเท่านั้น สามารถต่อกรกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งๆ หน้าได้
สำนักทิพย์โบราณ นอกจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วยังมีเทพจักรวาลอีกท่านหนึ่งก็คือ ‘เทพอสนีบาต’ เทพอสนีบาตเป็นเพียงคนเดียวในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่สวามิภักดิ์ต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาล แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่ระดับขั้นที่สามเท่านั้น เป้นภัยต่อเหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากมายนั้นเพียงน้อยนิดเท่านั้น
“ยามที่ท่านอาจารย์ของเจ้าหลบหนีก็ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา”
“พอรับสัมผัสได้ถึงการจู่โจมก็กระตุ้นวัตถุคุ้มกันชีพในทันที นอกจากนี้ก็ยังทำการเคลื่อนที่ผ่านอากาศไปยังสถานที่อันห่างไกลในทันทีอีกด้วย” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะห่างชั้นกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่มากโข แต่เหล่าเทพจักรวาลต่างก็มีวัตถุคุ้มกันชีพกันคนละชิ้นสองชิ้น หากไม่มีก็สามารถขอให้บรรพชนทิพย์ช่วยหลอมให้ได้ โดยทั่วไปต่างก็สามารถต้านทานได้หลายอึดใจเลยทีเดียว”
“เขาสำเร็จเป็นเทพจักรวาลในด้านวิถีผู้ท่องอากาศ ทางด้านอากาศ บรรพชนห้วงอากาศเป็นที่หนึ่ง เขาเป็นที่สอง ก็ย่อมต้องเหนือกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว”
“ดังนั้นการลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้งของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ถูกท่านอาจารย์ของเจ้าต้านทานเอาไว้ได้ในทันที แล้วหลังจากนั้นก็เคลื่อนที่ผ่านอากาศหลบหนีไปยังสถานที่อันห่างไกล พูดถึงการหนีเอาชีวิตรอด เขาก็ยังร้ายกาจยิ่งนัก”
“เพียงแต่ความที่มิกล้าปล่อยวางเลยตลอดเวลานั้นช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“ในที่สุดบรรพชนทิพย์ก็ช่วยเหลือ” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “บรรพชนทิพย์เชี่ยวชาญทางด้านค่ายกลเป็นที่สุด เขาติดตั้งค่ายกลขึ้นเพื่อท่านอาจารย์ของเจ้า ต่อให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะทำลายก็เกรงว่าจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หลายอึดใจ ส่วนโลกทิพย์นิจนิรันดร์นั้นเป็นสิ่งที่บรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาสร้างขึ้น ขอเพียงแค่ค่ายกลประสบกับการโจมตี บรรพชนทิพย์ก็สามารถไปถึงได้ในทันที มีบรรพชนทิพย์ขัดขวาง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีหวังที่จะสังหารท่านอาจารย์ของเจ้าได้เลย”
“ตามสามัญสำนึกแล้วท่านอาจารย์ของเจ้าก็ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง”
“น่าเสียดาย…”
“ท่านอาจารย์ของเจ้าล่วงเกินจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสาหัสนัก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ลงทุนใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลของ ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ อย่างไม่เสียดาย หลอมเป็น ‘หอกหยกทะมึน’ ออกมา หอกหยกทะมึนผ่านทะลุทะลวงค่ายกลของบรรพชนทิพย์ได้ในทันที แล้วทิ่มแทงเข้าสู่ร่างกายของท่านอาจารย์ของเจ้า” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ “ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น ท่านอาจารย์ของเจ้ากระตุ้นวัตถุคุ้มกันชีพก็ยังถูกแทงทะลุเช่นกัน จนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ”
“ร่างแปรทิพย์โบราณ หอกหยกทะมึนอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“สิ่งเหล่านี้แฝงไว้ด้วยความลับบางอย่าง ขั้นอลวนก็ล่วงรู้เพียงบางส่วนเท่านั้น” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเคยก่อสงครามขึ้นหลายครั้ง แต่ ‘โลกทิพย์โบราณ’ ที่มั่นของเขากลับต้องการการรักษาการณ์ พลังยุทธ์ของเทพอสนีบาตนั้นรักษาการณ์ไม่ไหว เจ้าเดาสิว่าร่างจริงของเขาทำสงครามอยู่ข้างนอก แล้วใครเล่าที่อยู่รักษาการณ์โลกทิพย์โบราณ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง
ใช่แล้ว
ด้วยความแค้นระหว่างโลกทิพย์ทั้งสามและสองสำนักใหญ่ ถ้าหากโลกทิพย์โบราณไม่มีผู้แกร่งกล้าขั้นสูงสุดรักษาการณ์ก็คงจะถูกผลาญทำลายไปนานแล้ว
“นี่ก็ต้องพูดถึงเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “พรสวรรค์ของศาสตร์โบราณมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ พรสวรรค์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถทำให้ร่างแปรร่างหนึ่งของเขากลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของทั้งสำนักได้ สามารถทำให้แรงศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปรเป็นพลังต้นกำเนิดจักรวาลของอากาศอันสับสนอลหม่าน พลังต้นกำเนิดจักรวาลคือพลังที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าพลังเทพจักรวาลเสียอีก ระยะเวลายาวนาน แรงศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกเปลี่ยนแปรอย่างไม่หยุดหย่อน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างแปรร่างนั้นอย่างต่อเนื่อง ร่างจริงของเขาก็สามารถยกระดับขึ้นได้ด้วยเหตุนี้เช่นเดียวกัน อ้างอิงจากการประเมินการต่อสู้ของพวกเรา ร่างแปรร่างนั้นกับเขามีพลังยุทธ์สูสีกับร่างจริงเลยทีเดียว”
“ร่างแปรร่างนี้รวบรวมพลังต้นกำเนิดจักรวาลเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน เป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของทั้งสำนักทิพย์โบราณ แล้วถูกพวกเราเรียกว่าเป็นร่างแปรทิพย์โบราณ”
“ร่างแปรทิพย์โบราณเปล่งรัศมีทุกค่ำคืน ระยิบระยับไปทั่วทั้งโลกทิพย์โบราณ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนศรัทธากันอย่างสุดใจ ถึงขนาดที่เขาดูเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับทั้งโลกทิพย์โบราณ เขาอยู่ในโลกทิพย์โบราณพลังยุทธ์ก็ยิ่งแข็งแกร่ง พวกเราก็ไม่มีทางทำลายโลกทิพย์โบราณได้เลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“และจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มีเคล็ดวิชาอันร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลที่ร่างแปรทิพย์โบราณสะสมไว้มาหลอมเป็นอาวุธล้ำค่า แน่นอนว่าอาวุธล้ำค่านั้นเป็นแบบใช้ครั้งเดียว พอพลังต้นกำเนิดจักรวาลที่อยู่ข้างในถูกใช้หมดไปก็ไม่มีอีกแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “หอกหยกทะมึน เป็นอาวุธลับที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ หอกหยกทะมึนเล่มหนึ่ง เกรงว่าคงจะสูบพลังต้นกำเนิดจักรวาลของร่างแปรทิพย์โบราณไปส่วนสองส่วนเลยทีเดียว ต้องรู้ไว้ว่าร่างแปรทิพย์โบราณจะต้องคงพลังต้นกำเนิดจักรวาลเอาไว้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง มิฉะนั้นพลังยุทธ์ก็จะลดต่ำลงได้”
“พลังต้นกำเนิดจักรวาลส่วนสองส่วนนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สะสมมาไม่รู้เนิ่นนานเท่าใดแล้ว”
“เขาไม่มีวิธีการอื่น ทั้งยังชิงชังท่านอาจารย์ของเจ้าเป็นที่สุด ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนี้” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ
“เหตุใดจึงได้ชิงชังถึงเพียงนี้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามอย่างอดมิได้
บรรพชนเทียนอวี๋ลังเลอยู่ชั่วครู่ เพราะมีความลับมากมายเหลือเกินที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ เขาเอ่ยอย่างคลุมเครือประโยคหนึ่ง “มีเรื่องที่เกี่ยวพันมากมายเหลือเกิน เจ้ารู้ไว้เพียงว่าเขาทำให้แผนการของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นความว่างเปล่า ในอดีตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลอย่างเสียมิได้ แต่แผนการกลายเป็นอากาศธาตุ ก็ได้แต่ทำให้เขาเกิดเพลิงโทสะ จึงได้ใช้หอกหยกทะมึนทำลายค่ายกลของบรรพชนทิพย์สังหารกู่ฉี เห็นได้ชัดว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้มีความอดทนอดกลั้นดังเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว”
“เอาล่ะ ไม่พูดแล้ว สิ่งที่ท่านอาจารย์ของเจ้าผู้นี้เหลือทิ้งเอาไว้ให้เจ้า เจ้าก็เก็บไว้ให้ดีเถิด” บรรพชนเทียนอวี๋จิตใจวูบไหว ตราประทับทองอันนั้นก็ลอยไปยังเบื้องหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองตราประทับทองอันนี้ หลังจากยื่นมือไปรับมาแล้วก็เริ่มต้นหลอมรวม
ขณะที่หลอมรวม น้ำเสียงสายหนึ่งก็ลอยเข้าสู่โสตประสาท
“ศิษย์เอ๋ย ตอนนี้กลัวว่าข้าจะตายไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็อย่าได้น้อยใจไป ข้าซ่อนตัวอยู่ภายในค่ายกลของบรรพชนทิพย์มาโดยตลอด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะสังหารข้าก็ต้องสูญเสียเป็นมูลค่ามหาศาลนัก”
“ยังมีสิ่งที่เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี เจ้าอย่าได้คิดจะจะแก้แค้นอะไรให้ข้า พลังยุทธ์เพียงแค่นี้ของเจ้า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งก็สามารถผลาญทำลายเจ้าได้แล้ว”
“ข้ากู่ฉีก็มีเจ้าเป็นลูกศิษย์อยู่เพียงคนเดียว บำเพ็ญให้ดีๆ เป็นหน้าเป็นตาให้ข้าสักหน่อย รอให้ถึงเวลาที่เจ้ากลายเป็นเทพจักรวาล ทั้งยังเป็นระดับขั้นที่สอง เจ้าก็สามารถประกาศกับโลกภายนอกได้ว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า กู่ฉี!”
“ก่อนจะไปถึงจุดนั้น จำเป็นจะต้องเก็บเรื่องที่เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าเป็นความลับตลอดไป”
เสียงนั้นเลือนหายไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมตราประทับทองเอาไว้อย่างเงียบงันเป็นเวลาเนิ่นนาน
“จะต้องมีวันนั้นแน่ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนแห่งมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านจะต้องได้รู้ว่าข้า ตงป๋อเสวี่ยอิง เป็นลูกศิษย์ของผู้ท่องอากาศกู่ฉี!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบเอ่ยพึมพำในใจ “ยังมีอีก ข้าจะต้องล้างแค้นให้ท่านอย่างแน่นอน ข้ารู้ตัวว่าพลังยุทธ์อ่อนแอ แต่จะต้องมีสักวันที่ข้าแกร่งกล้า มีวันที่ข้ามีคุณสมบัติพอที่จะต่อกรกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แน่”
ตรวจดูตราประทับทองคราหนึ่ง
ตราประทับทอง เดิมทีตัวมันก็คือสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ชั้นจักรวาล ภายในก็มีวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่อยู่เป็นจำนวนมาก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่เทพจักรวาลคนหนึ่งเหลือทิ้งเอาไว้ ถึงแม้ว่ากู่ฉีจะเป็นเพียงแค่เทพจักรวาลระดับขั้นที่สาม พูดถึงพื้นฐานพลังยุทธ์ก็อ่อนแอกว่าพวกบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนห้วงอากาศอยู่พอสมควร แต่สิ่งล้ำค่าจำนวนมากมายรวมกันขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถประเมินได้ว่ามีมูลค่าราวๆ สามแสนหกหมื่นศิลาปฐมโลกา
ช่างน่าพรั่นพรึงอย่างแท้จริง
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ก้อนหินสีดำขลับก้อนหนึ่งและเกราะสีแดงเพลิงชุดหนึ่งก็ถูกเขาหยิบออกมา พอมันปรากฏขึ้น ห้วงมิติโดยรอบก็พังทลายลงในทันที ถึงขนาดที่การพังทลายขยายไปยังพื้นที่โดยรอบด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตนกดดันก้อนหินก้อนนี้ในทันที ก็ย่อมก่อให้เกิดพลานุภาพขึ้นมา
และหลังจากที่เกราะสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยื่นมือไปคว้าเอาไว้ ชุดเกราะชุดนี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่พละกำลังกลับยิ่งใหญ่จนถึงขั้นอุกอาจ ด้วยตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้ท่องอากาศ ทั้งยังมีกำลังกายจากการบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง พอมือคว้าเอาไว้แล้วก็ยังรู้สึกว่าแขนมีความสั่นสะท้านอยู่บ้าง ถ้าหากแรงกว่านี้ก็เกรงว่าจะคว้าเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
“สองชิ้นนี้ล้ำค่าเป็นที่สุด ยังขอให้ท่านบรรพชนได้โปรดช่วยข้าเก็บเอาไว้ด้วย ถ้าหากข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ระวังแล้วเอาชีวิตไปทิ้ง ก็มิอาจเอาเปรียบคู่ต่อสู้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เทพจักรวาลเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ ตนเองพกไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด
“ได้สิ”
บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า “เอาอย่างนี้ ข้าช่วยเก็บเอาไว้ให้เจ้าแล้วกัน สองชิ้นนี้คิดให้เจ้าสามแสนศิลาปฐมโลกา ในภายหน้าหากต้องการซื้อสมบัติล้ำค่าราคาแพง ไม่เหมาะสมที่เจ้าจะออกหน้า แต่ให้มาหาข้าให้ช่วยเจ้าซื้อโดยตรง ก็จะหักออกจากสามแสนศิลาปฐมโลกานี้”
“ขอบคุณท่านบรรพชนขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นในทันใด
……
ในวันนั้นเอง
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็พาตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปยังเมืองราชันย์มีด ไปเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เขายังมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่
ภายในเมืองราชันย์มีด
เรือนพักแต่ละแห่งที่ตั้งเรียงรายกันก็คือสถานที่ที่เมืองราชันย์มีดให้แขกเหรื่อพักอาศัยโดยเฉพาะ เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็พักอยู่ในเรือนพักเหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เคียงไหล่กันกลับมา
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ผู้อาวุโสตงป๋อ รีบมานี่เร็วเข้า”
มีขั้นอลวนสามคนกำลังดื่มสุราสนทนากันอยู่ที่ยอดเนินเขาแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ที่เหินทะยานอยู่กลางเวหาก็เรียกเอาไว้ในทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ย่อมมิอาจเพิกเฉยแล้วร่อนลงไปในทันที
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ท่านได้ยินมาแล้วหรือไม่ เพิ่งจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง ผู้ท่องอากาศผู้อาวุโสกู่ฉีตายแล้ว ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหาร”
“อะไรนะ ผู้อาวุโสกู่ฉีตายแล้วอย่างนั้นหรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เอ่ยอย่างตกตะลึง ถึงแม้ว่าเขาจะพาตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไป แต่เขากลับมิได้ล่วงรู้เรื่องนี้เลยจริงๆ
“ผู้อาวุโสกู่ฉีอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์ มีบรรพชนทิพย์คุ้มครองอยู่แล้วสิ้นชีพได้อย่างไรกัน”
“ตอนนี้ยังรู้อะไรไม่มากนัก ข้าเองก็เพิ่งได้ยินมาว่าผู้อาวุโสกู่ฉีตายแล้ว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารเขาได้อย่างไรนั้นก็ยังไม่กระจ่างชัด คาดว่าคงลงทุนไปไม่น้อยเลยกระมัง”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์และเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งสามต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันในทันที
ต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นานา
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างก็มิได้พูดสอดแทรกแต่อย่างใด เพียงแค่ฟังอย่างเงียบๆ พวกเขายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งสี่คนก็มิได้ใส่ใจมากมายสักเท่าใดนัก สำหรับพวกเขาแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงผู้ที่มีระยะเวลาในการบำเพ็ญแสนสั้น ทั้งยังเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อสู้ของบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดก็คงจะน้อยนัก
แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า…
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ข้างกายพวกเขาก็คือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของกู่ฉี
…………………………………………….