Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 7 ของกำนัลจากท่านอาจารย์
ผู้ที่สามารถบำเพ็ญไปจนถึงขั้นสุดท้ายอย่าง ‘เทพจักรวาล’ มีน้อยยิ่งกว่าน้อย เทพจักรวาลภายในโลกทิพย์ใดๆ สักแห่งหนึ่งก็น้อยจนสามารถนับนิ้วได้ เช่นที่โลกจอมมารดาก็มีแค่จอมมารดาเพียงคนเดียว
มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองก็คือ ‘กู่ฉี’ หนึ่งในสองเทพจักรวาลของวิถีผู้ท่องอากาศ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ผู้ก่อตั้งวิถีผู้ท่องอากาศ
ตอนนั้นกู่ฉีได้ทิ้งเคล็ดวิชาสืบทอดเอาไว้ที่จักรวาลภูมิลำเนาของตงป๋อเสวี่ยอิง และตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับประสบการณ์การทดสอบ แล้วบำเพ็ญวิถีผู้ท่องอากาศควบคู่ไปด้วย
ก็เป็นเพราะความสำเร็จในด้านผู้ท่องอากาศ ทำให้เขามีพื้นฐานเพียงพอที่จะไปศึกษาหยั่งรู้ภาพวาดทั้งสี่ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้ ทั้งยังค้นพบโลกระดับที่สูงกว่าที่มีอยู่อย่างรางเลือนนั้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังสำเร็จวิชาการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นด้วย!
“ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาค่อนข้างสั้น แต่สามารถบีบคั้นเหลยเหยียนได้ ฮ่าฮ่า…” มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองตื่นเต้นยินดี แต่ชั่วขณะนี้กลับไม่มีผู้ใดให้พูดคุยด้วยได้
“ท่านอาจารย์”
มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองถ่ายเสียงพูดโดยตรง
พรึ่บ
เงาร่างสายหนึ่งรวมตัวก่อร่างขึ้นกลายเป็นบุรุษผมสีเขียวในอาภรณ์สีดำคนหนึ่ง บุรุษผมสีเขียวมีนัยน์ตาสีเขียวอันงดงามคู่หนึ่ง ตลอดร่างราวกับความว่างเปล่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลก เขาเดินตรงไปที่ม้านั่งหินที่อยู่ด้านข้างแล้วนั่งลง “กู่ฉี มีเรื่องอันใดกันหรือ”
บุรุษผมสีเขียวผู้นี้ก็คือบรรพชนห้วงอากาศ ผู้มีความรักและเมตตาต่อสรรพชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ชมชอบมารเหล่านั้นเป็นที่สุด
“ท่านคงรู้แล้วกระมัง ลูกศิษย์ของข้า ก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง…” มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองเอื้อนเอ่ย
“เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องนี้เองหรือ” บรรพชนห้วงอากาศตะลึงงันอยู่บ้าง
“นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้าเชียวนะ!” กู่ฉีถลึงตา
บรรพชนห้วงอากาศจนใจอยู่บ้าง “กู่ฉี ตอนนี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พยายามทุกวิถีทางที่จะสังหารเจ้า โชคดีที่มีบรรพชนทิพย์ช่วยเหลือปกป้องอย่างสุดกำลัง มิฉะนั้นก็คงยังหนีเอาชีวิตรอดอยู่ข้างนอกนั่นแหละ”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เพลิงโทสะล้นฟ้า สาบานจะสังหารกู่ฉี!
ด้วยความไม่เสียดายสิ่งใดของเขา โลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราต่างก็ปกป้องไม่ไหว ถึงแม้ว่าบรรพชนโลกาจะแข็งแกร่ง แต่กู่ฉีก็มิได้ติดตามบรรพชนโลกาอยู่ตลอดเวลา! ดังนั้นในท้ายที่สุดก็มีเพียง ‘บรรพชนทิพย์’ ที่สามารถช่วยเหลือได้ ความสำเร็จของบรรพชนทิพย์ในด้านค่ายกลเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด ภายใต้การทุ่มเทอย่างสุดกำลังของเขา ทำให้กู่ฉีก็สามารถมีวันเวลาอันสงบสุขได้
แน่นอนว่ากู่ฉีก็มีราคาที่ต้องจ่าย ต้องร่วมมือกับบรรพชนทิพย์ ทำการทดลองบางอย่างเกี่ยวกับห้วงอากาศ
“เขาอยากจะสังหารข้าแล้วข้าจะไปทำอะไรได้เล่า” กู่ฉีมอบสุราให้ตนเองและท่านอาจารย์อย่างสบายๆ “อย่างมากก็แค่ชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้นเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าเดินทางไปยังที่ต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เคยเห็นทิวทัศน์มาจำนวนนับไม่ถ้วน พบเจอผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องมาสะดุดเพราะข้าเลย ฮ่าฮ่า ตอนนี้ข้ายังมีลูกศิษย์ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งในโลกทิพย์ทั้งสาม จุ๊ๆ ชีวิตนี้คุ้มค่าแล้วจริงๆ”
“ลูกศิษย์ของเจ้ากับเหลยเหยียนก็คู่คี่สูสีกัน เขาโจมตีได้แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ส่วนเหลยเหยียนมีข้อได้เปรียบทางด้านร่างกายเหนือกว่า ตอนนี้เขายังมิอาจนับได้ว่าเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุดในบนนดาขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งสาม” บรรพชนห้วงอากาศพูดอย่างสบายใจ
“เขาเพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าไหร่กันเชียว ดูเอาเถิด อีกไม่นานเขาก็จะเป็นอันดับหนึ่งแล้วล่ะ” กู่ฉีเอ่ยอย่างลำพองใจ
บรรพชนห้วงอากาศมองดูท่าทางค่อนข้างลำพองใจเช่นเดิมของกู่ฉีแล้วก็อดที่จะลอบทอดถอนใจมิได้ ศิษย์ผู้นี้เผชิญกับความเดือดดาลของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ใส่ใจถึงเพียงนี้ได้
“ถ้าหากข้าสามารถก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่งได้ กู่ฉีก็ไม่จำเป็นต้องหนีเอาชีวิตรอดแล้ว พูดกันจริงๆ แล้วก็ยังเป็นข้า อาจารย์ผู้นี้ที่ไม่แกร่งกล้าพอ” บรรพชนห้วงอากาศเอ่ยพึมพำ เขามีความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศอย่างสูงที่สุด หลังจากจักรพรรดิเก้าเมฆาตายแล้ว เขาก็คือผู้ที่ประสบความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศสูงที่สุด ถ้าหากก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง ไปถึงระดับชั้นที่สอง อาศัยการชี้นำของอากาศก็สามารถปะทะกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งๆ หน้าได้แล้ว
เช่นตอนนั้นที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทุ่มเทเลือดเนื้อจิตใจไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อสังหารจักรพรรดิเก้าเมฆา จนกระทั่งในที่สุดโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย จึงทำให้จักรพรรดิเก้าเมฆาบาดเจ็บสาหัสจนตกต่ำลงไปในที่สุด
จนกระทั่งถึงตอนนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เดาได้อย่างชัดเจนว่าขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาก็ซ่อนเร้นอยู่ในมิติเวลาสักแห่งหนึ่งในบริเวณรอบๆ ‘ดินแดนเก้าเมฆา’ แต่ก็หาไม่พบ!
“ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใด ข้าก็จะไปแล้ว” บรรพชนห้วงอากาศพูด
“ท่านอาจารย์ ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยสิ” กู่ฉีเอ่ยอย่างจนใจ “ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของข้าร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่ข้ายากจะเบิกบานใจได้ตอนที่หนีเอาชีวิตรอด น่าเสียดายที่ข้าไม่กล้าพูดมากกับคนอื่น ด้วยกลัวว่าเสวี่ยอิงเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์โกรธแค้นไปถึงเขา ดังนั้นข้าก็ได้แต่มาหาท่านอาจารย์แล้ว”
“ดีๆๆ เจ้าเบิกบานใจ ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนเจ้าหลายจอกหน่อย” บรรพชนห้วงอากาศส่ายหน้า
……
ณ วังทวีสูญแห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมาถึงยังวังทวีสูญแล้วก็มอบ ‘ประมุขวังเนตรทมิฬ’ ผู้นั้นให้จอมมารจัดการลงโทษ สำหรับการเจรจาต่อรองกับสำนักของบรรพชนทิพย์ในภายหลัง ก็เป็นเรื่องของบุคคลระดับสูงของวังทวีสูญแล้ว
เพราะความคับข้องใจต่างๆ ก็ให้เกิดการโต้แย้ง การทรมานและการลงโทษต่างๆก็เคยเกิดขึ้นมามากมายหลายครั้ง เพราะโลกทิพย์ทั้งสามต้องการจะเผชิญหน้ากับสองสำนักใหญ่ ดังนั้นจึงยังยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง ทั้งยังมีมาตรฐานอยู่ด้วย อย่างเช่นบรรพชนห้วงอากาศและประมุขเหยากวงที่ชิงชังความชั่วร้ายราวกับศัตรู ก็ได้แต่ทนต่อเหล่ามารร้ายจำนวนหนึ่งภายใต้สำนักของบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ อย่างมากที่สุดก็ลงโทษอย่างหนัก ทรมานอย่างหนัก ทำให้พวกเขาทุกข์ทนสักหน่อย
“ปัง…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินทะยานออกไป ปะทะเข้ากับยอดเขาแห่งแล้วแห่งเล่า ทิวเขายาวต่อเนื่องก็ระเบิดและพังทลาย
เห็นเพียงเงาร่างของฝูงมารผลาญทำลายที่สวมชุดเกราะสีแดงโลหิตแปดสายยืนตระหง่านอยู่กลางเวหา
“ได้ยินว่ายามที่เหลยเหยียนกำลังบุกชั้นที่เจ็ด ได้สังหารฝูงมารผลาญทำลายไปฝูงใหญ่ ข้าเพิ่งฆ่าไปเพียงแค่สองตัวเท่านั้นก็ต้านรับไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว” บนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงมีพลังงานสีแดงโลหิตจำนวนมากแทรกซึมทะลุผ่าน เกล็ดเกราะสีดำบนผิวกายของเขาต่างก็ถูกทะลุทะลวง เขาจ้องมองฝูงมารผลาญทำลายแปดตัวที่อยู่ไกลออกไป “อย่างน้อยในการบุกเจดีย์ดาว ข้าก็ยังสู้เหลยเหยียนมิได้”
“ก็ใช่”
“เหลยเหยียนมีร่างกายแข็งแกร่งเป็นที่สุด ในยามที่ตอบสนองต่อฝูงมารผลาญทำลายที่มี ‘พลังทำลายล้าง’ เช่นนี้ก็สามารถทานทนได้มากกว่าข้า! เขาสามารถต้านทานได้เป็นเวลายาวนานกว่าและสังหารฝูงมารผลาญทำลายได้มากกว่าอย่างสิ้นเชิง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ดี
อันที่จริงสำหรับการต้อสู้ พูดถึงความสำเร็จทางด้านใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ของตนก็อ่อนกว่าศาสตร์ลับเคล็ดวิชาเปลวอัคคีอสนีบาตของประมุขเจดีย์อสนีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เพราะบำเพ็ญ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ ไปควบคู่กัน วิญญาณจึงแกร่งกล้าเป็นที่สุด ดังนั้นจึงสามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ได้สิบกว่าสาย ปริมาณชดเชยข้อบกพร่องทางด้านคุณภาพได้! ทำให้ตนเองโจมตีได้เหนือกว่าอยู่เล็กน้อย
หากมิได้เป็นเพราะวิญญาณแกร่งกล้ากว่าคู่ต่อสู้อยู่มาก เกรงว่าไม่เพียงแต่จะอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายทางด้านร่างกายเท่านั้น แม้กระทั่งการโจมตีก็จะอ่อนแอกว่าอีกด้วย
“ต้องการบุกผ่านชั้นที่เจ็ด ข้ายังต้องแกร่งขึ้นกว่านี้อีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจอยู่บ้าง ในประวัติศาสตร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกเคยมีผู้ที่บุกผ่านชั้นที่เจ็ดได้ปรากฏอยู่สองคน และจากคำพูดของจักรพรรดิดำ ยามที่เขาเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ภายใต้การส่งเสริมซึ่งกันและกันของสี่เคล็ดวิชาสืบทอดก็มีพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ด ผู้ที่สามารถบุกผ่านชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้ตอนยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งต่างก็ร้ายกาจกันเหลือเกิน
ต้องรู้ไว้ว่า
ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็นับได้ว่าไม่เลวแล้ว เช่นเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็เป็นระดับขั้นนี้
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ออกมาเร็วเข้า” เสียงของบรรพชนเทียนอวี๋ก้องสะท้อนอยู่ในกาลมิติของชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว
“ขอรับ ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ
……
ภายใต้ความช่วยเหลือของวิญญาณอาวุธของเจดีย์ดาว ตงป๋อเสวี่ยอิงขับไล่พลังทำลายล้างภายในร่างกายเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็วที่สุด แล้วมุ่งหน้าไปยังที่พำนักปกติของบรรพชนเทียนอวี๋ในทันที ซึ่งก็คือลานกว้างอันค่อนข้างธรรมดาแห่งหนึ่ง
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใดตลอดเส้นทาง ก็มาถึงตรงหน้าท่านบรรพชนแล้ว
บรรพชนเทียนอวี๋กำลังตกปลาตามสบาย ทะเลสาบภายในลานบ้านมีพื้นที่เพียงแค่ไม่กี่สิบจั้งเท่านั้น แต่ก็สามารถมองเห็นปลาจำนวนไม่น้อยกำลังว่ายน้ำไปมาด้วยตาเปล่า
“สามารถสังหารฝูงมารผลาญทำลายบางส่วนตั้งแต่เป็นชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวก็ไม่เลวแล้วล่ะ” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขาเข้าใจความหมายของท่านบรรพชน
เดิมทีชั้นที่เจ็ดมีฝูงมารผลาญทำลายสิบตนร่วมมือกันราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โจมตีด้วยร่างเดียว การป้องกันก็เป็นการร่วมมือกัน พลังรบแข็งกล้าเป็นที่สุด ถ้าหากการโจมตีอ่อนแอสักหน่อยก็ย่อมไม่มีทางทำลายปราการป้องกันซึ่งเป็นการร่วมมือของฝูงมารผลาญทำลายสิบตนได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถบังคับทลายเปิด สังหารฝูงมารผลาญทำลายไปได้สองตน… ก็เท่ากับว่าเขาเอื้อมถึงพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้แล้ว ก้าวหน้าอีกสักหน่อย บางทีก็อาจสามารถสังหารเหล่าฝูงมารผลาญทำลายจนหมดเกลี้ยงได้
“ไม่หยิ่งไม่ผยอง ค่อยๆ มาเถิด” บรรพชนเทียนอวี๋ยังค่อนข้างมีความคาดหวังกับตงป๋อเสวี่ยอิง เขาเอ่ยขึ้นในทันที “ใช่แล้ว ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะอาจารย์ผู้นั้นของเจ้าได้เตรียมของกำนัลชิ้นหนึ่งเอาไว้ให้เจ้าแล้ว”
“หา” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง “ท่านอาจารย์หรือขอรับ”
“กู่ฉีอย่างไรเล่า” บรรพชนเทียนอวี๋พูด
………………………………………………….