Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 32 สอนวิถีอย่างเปิดเผย
หากหลังออกจากการเก็บตัวแล้วมิได้มารับศิษย์ทันที แล้วรออีกสักหลายวัน เมื่อข่าวเรื่องออกจากการเก็บตัวแพร่ออกไป เกรงว่าสิงหั่วสวินอีอาจจะมาคารวะเขาเป็นอาจารย์ด้วยตนเอง! เช่นนั้นก็จะไม่ค่อยดีแล้ว เพราะถึงอย่างไรสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นฝ่ายมาเชื้อเชิญด้วยตนเอง แม้แต่เจ้าลัทธิภาพจิตก็มารับศิษย์เอง หากเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงปล่อยปละละเลย รอให้สิงหั่วสวินอีวิ่งโร่มาคารวะเป็นอาจารย์เอง จะไม่เท่ากับตบหน้าพวกเจ้าลัทธิภาพจิตหรอกหรือ
เขาต้องเป็นฝ่ายมาเชื้อเชิญด้วยตนเองเหมือนกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เมื่อสิงหั่วสวินอีเลือกวังทวีสูญ หนึ่งในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้อื่นก็มิอาจพูดอะไรได้
“เจ้าหนุ่มสวินอีคนนี้บ้าบิ่นเกินไป จนทำให้ผู้อาวุโสตงป๋อทำตัวยากแล้ว” จักรพรรดิสิงหั่วกล่าว
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำตัวตามสบาย จากนั้นก็เริ่มสอบถามสิงหั่วสวินอีถึงเรื่องสิ่งที่ได้รับจากการบำเพ็ญในหลายปีนี้ ศิษย์และอาจารย์เริ่มสนทนากันเรื่องวิถีโลกเทียม
จักรพรรดิสิงหั่วที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็ลอบตกตะลึง
หากเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่น เจ้าลัทธิภาพจิตจะรับศิษย์ก็ถูกปฏิเสธ เกรงว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งคงจะมิกล้ารับสิงหั่วสวินอีเป็นศิษย์แล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรับมาได้อย่างสงบนัก โดยไร้ความตื่นเต้น ตึงเครียด กระวนกระวายหรืออารมณ์อื่นใด หากแต่ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น
สามารถสงบถึงเพียงนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจที่ทะเยอทะยาน ก็เพราะมั่นอกมั่นใจมากจริงๆ!
“ผู้อาวุโสตงป๋อคนนี้ไม่เหมือนคนที่ทะเยอทะยานเลย เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะมั่นอกมั่นใจมากจริงๆ หรือว่าเขามั่นใจว่าจะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้แล้ว” จักรพรรดิสิงหั่วลอบคาดเดา “หากสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้ในระยะเวลาสั้นๆ จริง ก็เยี่ยมยอดเกินไปแล้ว เขาเพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าใดกันเชียว”
เขากลับไม่รู้ว่า
ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง พลังก็บรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้ว จะเป็นขั้นอลวนย่อมไม่ยากแต่อย่างใด อีกไม่นานเท่าใดนัก ก็จะสามารถยืนอยู่ในระดับยอดสุดของขั้นอลวนได้แล้ว แม้จะมิอาจสู้จักรพรรดิสิงหั่วได้ แต่ก็จะไม่แตกต่างมากนัก
……
ข่าวที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไปรับศิษย์ด้วยตนเอง แล้วสิงหั่วสวินอีคารวะเข้าอยู่ในวังทวีสูญ คารวะตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาจารย์แพร่สะพัดออกไป
“คารวะเจ้าหนุ่มขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้นั้นจริงๆ เสียด้วย”
“สิงหั่วสวินอีผู้นี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอย่างไร ไม่คารวะเข้าอยู่ในสำนักของเจ้าลัทธิภาพจิต แต่กลับยินดีจะคารวะขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้หนึ่งเป็นอาจารย์เสียอย่างนั้น”
ชางฉงเทียนอวิ๋นและผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์คนอื่นๆ ซึ่งจัดอยู่ในห้าอันดับแรกเช่นเดียวกันต่างก็อิจฉาริษยา เพราะเจ้าลัทธิภาพจิตมิได้มาขอรับพวกเขาเป็นศิษย์ ในเมื่อคารวะเข้าสู่หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่คิดจะเป็นศิษย์ของเจ้าลัทธิภาพจิต ก่อนอื่นก็ต้องให้ ‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ ยินยอมเสียก่อน!
พริบตาเดียว
งานชุมนุมใหญ่ดวงดารามาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางมาจากบริเวณต่างๆ จำนวนของผู้บำเพ็ญที่มาในครั้งนี้มากกว่าตอนเริ่มงานมากมายนัก! เพราะวันนี้จะมีการ ‘สอนวิถีอย่างเปิดเผย’ ซึ่งจัดเตรียมขึ้นมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ เกรงว่าชั่วชีวิตของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนคงยากที่จะมีโอกาสให้ผู้อาวุโสระดับอย่างปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่มาชี้แนะ
สามารถได้ฟังพวกเขาสอนวิถีอย่างเปิดเผย ก็ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่แล้ว อาจจะกระตุ้นขึ้นมาในครั้งเดียวจนทำให้ผู้ปกครองเทพแท้สำเร็จเป็นเทพอากาศ และทำให้ขั้นกำเนิดก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็เป็นได้!
“ตู้มมมมม…”
กลางอากาศข้างเจดีย์ดาวมีชื่อขนาดมหึมาอยู่สิบชื่อ ซึ่งก็คือสิบคนสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือกของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา พวกเขาสามารถเลือกเข้าร่วมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใดก็ได้ตามใจ และจะกลายเป็นคนสำคัญที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างสุดกำลัง
บนเวทีการต่อสู้ขนาดมหึมาที่กินพื้นที่กว่าแสนลี้ พวกสิงหั่วสวินอีทั้งสิบคนยืนอยู่เคียงข้างกัน
“พวกเจ้าทั้งสิบสามารถเลือกได้ว่าจะคารวะเข้าไปอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งใด” เจ้าลัทธิภาพจิตบนแท่นสูงกล่าวขึ้น
“ข้าอยากคารวะเข้าอยู่ในวังทวีสูญ”
“ข้าอยากคารวะเข้าอยู่ในเมืองราชันย์มีด”
“ข้าอยากคารวะเข้าอยู่ในตำหนักเทพอากาศ”
“ข้าอยากคารวะเข้าอยู่ในเมืองราชันย์มีด”
……
ภายใต้สายตาที่จ้องมองอยู่ห่างๆ ของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน และสายตาริษยาของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์คนอื่นๆ พวกสิงหั่วสวินอีทั้งสิบคนก็ทยอยประกาศชื่อออกมาทีละคนๆ อันที่จริงในบรรดาพวกเขามีอยู่สามคนที่ได้รับการเชื้อเชิญมาก่อนแล้ว แต่การประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าจะเข้าร่วมกับฝ่ายใดนั้นเป็นขั้นตอนของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา
สวบๆๆ…พวกเขาทั้งสิบแต่ละคนกลายเป็นลำแสงทะยานไปทางแท่นสูงด้านบน แล้วยืนอยู่ด้านหลังของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ตามการเลือกของตน
ด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงมีสิงหั่วสวินอีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ด้านหลังแม่ทัพเทียนกวงมีถึงสามคนด้วยกัน รวมทั้งชางฉงเทียนอวิ๋นด้วย ในฐานะผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไปในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราจึงมีผู้เข้าร่วมกับพวกเขามากที่สุด ในสิบคนมีผู้เข้าร่วมสามคนก็นับว่าปกติมากแล้ว บางครั้งหากมากหน่อย อาจมีถึงห้าหกคนที่คารวะเข้าอยู่ในเมืองราชันย์มีด
ด้านหลังประมุขวังเจียงฝู่มีอยู่สามคน เห็นได้ชัดว่าประมุขวังเจียงฝู่ออกหน้าในครั้งนี้ ส่งผลกระบอย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ด้านหลังประมุขเกาะจื่อถูมีอยู่หนึ่งคน
ด้านหลังบรรพชนงูอู่เจ๋อมีอยู่สองคน ทั้งสองล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศล้วนแต่เลือกเข้าอยู่ในตำหนักเทพอากาศทั้งสิ้น!
ส่วนเมืองดารารายกลับมิมีผู้ใดเลือกเลย! เมืองดารารายเป็นสถานที่ที่พิเศษที่สุดของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไปพวกเขาล้วนไม่ส่งปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เข้าร่วม ดังนั้นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จึงมีเพียงห้าท่านเท่านั้น! ต่อให้มีผู้ใดเลือกเมืองดารารายก็ต้องสำนึกเสียใจภายหลัง เพราะยอดฝีมือเมืองดารารายมีน้อยยิ่งนัก จึงยากที่จะได้รับการชี้แนะอย่างดี คิดจะได้รับการชี้แนะจากเจ้าเมืองหลัวในตำนานก็แทบจะเป็นการเพ้อฝัน
“ทั้งห้าท่าน”
เจ้าลัทธิภาพจิตมองไปทางประมุขวังเจียงฝู่และคนอื่นๆ ทั้งห้าที่อยู่ด้านข้าง “ต่อไป ควรแก่เวลาที่แต่ละท่านจะสอนวิถีอย่างเปิดเผยแล้ว หลังจากสอนวิถีเสร็จ งานชุมนุมก็จะยุติลง การประลองในงานชุมนุมใหญ่ก่อนหน้านี้ ล้วนแต่เป็นเหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ประลองกัน! ส่วนการสอนวิถีอย่างเปิดเผย…กลับเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนปรารถนา ทุกท่านต้องสอนให้ดีๆ ตามหลักทั่วไปแล้ว แต่ละครั้งที่สอนวิถี อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่าสามวัน”
“อืม” ประมุขวังเจียงฝู่พยักหน้า
“นี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” แม่ทัพเทียนกวงก็พยักหน้า
ประมุขเกาะจื่อถู บรรพชนงูอู่เจ๋อและตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
“เช่นนั้นก็ให้ผู้อาวุโสตงป๋อสอนวิถีก่อนเป็นอย่างไรเล่า” เจ้าลัทธิภาพจิตกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มก่อนจะผุดลุกขึ้น
เป็นเรื่องปกตินัก
ลำดับการสอนวิถีของปรมาจารย์ทั้งห้าแห่งงานชุมนุมใหญ่นั้นกำหนดขึ้นตามพลัง ผู้ที่มีพลังสูงส่งที่สุดก็คือประมุขวังเจียงฝู่ย่อมต้องเป็นผู้ปิดฉาก! สิ่งมีชีวิตระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้ามาสอนวิถี ผลสำเร็จของประมุขวังเจียงฝู่ในบางด้านนั้นบรรลุถึงระดับเทพจักรวาล ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียวในห้าคนย่อมมาสอนวิถีเป็นคนแรกเป็นธรรมดา
ฟิ้ว หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น เงาร่างกะพริบวาบคราหนึ่งก็ไปอยู่กลางอากาศแล้ว จากนั้นเมื่อเดินไปก้าวแล้วก้าวเล่า ก็ไปถึงบนเวที
ยามนี้
สายตาของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนจับจ้องอยู่ที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงบนเวที
“ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีความสามารถสักเท่าใดกันเชียว”
“สิงหั่วสวินอีไม่ยอมคารวะเจ้าลัทธิภาพจิต เพื่อจะคารวะเขาเป็นอาจารย์เช่นนั้นหรือ”
บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนล้วนเตรียมตัวฟังเป็นอย่างดี ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างต่างพากันกั้นหายใจ แล้วตั้งใจฟังโดยละเอียด
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งขัดสมาธิลง สายตากวาดมองลงไปยังผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างแล้วเอ่ยปากพูดว่า “การสอนวิถีของข้าในครั้งนี้ คือเรื่องเขตลวงและการเข่นฆ่าเป็นหลัก”
วิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าของเขามิใช่เพียงบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเท่านั้น แต่ยังหลอมรวมเอาการเข่นฆ่าเข้าไปในโลกเทียมได้อย่างสมบูรณ์แล้วคิดค้นกระบวนท่าเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดขึ้นมา! ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมั่นใจว่าเข้าใจสองสิ่งนี้ดีที่สุด แม้หากพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว เขาภูมิใจในวิถีโลกเทียมของตนมากที่สุด และในบรรดาผู้บำเพ็ญ ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ส่วนการ ‘เข่นฆ่า’ กลับเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญหลายคนค้นคว้า
เพราะถึงอย่างไรเมื่อบุกฝ่าอยู่ภายนอก การต่อสู้และเข่นฆ่าก็ยากจะหลีกเลี่ยงได้
“เขตลวงและการเข่นฆ่าหรือ”
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างต่างก็ตื่นเต้นนัก พวกเขาสนใจการ ‘เข่นฆ่า’ มากทีเดียว! และคิดอยากฟัง ‘เขตลวง’ ที่ทำให้พวกเขาปวดหัวดูหน่อยเช่นกัน ในเมื่อมิอาจศึกษาได้ ดีร้ายอย่างไรพอเข้าใจบ้างก็ยังดี
‘ประมุขวังปาอวิ่น’ ผู้ผอมซูบในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนยิ้มเย็นชา “เข่นฆ่ารึ ยังกล้าพูดเรื่องการเข่นฆ่าอีกรึ ดีมาก ถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าข้าตบหน้าก็แล้วกัน”
สอนวิถี มิใช่แค่การสอนวิถีเพียงลำพังอย่างเดียว
ระหว่างนั้นก็จะมีผู้บำเพ็ญหลายคนมาขอคำชี้แนะ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะเลือกบางส่วนมาชี้แนะทีละอันๆ
ผู้แกร่งกล้าบางคนถึงขั้นฉงนสงสัย
“ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง ที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือการเข่นฆ่า” สายตาของประมุขวังปาอวิ่นแฝงแววเยียบเย็น ครั้งก่อนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงปฏิเสธและผลักไสออกไป ประมุขวังปาอวิ่นก็มิใช่คนที่อารมณ์ดีอะไร อีกทั้งตลอดคืนวันเหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็โดดเด่นสะดุดตามากมาโดยตลอด โดยเลือกสิงหั่วสวินอีให้เป็นที่หนึ่ง คนอื่นๆ จะมารับศิษย์ด้วยตนเอง สิงหั่วสวินอีก็ปฏิเสธแล้วคารวะเข้าไปอยู่ในสำนักของตงป๋อเสวี่ยอิง
ประมุขวังปาอวิ่นเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงโดดเด่นเช่นนี้ ก็ยิ่งขัดหูขัดตามากขึ้นเป็นธรรมดา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนวิถีในครั้งนี้กลับพูดเรื่อง ‘การเข่นฆ่า’ อย่างนั้นหรือ
เขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงซึ่งเน้นด้านการเข่นฆ่าจนสำเร็จเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเชียวนะ!
“เฮอะๆๆ” ประมุขวังปาอวิ่นตั้งใจฟังโดยละเอียดหาใดเปรียบทันที
……………………………..