Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 26 เทพจักรวาล
เพียงแค่ปากด้านบนซึ่งใหญ่โตกว่าทั้งคูเมืองมากนักดูดกลืนเข้าไปคราหนึ่ง โดยมีเป้าหมายคือตงป๋อเสวี่ยอิง เพียงเพราะถูกลูกหลงขนาดใหญ่เข้าไป รัฐเยวี่ยเฟิ่งก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก ก่อนหน้านี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในรัฐเยวี่ยเฟิ่งล้วนตกอยู่ในเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะที่ถูกสังหารนั้นก็ยังคงอยู่ภายในเขตลวง จึงมิได้เจ็บปวดแต่อย่างใด
“วิ้ง” ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลัวเสียจนใจสะท้านไปหมดนั้น เขาก็กระตุ้นสมบัติลับขึ้นมาสองชิ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
สร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดและเมฆซ้อนสามสีต่างก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาทั้งหมด
ทันใดนั้นที่ครอบแสงอันสว่างเรืองรองชั้นแล้วชั้นเล่าก็เข้ามาปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ทั้งหมดมีถึงสิบสองชั้นด้วยกัน! เหนือผิวกายของเขาก็ปลดปล่อยแสงสีทองออกมา รอบกายยังมีรัศมีสีฟ้าชั้นหนึ่งปกป้องอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าเพียงพริบตาเดียวก็ได้สำแดงลูกไม้รักษาชีวิตออกมาจนถึงขั้นสุดแล้ว
“ฟึ่บๆๆ”
เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วเหมือนว่า ‘ปาก’ ขนาดมหึมากำลังดูดกลืนเข้าไป แต่อันที่จริงแล้ว กลับมีมือขนาดใหญ่สองข้างซึ่งเต็มไปด้วยสีขาวเงินปะทะเข้ามาจากความว่างเปล่าอย่างลับๆ
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่ดูเหมือนจะยืนอยู่กลางฟากฟ้านั้น กลับเร้นกายอยู่ในโลกลวง มือขนาดใหญ่สีขาวเงินทั้งสองข้างก็ทำได้เพียงแทรกเข้ามาในโลกลวงอย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อปะทะเข้ากับที่ครอบแสงอันเรืองรองทั้งสิบสองชั้น ท่าไม้ตายอันแน่นอนนี้กลับเพียงแค่ทำให้ที่ครอบแสงชั้นนอกสุดแตกออกได้อย่างพอถูไถเท่านั้น
“ตาย!”
มือใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดสีขาวเงินทั้งคู่นั้นกลับตะปบเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยความโมโห
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป เขาสัมผัสรับรู้อากาศได้อย่างร้ายกาจมาก ดังนั้นจึงสามารถ ‘พบ’ ว่ามีสัตว์ประหลาดขนาดมโหฬารตนหนึ่งกำลังเร้นกายอยู่ในอากาศ มันมีลักษณะราวกับรังไหม ปากขนาดมหึมาที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศนั้น…เป็นเพียงแค่ปากบนหัวของรังไหมเท่านั้น มือใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดสีขาวเงินทั้งสองก็คือมือด้านหน้าสุดสองข้างจากมืออันแน่นขนัดทั้งสิบสองข้างของร่างกาย
นี่คือสัตว์ประหลาดที่อัปลักษณ์มากตนหนึ่ง แต่หลังจากได้เห็นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกคร้ามเกรงขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ เขาพอจะเข้าใจรางๆ ว่า ความรู้สึกคร้ามเกรงเช่นนี้…หมายความว่าพลังของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดพรรค์นี้ มีอันตรายถึงตายได้!
เคราะห์ดีที่มี ‘สมบัติลับ’ นอกกายสองชิ้นอยู่กับตัว! เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ ก็ยังสามารถต้านทานได้หนึ่งหรือสองชั่วพริบตา เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตนนี้ก็ยิ่งสามารถต้านทานได้เป็นเวลานานขึ้นไปอีกหน่อย
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพบกับเทพจักรวาลผู้หนึ่งเข้า ทว่ากลับนับว่าพบปลาใหญ่ตัวหนึ่งเข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รั้งรออีกต่อไป เพียงชั่วความคิดเดียว อากาศข้างกายก็เริ่มบิดเบี้ยว เขารีบสาวเท้าเข้าไปในนั้นทันที ก่อนจะอันตรธานไปท่ามกลางอากาศอันบิดเบี้ยว
“หนีเป็นระยะทางอันไกลโพ้นหรือ”
สัตว์ประหลาดขนาดมโหฬารโมโหขึ้นมา แต่กลับจากไปอย่างเงียบเชียบในพริบตาเดียวเช่นกัน เพราะเขาเข้าใจดีว่า ในเมื่อความแตกแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะมีเทพของจักรวาลผู้บำเพ็ญมาถึงจนได้
ไม่ถึงหนึ่งชั่วลมหายใจ
อากาศรอบด้านก็สั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวไปอีกครั้ง บุรุษผมเขียวอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น สายตาของเขากวาดมองรอบด้านอย่างสงบ เขาก็คือบุปผาผลาญทำลายที่เร่งมาถึงหลังได้รับสารจากตงป๋อเสวี่ยอิง
นับว่าเขามาถึงได้รวดเร็วที่สุด!
เทพจักรวาลคนอื่นๆ จะเร่งมาถึงได้ก็ล้วนต้องขอให้ขั้นอลวนคนอื่นที่เข้าใจการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นช่วยเหลือ ‘รัฐเยวี่ยเฟิ่ง’ ก็มิใช่สถานที่พิเศษอันใด เมื่อไม่มีเครื่องหมายมิติ ขั้นอลวนจะช่วยส่งถ่ายก็ย่อมคลาดเคลื่อนไปเป็นอันมาก ทั้ง ‘ส่งสาร’ ‘ขอให้คนช่วยส่งถ่าย’ และ ‘คลาดเคลื่อนมากจนต้องเร่งเดินทางต่อ’…จึงเสียเวลามากทีเดียว
บุปผาผลาญทำลายที่เข้าใจ ‘การเคลื่อนย้ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ กลับสามารถมาถึงได้เร็วที่สุด แต่ก็ยังคงช้าไปอยู่ดี ศัตรูหนีได้รวดเร็วเกินไปแล้ว
อันที่จริงบุปผาผลาญทำลายก็เข้าใจว่า ด้วยความสามารถในการหนีเอาชีวิตรอดของบรรดา ‘อ๋อง’ แห่งฝูงมารผลาญทำลาย ต่อให้เขาสามารถไล่ตามมาได้ทัน ก็มิอาจขัดขวางไว้ได้อยู่ดี
“สมควรตาย”
บุปผาผลาญทำลายมองลงไปด้านล่าง ดินแดนอันกว้างใหญ่กว่าร้อยล้านลี้เบื้องล่างล้วนถูกลูกหลงไปหมด ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคราะห์ดีรอดชีวิต เมื่อบุปผาผลาญทำลายมองดูซากปรักหักพัง ก็รู้สึกสังเวชต่อสิ่งมีชีวิตทั่วไปเป็นอันมาก และรู้สึกเจ็บปวดใจด้วยเช่นกัน
“ฝูงมารผลาญทำลายที่สมควรตาย” นัยน์ตาของบุปผาผลาญทำลายฉายแววโหดร้าย
……
ผืนดินรกร้าง ไกลออกไปกลับมีเทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน มีสำนักหนึ่งตั้งอยู่ในนั้น
ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งปรากฏกายขึ้นเหนือผืนดินแห่งนี้แล้วเดินอยู่เพียงลำพัง คิ้วขมวดเล็กน้อย เขาพึมพำเสียงต่ำว่า “ถูกพบเสียแล้วหรือนี่”
บรรดา ‘อ๋อง’ ที่เข้ามากบดาน
ครั้งแรกที่ถูกค้นพบ!
“ไยจึงบังเอิญถึงเพียงนี้ จู่ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นก็สำแดงเขตลวงออกมาปกคลุมทั้งรัฐเยวี่ยเฟิ่งเอาไว้ พอดีกับที่ปกคลุมข้าด้วย” ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งลอบพึมพำ ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงอย่างกะทันหันเกินไป พอมาถึงก็สำแดงเขตลวงออกมา เขาจะหลบหลีกก็ไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้น ตามสถานการณ์ทั่วไปแล้ว เขาก็รังเกียจที่จะหลบหลีกขั้นอลวนสักคนหนึ่ง
เขาเชื่อว่าด้วยวิธีการซ่อนเร้นกลิ่นอายของตัวเขาแล้ว ควรจะไม่ถูกจับได้จึงจะถูกต้อง!
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสำแดงเขตลวงออกมา! สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออื่นๆ ล้วนตกเข้าสู่เขตลวงจนสิ้น เทพจักรวาลผู้องอาจเช่นเขาย่อมไม่ตกเข้าสู่เขตลวงเป็นธรรมดา แต่กลับความแตกด้วยเหตุนี้!
“จู่ๆ ก็สำแดงเขตลวงออกมา หรือว่าข้าเผยช่องโหว่อะไรออกไป เขาจึงจงใจมาตรวจสอบโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ ไม่ถูกสิ! หากข้าเผยช่องโหว่ออกไป ก็คงจะไม่เป็นเขาที่มาตรวจสอบแล้ว หากแต่ต้องเป็นเทพจักรวาลวางกำลังทั่วทั้งฟ้าดินไปแล้ว” ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งส่ายศีรษะ
“หากไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ไยจึงต้องสำแดงเขตลวงออกมาด้วยเล่า”
“หรือจะบอกว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้กำลังบำเพ็ญอยู่ จึงทดลองกระบวนท่าของเขาอย่างนั้นหรือ” ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งคาดเดา
เขารู้สึกว่านี่มีความเป็นไปได้มากทีเดียว
เนื่องจากผู้บำเพ็ญท่องไปทั่วสารทิศ เพื่อรับรู้ ‘วิถี’ ของตนเป็นเรื่องปกตินัก ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงเขตลวงปกคลุมสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของดินแดนแห่งหนึ่งเพื่อทดลองกระบวนท่าก็เป็นเรื่องปกติมากเช่นกัน
“ข้าก็โชคร้ายเกินไปแล้ว ที่ถูกเขาโชคดีพบเข้าได้” ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งไม่สบายใจเป็นอันมาก ‘อ๋อง’ ทั้งหมดล้วนเคยมายังโลกผู้บำเพ็ญด้วยกันทั้งนั้น แต่เขากลับเป็นคนแรกที่ถูกพบเข้า
******
ภายในตำหนักลับแห่งหนึ่งของปราการอากาศ
บรรดาเทพจักรวาลทั้งหลายของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญล้วนอยู่ที่นี่ ทว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น ยามนี้พวกเขาต่างมองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลอย่างนั้นหรือ เจ้ามั่นใจหรือ” ราชันย์มีดมองตงป๋อเสวี่ยอิง
แม้จะมีเทพจักรวาลหลายคนไปตรวจสอบยังสถานที่ตั้งของรัฐเยวี่ยเฟิ่งต่อเนื่องกัน และรู้ว่าก่อนหน้านี้มีการต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นเกิดขึ้นจริงๆ แต่เนื่องจากการย้อนเวลาถูกรบกวน จึงมิอาจตรวจสอบสถานการณ์รบในตอนนั้นได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงสอบถามตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น
“เป็นเทพจักรวาลอย่างแน่นอนขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบอย่างเคารพนบนอบ
แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น…
ต่อให้เป็นจักรพรรดิดำและประมุขตำหนักอลหม่านก็มิอาจนำแรงกดดันมาให้ตนได้มากสักเท่าใดนัก แต่สัตว์ประหลาดที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นกลับทำให้ตนสัมผัสแรงคุกคามถึงตายได้
“นี่คือรูปร่างที่แท้จริงของสัตว์ประหลาดตนนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็เริ่มมีภาพปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือรูปลักษณ์ของสัตว์ประหลาดอันอัปลักษณ์ตนนั้นร่างกายที่ราวกับรังไหม หัวก็อัปลักษณ์ ยังมีมือถึงสิบสองข้าง ทั้งร่างรวมไปถึงมือใหญ่ทั้งสิบสองต่างก็มีเกราะเกล็ดสีขาวเงินแน่นขนัด
“นี่คือสัตว์ประหลาดที่แปลงเป็นประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ด้านข้างยังมีรูปร่างของมนุษย์อีกคนปรากฏขึ้นด้วย
“เป็นเขาหรือ”
“ที่โจมตีป้อมปราการอากาศครั้งก่อน เขาก็ลงมือด้วยเช่นกัน”
ราชันย์มีด บรรพชนคีรีมารและคนอื่นๆ พากันหน้าถอดสีไปในทันใด
พวกเขาเคยประมือด้วยมาก่อน ดังนั้นจึงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าในการโจมตีครั้งที่แล้ว เทพจักรวาลผู้นี้เป็น ‘อ๋อง’ คนหนึ่งของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายจริงๆ ต่อมา ‘จักรพรรดิจวิน’ ที่พลังแข็งแกร่งอย่างยิ่งได้ปรากฏกายขึ้น บรรดาอ๋องคนอื่นๆ ก็มิได้ลงมือสักเท่าใดนักแล้ว เพียงแค่ออกหน้าช่วยเหลือเป็นครั้งคราวเท่านั้น แล้วก็ถอยไปอย่างง่ายดาย
“ระหว่างที่ล่าถอยไปนั้น เขาก็มิได้ลงมืออีกจริงๆ”
“ระหว่างที่ล่าถอยไป เมื่อเจ้าคนที่ชื่อจักรพรรดิจวินนั่นปรากฏกายขึ้น ก็มีอ๋องหลายคนที่มิได้ลงมืออีก”
“ตอนนี้เขาปรากฏกายขึ้นมาในโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแล้วอย่างนั้นหรือ”
เหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าเข้มขึ้น
สามารถมั่นใจได้ว่า ในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพจักรวาลด้วยจริงๆ นี่ก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์อย่างหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น บัดนี้สามารถมั่นใจได้อย่างเต็มที่แล้ว! แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้างก็คือ ‘อ๋อง’ คนหนึ่งที่ยังโจมตีป้อมปราการอากาศอยู่ในครั้งที่แล้ว กลับปรากฏกายขึ้นในโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเสียอย่างนั้น
สามารถพิสูจน์ข้อหนึ่งได้ว่า…อีกฝ่ายได้แทรกซึมเข้ามาในป้อมปราการอากาศอย่างเงียบเชียบเสียแล้ว
……………………………