Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 8 งานรวมตัว
บรรพชนเทียนอวี๋พูดแล้วก็โบกมือคราหนึ่ง เบื้องหน้าก็มีวงแหวนสีเงินอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วลอยไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรู้สึกอันซับซ้อนอยู่บ้าง
ตั้งแต่ได้เคล็ดวิชาสืบทอดผู้ท่องอากาศมา และหลังจากที่คารวะกู่ฉีเป็นอาจารย์แล้ว แม้ว่าตนเองจะมาถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา…ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้พบปรมาจารย์กู่ฉีอีกเลย แม้กระทั่งบรรพชนเทียนอวี๋ก็ยังไม่อยากให้ตนข้องแวะกับกู่ฉีมากเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาพาลโกรธตน
“พรึ่บ” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าวงแหวนเอาไว้และหลอมรวมในทันทีแล้ว ก็กระตุ้นค่ายกลที่รวมอยู่ภายในขึ้นมา
ด้านข้างของวงแหวนนี้มีภาพมายาปรากฏขึ้นมา
ซึ่งก็คือมนุษย์ผมสีเงินเขาสีทอง
“ฮ่าฮ่า ศิษย์เพียงคนเดียวของข้า กู่ฉีผู้นี้ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้ อยากจะโอ้อวดกับผู้เฒ่าคนอื่นๆ สักหน่อยจริงๆ น่าเสียดายที่เรื่องที่เจ้าเป็นศิษย์ของข้านี้ตอนนี้ยังต้องปิดเป็นความลับ ข้าเองก็ยังไม่เหมาะที่จะมาพบเจ้า รอให้เรื่องวุ่นวายนี้ผ่านไปแล้วพวกเราศิษย์อาจารย์ค่อยมานั่งดื่มกันให้ดีๆ สักหลายจอก มาบำเพ็ญกัน อย่าได้เฉื่อยชา! เอาล่ะ ไม่พูดมากความแล้ว” มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองกู่ฉีพูดไปพลางหัวเราะไปพลางแล้วเลือนหายไปตามภาพมายากลางอากาศนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่านี่คือภาพมายาที่บันทึกเอาไว้ พอเล่นครั้งหนึ่งแล้วก็เลือนหายไปไม่เหลือร่องรอย เห็นได้ชัดว่ากู่ฉีก็ยังระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
เขาตรวจดูด้านในวงแหวน
“นี่คืออะไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ภายในมิติเก็บวัตถุของวงแหวนมีวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่จำนวนมากกองเป็นภูเขาเลากา ตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็สามารถ… จำแนกออกมาได้ประเมินมูลค่าอย่างคร่าวๆ ได้ราวๆ กว่าหกพันศิลาปฐมโลกา
“กู่ฉีดูภาพเหตุการณ์การต่อสู้ของเจ้าและเหลยเหยียนแล้วก็สามารถตัดสินได้ว่าเจ้าบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงของจักรพรรดิดำ ดังนั้นจึงช่วยซื้อหาวัตถุภายนอกที่เคล็ดวิชาสืบทอดขั้นอลวนสองศาสตร์นี้จำเป็นต้องใช้มาให้เจ้าแล้ว”
บรรพชนเทียนอวี๋พูด “พูดให้ถูกต้องก็คือเขามอบศิลาปฐมโลกาให้ หลังจากนั้นข้าก็ไปซื้อหาวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่เหล่านี้มาจากภายนอก ถึงอย่างไรก็ต้องระวัง เขาทำการซื้อหามา หากไม่ระวังแล้วเปิดเผย จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อาจจะสงสัยเจ้าเพราะสิ่งนี้ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้ท่องอากาศ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขาประเมินได้ว่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่เหล่านี้ สำหรับให้ตนบำเพ็ญไปถึงปีศาจชาดแปดแปรและมังกรปาหลงแปดโคจร
คาดว่าตัวของปรมาจารย์กู่ฉีเองคงจะเคยเห็นเคล็ดวิชาสืบทอดสองศาสตร์นี้ผ่านตามาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรประเภทใด แต่จักรพรรดิดำกลับยังมี ‘ปีศาจชาดเก้าแปร’ ‘มังกรปาหลงเก้าโคจร’ ที่มิได้แพร่หลายออกไปภายนอก มีเพียงผู้ที่บำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดที่แท้จริงเท่านั้น ทั้งยังต้องได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิดำ จึงจะได้รับถ่ายทอดส่วนสุดท้ายมาได้ ไม่ว่าจะเป็นกู่ฉีหรือว่าบรรพชนเทียนอวี๋ ต่างก็มีโอกาสแค่เพียงได้เห็นเท่านั้น ทว่าต่างก็ไม่มีพรสวรรค์จะไปบำเพ็ญ
ศาสตร์โบราณ ต้องการผู้มีพรสวรรค์
เลือกเคล็ดวิชาสืบทอดที่เหมาะสมโดยอ้างอิงจากพรสวรรค์
“มากมายถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถือวงแหวนเอาไว้ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เพียงชั่วครู่ก็ได้รับสมบัติล้ำค่ามูลค่าหกพันกว่าศิลาปฐมโลกามา
“ที่วังทวีสูญของข้าก็ยังไม่สามารถมอบสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลเช่นนี้ให้ได้เลย อยากจะได้มาก็ยังต้องไปดิ้นรนเอาเอง” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ “กู่ฉีมีเจ้าเป็นศิษย์อยู่เพียงคนเดียวก็ไม่รู้จักสั่งสอนศิษย์ ในเมื่อเขาอยากจะให้เจ้า ข้าก็ได้แต่ส่งต่อให้! เจ้าต้องรักถนอมทรัพยากรเหล่านี้ทุกอณู ถ้าหากให้เจ้าไปดิ้นรนเอาเอง นึกอยากจะได้มานั้นก็ไม่ง่ายเลย”
“เข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ท่านบรรพชน ข้าอยากถามดูสักหน่อยว่าตอนนี้ปรมาจารย์ของข้าเขาอยู่ที่ใดกันหรือขอรับ”
อยากจะไปพบสักหน่อยจริงๆ
“อยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์” บรรพชนเทียนอวี๋พูด
“โลกทิพย์นิจนิรันดร์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ ตนเองรั้งอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์เป็นเวลาเนิ่นนานพอดู แต่ไม่รู้เลยว่าปรมาจารย์กู่ฉีก็อยู่ที่โลกทิพย์แห่งนั้นด้วยเช่นกัน
“เขายุ่งยากไม่น้อยเลย ยังเป็นบรรพชนทิพย์ที่เต็มใจปกป้องเขา” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “เจ้าก็อย่าไปพบเขาเลยนะ เจ้าอยากพบ เขาก็ไม่สามารถมาพบเจ้าได้หรอก กลัวว่าการปรากฏตัวจะยุ่งยาก ถึงอย่างไรจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คิดหาวิธีจัดการกู่ฉีอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเจ้าไปก็ไม่แน่ว่าอาจถูกตรวจพบเข้าก็ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ถึงแม้อยากจะพบ สถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวย
……
วันต่อมาตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปบำเพ็ญที่ตำหนักกาลเวลาเช่นเดิม คงความเร็วของการเร่งเวลาไว้ที่หนึ่งร้อยเท่า ถึงอย่างไรขั้นรวมเป็นหนึ่งบำเพ็ญในนั้นก็ไม่นับว่าแพงเกินไปนัก หากไปถึงขั้นอลวนแล้ว… ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องเข้าสู่ตำหนักกาลเวลาอีกต่อไปแล้ว
ในเวลาเดียวกันก็ซื้อวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญบางอย่างไปด้วย
ในอนาคตเมื่อพลังยุทธ์ยิ่งสูงขึ้น ผลของวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญก็จะแย่ลง ขณะนี้ขั้นรวมเป็นหนึ่งยังนับว่าเหมาะสมในการใช้ เขาก็อยากจะอาศัยดอกไม้อันร้ายกาจที่ ‘กระจกศิลา’ ก่อร่างขึ้นดอกนั้นสร้างและหลอมรวมเคล็ดวิชาของวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่า แน่นอนว่าถ้าหากสร้างออกมามิได้ก็ไม่เป็นไร ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนได้ภายในคราวเดียว
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
……
“แค่กๆๆ”
กลางท้องฟ้าเหนือทิวเขาอันรกร้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าซีดเผือด พลังชั่วร้ายสีแดงโลหิตจำนวนมากผ่านทะลุเข้าไปในร่างกายของเขา เบื้องหน้ายังมีฝูงมารผลาญทำลายในชุดเกราะสีแดงโลหิตสองตนยืนอยู่ตรงที่ไกลๆ ดูเหมือนว่าต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความหวาดกลัว
“เก่งแต่หลบหนีจริงๆ หากมีความสามารถก็มาสังหารข้าซึ่งๆ หน้าสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ฮ่าฮ่า เจ้าโดนพลังทำลายล้างกัดกร่อน ยิ่งเวลาผ่านไปนานอาการบาดเจ็บก็จะยิ่งสาหัส เหตุใดข้ากับคนอื่นๆ จึงต้องตายไปกับเจ้าด้วยเล่า” ฝูงมารผลาญทำลายในชุดเกราะสีแดงโลหิตสองตนนั้นต่างก็เจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง ตนหนึ่งร่างกายเลือนราง ส่วนอีกตนหนึ่งก็หลบซ่อนอยู่ในที่ไกลออกไป พวกเขาต่างก็มีความสามารถในการรักษาชีวิต หนีเอาชีวิตรอดอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด จึงสามารถหนีอย่างตลอดรอดฝั่งมาได้จนถึงตอนนี้
ที่เหลืออีกแปดตนล้วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารไปหมดแล้ว
“ข้าได้ยกระดับแผนภาพคลื่นจานไปจนถึงระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังไม่สามารถบุกผ่านไปได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงอาการบาดเจ็บของตน เขาลอบส่ายศีรษะ จำเป็นต้องอาศัยเจดีย์ดาวช่วยกดดันและขับไล่พลังอันชั่วร้ายเสียแล้ว อาศัยตนเองก็ไม่สามารถต้านทานได้นานสักเท่าใด
การบรรลุของแผนภาพคลื่นจานมีส่วนช่วยเหลือพลังยุทธ์ในภาพรวมได้อย่างค่อนข้างชัดเจน ถ้าหากประมือกับประมุขเจดีย์อสนีอีกครั้งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนเองก็จะมีข้อได้เปรียบมากกว่าอย่างชัดเจน
แผนภาพคลื่นจานก็คืออาณาเขต!
หลังจากยกระดับแล้วอาณาเขตก็กดดัน ทำให้พลังยุทธ์ของเหล่าฝูงมารผลาญทำลายต่างก็ได้รับผลกระทบ การหนีเอาชีวิตรอดต่างก็ได้รับผลกระทบ พลังรบโดยรวมก็ลดต่ำลง ดังนั้นฝูงมารผลาญทำลายแปดตนจึงถูกตงป๋อเสวี่ยอิงกำจัดทิ้งไป น่าเสียดายที่ยังเหลือสองตนสุดท้ายที่เจ้าเล่ห์ที่สุด
******
มหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านต่างก็สงบเงียบเช่นที่เคยเป็นมา ถึงแม้ว่าแต่ละแห่งต่างก็มีค่ายสังหารโจมตี แต่อย่างน้อยตรงหน้าบุคคลขั้นสูงสุดก็ยังสงบเงียบอยู่
เหล่าสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดต่างก็กำลังกบดาน
และภายในโถงตำหนักที่ค่อนข้างลึกลับแห่งหนึ่ง
โถงตำหนักแห่งนี้ยังเป็นความลับยิ่งกว่าขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาเสียอีก แต่ตอนนี้กลับมีเงาร่างหลายสายอยู่ที่นี่
โต๊ะหินรูปร่างกลมสีดำขนาดมหึมา
รอบๆ มีเงาร่างหลายสายนั่งอยู่ มีบรรพชนห้วงอากาศ ราชันย์มีด ยังมีบรรพชนเทียนอวี๋ และท่านบรรพชนคีรีมารกับบุรุษที่มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเกี่ยวรัดอยู่บนร่างอีกด้วย
บุรุษที่มีงูใหญ่เกี่ยวรัดอยู่บนร่างเปลือยทรวงอก มีรูปโฉมหล่อเหลาเป็นที่สุด เขาพูดยิ้มๆ ว่า “พี่สาวของข้านางกำลังปลีกวิเวกอยู่ ดังนั้นจึงให้ข้าเข้าร่วมในครั้งนี้” ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหยากวงมีเทพจักรวาลอยู่ทั้งสิ้นสองคน คนหนึ่งคือประมุขเหยากวง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ ‘จักรพรรดิงูเมฆา’ น้องชายของนาง
“เจ้าเมืองหลัวไม่ชมชอบเรื่องหยุมหยิม ดังนั้นคราวนี้จึงมิได้เข้าร่วมเช่นกัน” ราชันย์มีดคือบุรุษอาภรณ์สีทองคนหนึ่ง ยืนอยู่ที่นั่นก็ยังชวนให้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันคมกริบอันไร้รูปร่าง เขาก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดคนหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก “งานรวมตัวของตำหนักดวงดาราในครั้งนี้ก็ให้ข้ามาจัดการ”
อีกสี่คนในที่นั้นต่างก็รับฟัง
โลกทิพย์ทั้งสอง นอกจากบรรพชนกู่แล้วก็มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั้งหมดหกแห่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ควรจะมีเทพจักรวาลหกคนเข้าร่วม เพียงแต่ตามปกติแล้วเจ้าเมืองหลัวจะไม่มาปรากฏตัว
…………………………………………..