Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 33 อธิบายวิถี
บนเวทีการต่อสู้อันสูงตระหง่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างแล้วก็เริ่มสอนวิถีทันที
ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนรู้มารยาทดี พวกเขาพากันนั่งขัดสมาธิลงเช่นเดียวกัน สัตว์ประหลาดบางตนก็ขดม้วนหรือหมอบอยู่ตรงนั้นแล้วตั้งใจฟังแต่โดยดี ไม่เปล่งเสียงใดออกมาเลย! หากโพล่งอะไรออกมาตามอำเภอใจในตอนนี้ก็อาจทำให้ฝูงชนโกรธเคือง ต่อให้สนทนากันอย่างมากก็ทำได้เพียง ถ่ายเสียงคุยกันเท่านั้น
เขาพูดเรื่อง ‘เข่นฆ่า’ ก่อน เนื่องจากจำนวนของผู้บำเพ็ญที่รับรู้เรื่องการเข่นฆ่านั้นมีมากมายยิ่งนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเริ่มพูดคร่าวๆ จากระดับเหนือธรรมดา แล้วขยายออกไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องจนไปถึงแขนงต่างๆ ของทางสายการเข่นฆ่า! เมื่ออธิบายแขนงที่แตกต่างกันไปจนถึงตอนสุดท้ายคือขั้นเทพอากาศแล้ว ด้วยระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็อธิบายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แขนงที่แตกต่างกันก็สามารถอธิบายจนกระจ่างได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอซึ่งชมอยู่ด้านล่างหลายคนฟังอย่างตื่นเต้น แม้แต่ทวยเทพที่อ่อนแอ เทพโลกาและเทพแท้บางคนที่มีโอกาสได้มา ฟังแล้วก็อดหลงใหลไปด้วยมิได้
ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญที่บรรลุถึงระดับเทพอากาศ ก็ล้วนแต่ตกใจทั้งสิ้น พวกเขาถึงขั้นรับรู้อะไรได้มากยิ่งขึ้น
“ร้ายกาจ”
“ข้าสำเร็จเป็นเทพอากาศตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในระดับเทพแท้ วิถีเข่นฆ่าจะยังมีวิธีการใช้มากมายเช่นนี้” ผู้ฟังหลายคนได้รู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับการบำเพ็ญของตน
ถึงขั้นที่ว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน มีบางคนที่มีกลิ่นอายและระลอกคลื่นของการบรรลุแผ่ออกมาเลยทีเดียว
นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก ขณะฟังปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่สอนวิถีอย่างเปิดเผยในงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ระดับขั้นบรรลุแล้วรับรู้ในชั่วขณะก็เป็นเรื่องปกติ ที่พบเห็นได้ทั่วไปมาก เพราะถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญระดับล่างจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ตามปกติล้วนไม่ได้รับการชี้แนะจากผู้บำเพ็ญระดับยอดอย่างแท้จริง
เก้าชั่วยามเต็มๆ สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรยายล้วนแต่เป็นแขนงที่แตกต่างกันของวิถีเข่นฆ่า ตั้งแต่ ‘เหนือธรรมดาจนถึงบรรลุเป็นเทพอากาศ’
หลังจากนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มบรรยายเรื่องเขตลวง
การอธิบายเรื่องเขตลวงก็เริ่มตั้งแต่ขั้นเหนือธรรมดาไปจนบรรลุถึงขั้นเทพอากาศ แล้วเขาก็พูดไปอีกเก้าชั่วยาม
การสอนวิถีอย่างเปิดเผยช่วงแรกยุติลงชั่วคราว ควรให้ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ได้ขอคำชี้แนะแล้ว
“หากมีข้อสงสัยตอนนี้ก็สามารถถามข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลงแล้วพูดยิ้มๆ เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วงาน
“ผู้อาวุโส”
“ผู้อาวุโสตงป๋อ”
ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่ หมอบอยู่หรือนอนขดอยู่ถึงหลายพันคนพากันลุกขึ้นยืน ตามกฎของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา หากยืนขึ้นระหว่างสอนวิถีก็แสดงว่าต้องการขอคำชี้แนะ
บรรดาผู้ที่ยืนขึ้นมาแทบจะทั้งหมดล้วนเป็นระดับ ‘ต่ำกว่าเทพอากาศ’ มีเทพอากาศเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรการสอนวิถีในช่วงแรกก็เพื่อระดับต่ำเป็นหลัก
“พวกเจ้าขึ้นมาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอากาศ แล้วควบคุมผู้บำเพ็ญสามร้อยคนจากจำนวนนั้นเอาไว้ในพริบตา ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในจำนวนนั้นเป็นเพียงเด็กน้อยระดับเหนือธรรมดา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือขั้นกำเนิดอากาศ ‘การขอคำชี้แนะ’ ไม่มีทางชี้แนะคนทุกผู้ได้ เพราะเวลาในการสอนวิถีนั้นมีจำกัด โดยทั่วไปจึงชี้แนะได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น!
อันที่จริงชี้แนะแค่ส่วนเดียวก็เพียงพอแล้ว คำถามของผู้บำเพ็ญหลายคนล้วนคล้ายคลึงกันมาก
สวบๆๆ…
ผู้บำเพ็ญสามร้อยคนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมให้ลอยตรงขึ้นไปบนเวที แต่ละคนรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง พวกเขาโชคดีที่มีโอกาสขอคำชี้แนะ
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ผู้บำเพ็ญทั้งสามร้อยคนไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ล้วนเคารพนบนอบเป็นอันมาก
“ว่ามาทีละคนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ สายตาจับจ้องไปที่เด็กน้อยวัยเยาว์ที่อ่อนแอที่สุดคนนั้น ซึ่งเป็นเด็กหญิงร่างค่อนข้างท้วมคนหนึ่ง
เด็กหญิงคนนี้ออกจะตื่นเต้นอยู่บ้าง บิดาของนางเป็นบ่าวรับใช้ของหอสุราแห่งหนึ่งภายในเมืองราชันย์มีด นางอยู่ในเมืองราชันย์มีดมาตั้งแต่เกิด ครั้งนี้จึงมีโอกาสได้มารับฟังการสอนวิถี ภายในโลกทิพย์ นางเกิดมาก็เป็นเหนือธรรมดาแล้ว ปัญญาก็ย่อมสูงส่งอย่างยิ่งไปด้วย แต่สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอธิบายนั้น ในช่วงแรกนางก็เข้าใจได้เพียงส่วนน้อยนิดอย่างยิ่ง ช่วงหลังก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว
“ผู้อาวุโส” เสียงของเด็กหญิงใสกระจ่างเสนาะโสต นางคารวะอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็เริ่มสอบถาม
……
เวลาล่วงเลยไป
การสอนวิถีช่วงแรกของตงป๋อเสวี่ยอิงกินเวลาไปถึงสิบแปดชั่วยาม ส่วนการชี้แนะผู้บำเพ็ญสามร้อยคนในเวลาต่อมาก็ใช้เวลาเกือบสิบชั่วยาม
จากนั้นเขาจึงเริ่มสอนวิถีช่วงที่สองซึ่งเน้นไปที่ ‘เทพอากาศขั้นกำเนิด’ เป็นหลัก โดยพูดเรื่องเข่นฆ่าก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องเขตลวงดังเดิม ทว่าการอธิบายในครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสิบสองชั่วยาม จากนั้นเขาก็ชี้แนะผู้บำเพ็ญสามร้อยคนเหมือนเดิม แต่กลับใช้เวลาถึงยี่สิบกว่าชั่วยาม
การสอนวิถีช่วงที่สามก็คือ ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’…
ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนฟังแล้วก็เหมือนลุ่มหลงมัวเมา พวกเขาเคารพนับถือตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่บนเวทีขึ้นมา การสอนวิถีนั้นต้องรู้ลึกรู้จริง ในฐานะที่ผู้อาวุโสตงป๋อคนนี้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียวในบรรดาปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ทั้งห้าท่าน เขาจึงอธิบายได้กระจ่างแจ้งอย่างแท้จริง ทำให้พวกเขารู้แจ้งอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนก็รับชมรับฟังอย่างอดทน เพราะนี่คือการสอนวิถีซึ่งหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตั้งใจเตรียมไว้สำหรับผู้บำเพ็ญทั่วไปโดยเฉพาะ
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ไม่เสียทีที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกทิพย์สองแห่งเลย ทั้งยังเป็นคนของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อีกด้วย อธิบายละเอียดใช้ได้ และยังตรงประเด็นอีกกด้วย” บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กัน ในด้านการ ‘อธิบายวิถี’ โดยทั่วไปก็มักจะเป็นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์และระบบทิพย์ที่เชี่ยวชาญที่สุด พวกเขาอธิบายได้กระจ่างแจ้งมากกว่า
“ไม่เลว”
“หากขั้นอลวนมาชี้แนะผู้บำเพ็ญธรรมดาสามัญเหล่านี้ ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้ได้”
พวกเขากำลังประเมินกัน
ส่วนประมุขวังปาอวิ่นที่คิดจะหาเรื่องตำหนิอยู่ตลอดเวลาก็มองด้วยสายตาเย็นชา รู้สึกไม่ชอบใจเป็นอันมาก ต่อให้ไม่อยากยอมรับ ในใจเขาก็เข้าใจดีว่า ในการชี้แนะคนระดับล่างทั้งหลาย มีหลายด้านที่ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้แนะ ซึ่งประมุขวังปาอวิ่นก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อน! เพราะ ‘ศาสตร์โบราณ’ นั้น เขาเพียงแค่ต้องยกระดับเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงอย่างต่อเนื่องเท่านั้นเอง
“ในที่สุดก็พูดถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ยิ่งพูดถึงระดับที่ลึกล้ำมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งผิดพลาดได้มากขึ้นเท่านั้น” ประมุขวังปาอวิ่นมีนิสัยเห็นแก่ตัว ถือตนเองเป็นหลัก ยิ่งเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงแสดงผลงานในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราได้ดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้นเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญธรรมดาสามัญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างคร้านที่จะยุ่งเกี่ยวกับความบาดหมางของระดับสูง พวกเขารู้เพียงว่า การสอนวิถีชองอาวุโสตงป๋อคนนี้มีส่วนช่วยพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่ละคนล้วนตั้งใจฟังจนจมจ่อมเข้าไป
ต่อให้ฟังไม่เข้าใจ พวกเขาก็จะอาศัยความจำฝืนจดจำทุกสิ่งเอาไว้เสียเลย
เพียงแต่ภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมาขณะสอนวิถีนั้นวิจิตรพิสดารเกินไป พวกเขามิอาจจดจำได้หมด อาจจะพอจำเนื้อหาที่พูดได้บ้าง ในภายหน้าก็สามารถค่อยๆ ย้อนรำลึกได้
ในที่สุด…
เมื่อสอนวิถีค่อยๆ สูงส่งลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ การอธิบาย ‘วิถีเข่นฆ่า’ ระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกแล้ว และนี่ก็คือการสอนวิถีระดับสูงที่สุดของเขาในครั้งนี้แล้ว
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นประมุขวังปาอวิ่นก็นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา “น่าขันนักๆ ผู้ที่มีพลังสูงส่ง การสอนวิถีให้กระจ่างก็ย่อมผ่อนคลายมากเป็นธรรมดา ตัวเขาเองเพิ่งจะเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก ก็กล้าพูดเรื่องวิถีของระดับนี้ด้วยหรือนี่ ถูกข้าพบปัญหาเข้าแล้วจริงๆ เสียด้วย”
……
ขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นซับซ้อนกว่ามาก ตงป๋อเสวี่ยอิงอธิบายไปสามสิบกว่าชั่วยามจึงหยุดลง
“ผู้ที่มีข้อข้องใจสามารถถามข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
ผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างพลันลุกขึ้นมาเสียงดังสวบสาบเป็นจำนวนหลายหมื่นคน ซึ่งล้วนแต่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งสิ้น! ต้องรู้ไว้ว่านอกจากคนท้องที่ของเมืองราชันย์มีดเองแล้ว คนต่างแดนจะเดินทางมานั้นก็มิใช่เรื่องง่ายเลย ลำพังแค่ค่าใช้จ่ายของค่ายกลส่งถ่ายมิติก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ดังนั้นผู้ที่สามารถเดินทางมาจากต่างแดนได้ โดยทั่วไปล้วนแต่เป็นระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังจะเลือกสามร้อยคนจากจำนวนนั้นมา ขอเพียงชี้แนะทั้งสามร้อยคนนี้จนหมด การสอนวิถีของตนก็นับว่าเสร็จสิ้นลงแล้ว
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ข้าก็พอจะรู้ทางสายการเข่นฆ่าอยู่บ้าง ขอเชิญผู้อาวุโสตงป๋อชี้แนะด้วย” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเวทีเงยหน้ามอง ก็เห็นบุรุษร่างผอมซูบบนแท่นสูงเหยียบอากาศเข้ามาแล้วร่อนลงบนเวที ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งไปเล็กน้อย เป็นเขาหรือ ประมุขวังปาอวิ่นหรือ
“เอ๊ะ”
“ขั้นอลวน!”
เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
ระหว่างการสอนวิถีอย่างเปิดเผยของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา โดยทั่วไปล้วนแต่เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่รับตำแหน่งปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่! ขณะที่พวกเขาสอนวิถี ก็จะอธิบายถึงเนื้อหา ‘การบรรลุขั้นอลวน’ บ้าง โดยทั่วไปแล้วตอนนี้ก็จะทำให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนที่รับฟังอยู่เกิดความสงสัยขึ้นมาได้ ขั้นอลวนสองคนอยู่บนเวที ปะทะคารมอธิบายวิถีกัน หรืออาจถึงขั้นลงมือพิสูจน์
นี่เป็นเรื่องดี! การรับรู้ที่แตกต่างกันของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน การที่พวกเขาปะทะคารมอธิบายวิถี ก็มีส่วนช่วยในการบรรลุขั้นอลวนในภายหน้าของเหล่าขั้นรวมเป็นหนึ่งด้านล่าง
เพียงแต่ว่า…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเขาสอนวิถี ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนล้วนเชื่อว่า น่าจะไม่มีผู้ใดลดตัวลงไปตั้งข้อสงสัยกับเขา เพราะถึงอย่างไรยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจะไปสงสัยขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง ด้วยสถานะเองก็ไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว การ ‘ตั้งข้อสงสัย’ เช่นนี้ก็เหมือนกับการตบหน้าอยู่บ้าง
“ประมุขวังปาอวิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นทันที เมื่อเผชิญหน้ากับขั้นอลวน เขาจะนั่งขัดสมาธิต่อไปก็คงไม่งามนัก
“ข้ามิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแต่เพื่อผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในที่นี้ จึงต้องให้เจ้าปะทะคารมกันสักหน่อย” ประมุขวังปาอวิ่นมีท่าทีว่าทำเพื่อผู้บำเพ็ญทั้งหมดในที่นั้น
“เชิญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“เมื่อครู่เจ้าพูดเรื่องวิถีเข่นฆ่า เชื่อว่าแก่นแท้ของวิถีเข่นฆ่าอยู่ที่ ‘เก็บ’ รองลงมาก็คือ ‘ปล่อย’ ใช่หรือไม่” ประมุขวังปาอวิ่นกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ขั้นอลวนข้าไม่กล้าพูด แต่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ข้าเชื่อว่า ‘เก็บ’ สำคัญกว่า”
“เจ้าแค่ลงมือกับข้าก็พอ ข้าจะสำแดงพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเพื่อรับมือ” ประมุขวังปาอวิ่นพูดยิ้มๆ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจเองว่าที่แท้แล้วสิ่งใดสำคัญกว่ากันแน่”
“ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
โดยทั่วไปการปะทะคารมอธิบายวิถี ไม่ว่าฝ่ายใดก็มิอาจพูดให้อีกฝ่ายเชื่อได้ ก็ต้องลงมือเพื่อเป็นการพิสูจน์
“ตู้มมม…” เจ้าลัทธิภาพจิตบนแท่นสูงเข้าควบคุมเวทีการต่อสู้ทันที รอบเวทีมีค่ายกลเข้าครอบเอาไว้ เพื่อป้องกันมิให้ลูกหลงจากการปะทะส่งผลกระทบต่อผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่
“ผู้อาวุโสตงป๋อกับขั้นอลวนกำลังจะลงมือพิสูจน์วิถีกันแล้ว”
ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนมองดูด้วยความตื่นเต้น
นี่จึงจะเป็นการประลองของบุคคลระดับสูงที่สุดของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราจนถึงตอนนี้
“ระวังล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ก็มีกระสวยยาวสีดำเล่มแล้วเล่มเล่าลอยขึ้นกลางอากาศรอบด้าน ปลายทั้งสองด้านของมันคมกริบหาใดเปรียบ ที่อีกฟากหนึ่ง ประมุขวังปาอวิ่นกลับยื่นมือขวาออกไปยิ้มๆ มือขวาของเขามิได้มีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นเสียด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจ
……………………………..