Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 29 ยังคิดขัดขวางข้าอีกหรือ
“เมฆาโลหิต ได้ยินมาว่ามี ‘กบพิษทรายทอง’ อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าค้นคว้าพิษแม่มด กำลังต้องการกบพิษทรายทองตัวนี้อยู่พอดี” ชายชราหัวเราะคิกคัก
“พูดได้ดีๆ” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะพลางลูบศีรษะตนเอง “ศิลาปฐมโลกาห้าสิบก้อน แล้วท่านก็รับมันไปได้เลย”
ทั้งสองเริ่มเจรจาต่อรองกัน
ท้ายที่สุด ชายชราก็จ่ายศิลาปฐมโลกาเป็นจำนวนสามสิบสองก้อนแล้วนำกบพิษทรายทองอำลาจากไปพลางยิ้มจนตาหยี
บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนก็ยืดกายขึ้นส่งอย่างกระตือรือร้นตลอดทางตั้งแต่ประตูตำหนักเหนือผิวดินจนออกไป แล้วจึงกลับไปใต้ดิน
“พี่ใหญ่ ผู้บำเพ็ญระบบทิพย์นั่นกล้ามาถึงถิ่นพวกเราด้วยหรือนี่” สตรีอาภรณ์ดำนางหนึ่งต้อนรับ ขณะเดียวกันก็พูดเสียงเย็นชาว่า “หากมิใช่เพื่อซ่อนเร้นตัวตน ข้าคงเขมือบเขาลงไปในคำเดียวแล้ว”
“รู้จักแต่กินๆๆ เท่านั้น! จะซ่อนเร้นตัวตนให้ดีๆ สักครั้งนั้นไม่ง่ายเลย” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนแค่นเสียงเฮอะ “ตอนนี้เจ้าคนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นตามหาพวกเราอยู่ตลอด โลกทิพย์ทั้งสามก็ล้วนสนับสนุนเขาอย่างสุดกำลัง หากพวกเราเผยพิรุธออกไป จนถูกโลกทิพย์ทั้งสามตั้งเป็นผู้ต้องสงสัยและส่งข้อมูลให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วล่ะก็ เชื่อว่าไม่นานนักก็คงจะมาตรวจสอบยังถิ่นของพวกเรา แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นจะมีพลังธรรมดาสามัญ มิอาจคุกคามข้าได้ แต่หากถูกพบเข้าแล้ว เช่นนั้นวันคืนอันสุขสราญเช่นนี้ก็คงไม่มีอีกต่อไป เจ้าอดทนให้ข้าหน่อย ทั้งหมดทำตามกฎของข้า หากทำให้เรื่องเสียหาย เฮอะๆ เจ้าก็หาแม่ทัพคนอื่นช่วยเหลือเจ้าก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะๆๆ พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจแล้ว” สตรีอาภรณ์ดำยิ้มแหยๆ ทันที
บรรดาอ๋องมีคำสั่งลงมาก่อนแล้วว่า
ฝูงมารเกราะทองชั้นที่แปดระดับยอดทั้งหมดจะต้องเคลื่อนไหวตามระดับชั้นที่เก้าสักท่านหนึ่ง เพราะเมื่อดูจากพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจขัดขวางระดับชั้นที่เก้าได้ ส่วนบุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนผู้นี้…ก็คือฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าแปลงกายมา
“ฮ่าฮ่า” ทันใดนั้นบุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนก็หันมองไปทางเจดีย์เป็นตายด้านข้างแห่งนั้น “ในที่สุดชั้นที่สิบแปดก็จะมีสงครามระหว่างความเป็นความตายเกิดขึ้นอีกยกหนึ่งแล้ว เห็นทีคงจะมีผู้โชคดีรอดชีวิตออกมาแล้ว”
……
ภายในเจดีย์เป็นตาย
ชั้นที่สิบแปด
ชายหนุ่มคนหนึ่งและชายชราคนหนึ่งกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ทั้งสองต่างก็เป็นเทพอากาศระดับขั้นกำเนิด
“ตายเสียเถิด!!!” หลังเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ในที่สุดกำปั้นหนึ่งของหนุ่มน้อยก็แหวกอากาศไปทะลุแผ่นอกของชายชรา ทำเอาร่างของเขาแหลกสลายกลายเป็นผุยผง จากนั้นเขาก็ลงมืออย่างต่อเนื่อง กำปั้นทำให้อากาศนี้ถูกแหวกออกและสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดชายชราก็มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
“ชนะแล้ว”
หนุ่มน้อยจึงได้นั่งลงอย่างเต็มก้น เขาเหนื่อยเกินไปแล้ว
“ในที่สุด ในที่สุด ในที่สุดข้าก็รอดชีวิตออกจากเจดีย์เป็นตายได้แล้ว” หนุ่มน้อยกำมือขึนมา “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ข้าจะกลับไปแล้ว จะกลับไปหาพวกท่านแล้ว”
วันคืนช่วงที่ผ่านมานี้ช่างเหมือนกับฝันร้าย
เขาจากบ้านมาเพื่อบุกฝ่าและเคี่ยวกรำ ไหนเลยจะคิดว่าเมื่อผ่านชนเผ่าหนึ่งเพื่อซื้อสิ่งของ เผ่านี้ก็ดันไปล่วงเกิน ‘ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต’ เข้า จนทั้งเผ่าถูกจับมาทั้งเป็น แล้วโยนเข้าไปในเจดีย์เป็นตาย และต้องฆ่าจากชั้นล่างสุดของเจดีย์เป็นตายขึ้นไปทีละชั้นๆ ทั้งหมดสิบแปดชั้น…ผู้บำเพ็ญจำนวนตั้งมากมายเท่าไหร่ ท้ายที่สุดมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตออกมาได้
ส่วนหนุ่มน้อยนั้นนับได้ว่ามีพรสวรรค์สูงส่งยิ่งอย่างแท้จริง เขาสามารถบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ตั้งนานแล้ว แต่กลับมิกล้าบรรลุมาตลอด
เนื่องจากการต่อสู้ภายในเจดีย์เป็นตาย นั้นเป็นการต่อสู้ของระดับขั้นใหญ่เดียวกัน! ขั้นกำเนิดต่อกรกับขั้นกำเนิด ขั้นรวมเป็นหนึ่งต่อกรกับขั้นรวมเป็นหนึ่ง…และทั้งเจดีย์เป็นตายก็รวบรวมขั้นรวมเป็นหนึ่งเพื่อทำการคัดเลือกสิบแปดชั้นต่อเนื่องกันได้จำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้นเมื่อบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็ล้วนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“วิ้ง”
ระลอกคลื่นมิติสายหนึ่งร่อนลงมาปกคลุมหนุ่มน้อยผู้นั้นเอาไว้
หนุ่มน้อยเผยสีหน้ายินดีออกมา
บ้านเกิด…
ท่านพ่อ พี่ใหญ่ และยังมีสตรีที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตลอดด้วย แม้เขาจะใฝ่ฝันมาตลอดคืนวันอันยาวนาน อีกฝ่ายกลับมองเขาเป็นเพียงน้องชายมาตลอด
แต่หากสามารถได้เห็นนางอีกครั้ง หนุ่มน้อยก็จะรู้สึกพึงพอใจหาใดเปรียบ
“ฟิ้ว”
มิติเปลี่ยนแปรไป
ในที่สุดก็ออกจากเจดีย์เป็นตายมาได้แล้ว ตรงหน้าคือโถงตำหนักมหึมาแห่งหนึ่ง
หนุ่มน้อยมองดูโถงตำหนักแห่งนี้ เหนือบัลลังก์ของโถงตำหนักแห่งนี้มีบุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนผู้หนึ่งนั่งอยู่ บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนแสยะยิ้ม “สหายน้อย ยินดีด้วยที่เจ้าสามารถบุกฝ่าและรอดชีวิตจากเจดีย์เป็นตายได้ เมื่อเจ้าผลักประตูตำหนักออกไปก็จะได้อิสรภาพคืนมาแล้ว”
“ขอบคุณประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต” หนุ่มน้อยคารวะด้วยความเคารพ
แม้แทบทุกคนที่ถูกจองจำเคียดแค้นชิงชังประมุขเจดีย์เมฆาโลหิตหาใดเปรียบ
แต่เดิมทีในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ผู้ที่อ่อนแอก็ย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ทั้งโหดร้ายมาก และนับถือผู้ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ยามนี้หนุ่มน้อยมิกล้าไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าจะต้องสูญเสียชีวิตไป
“น่าเสียดายนะ ที่เจ้าไม่มีโอกาสจะได้ผลักประตูตำหนักออกไปแล้ว” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะอย่างสุขใจมากยิ่งขึ้น
หนุ่มน้อยสะดุ้ง
“จะบอกความลับหนึ่งให้กับเจ้า”
บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะอย่างลิงโลดใจ “ทุกคนที่รอดชีวิตออกมาจากเจดีย์เป็นตาย ท้ายที่สุดก็มีจุดจบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…ก็คือถูกข้ากิน!”
สีหน้าของหนุ่มน้อยพลันซีดขาว
ไม่ ไม่…
ญาติสนิทมิตรสหายของตน เงาร่างอาภรณ์สีแดงที่ตนอยากจะพบมาตลอดนางนั้น…
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะอย่างสุขสราญมากยิ่งขึ้น เขาชมชอบที่จะได้เห็นสีหน้าของผู้บำเพ็ญยามที่รู้สึกว่าหนีรอดจากความตายได้แล้วและจู่ๆ ก็ต้องตกเข้าสู่ความสิ้นหวังอีกครั้งเป็นที่สุด
“ไม่”
กลิ่นอายของหนุ่มน้อยพลันปะทุออกมา แล้วบรรลุจากขั้นกำเนิดสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งทันที ขณะเดียวกันก็รีบทะยานมุ่งหน้าหนีออกไปภายนอกทันที
“เจ้าหนีพ้นรึ” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนยิ้มน้อยๆ เขาเป็นถึงฝูงมารผลาญทำลายระดับชั้นที่เก้าเชียวนะ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเด็กน้อยพวกนี้เลย ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน เมื่ออยู่ตรงหน้าเขา โดยทั่วไปก็มีแต่ต้องมอบชีวิตให้เท่านั้น
ทันใดนั้นทุกสิ่งก็เงียบงันไปหมด
ทันใดนั้นหนุ่มน้อยซึ่งกำลังบินทะยานอยู่ก็ปะทะเข้ากับประตูตำหนักอย่างโง่งมเสียงดังโครมคราม แต่หนุ่มน้อยกลับกลิ้งหลุนๆ ไปกลับพื้นตำหนักอย่างโง่งม สูญสิ้นสติรับรู้ไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่เพียงหนุ่มน้อยผู้นี้เท่านั้น วังปราการแห่งนี้รวมไปถึงผู้บำเพ็ญจำนวนมากซึ่งถูกจองจำอยู่ภายในเจดีย์เป็นตายเบื้องล่างและยังมีเทวทูตและบ่าวรับใช้ทั้งหลาย แต่ละคนล้วนถูกทำให้มึนงงและตกเข้าไปในเขตลวงเสียแล้ว
มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงสามารถครองสติเอาไว้ได้
คนหนึ่งคือบุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยน ส่วนอีกคนคือสตรีอาภรณ์ดำ
“ตงป๋อเสวี่ยอิง!” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“พี่ใหญ่!”
สตรีอาภรณ์ดำพุ่งเข้ามาภายในโถงตำหนัก “ถูกพบเข้าแล้ว รีบหนีเร็วเข้า”
“ไป” แม้บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนจะรู้สึกเดือดแค้นและอดสูใจ แต่เขาก็มิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย เขารู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมีสมบัติล้ำค่าที่โลกทิพย์ทั้งสามมอบให้ มีความสามารถในการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อถูกเขาพบเข้า ก็เท่ากับถูกโลกทิพย์ทั้งสามพบเข้าแล้ว
ต้องหนีเสียแล้ว!
สวบ!
บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนพาสตรีอาภรณ์ดำทะยานออกจากโถงตำหนักไปในพริบตา
ดอกตูมสีดำขนาดมหึมาซึ่งมีเก้าใบใหญ่โตหาใดเปรียบ มันห่อหุ้มทั้งวังปราการเอาไว้ ขณะที่บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนพาสตรีอาภรณ์ดำพุ่งออกไปนั้น ก็มองเห็นว่าตนตกอยู่ภายในดอกไม้ขนาดมหึมาดอกนี้ มีกลีบดอกไม้แก้วผลึกสีดำกึ่งโปร่งใสหลายกลีบ พวกเขาสามารถมองทะลุมันเข้าไปภายในได้
ด้านนอกมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“ฟิ้วๆๆ” ดอกตูมสีดำชั้นแล้วชั้นเล่า บุปผาเก้าใบดอกใหญ่ดอกหนึ่งห่อหุ้มบุปผาเก้าใบดอกเล็กเอาไว้… เป็นเช่นนี้ มีบุปผาเก้าใบถึงเจ็ดดอกด้วยกัน
มีพลังจิตแข็งแกร่งเช่นนี้ สามารถสำแดงบุปผาเก้าใบเจ็ดดอกออกมาได้พร้อมกัน…
เมื่อมีเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด ก็มีส่วนช่วยวิญญาณอย่างมหาศาล และมีสาเหตุคือกินศิลาปฐมโลกาลงไปถึงสองแสนก้อนด้วย
“ยังคิดจะสกัดข้าอีกรึ” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนยิ้มเย็นพลางพุ่งตรงไปทางกลีบดอกไม้แก้วผลึกสีดำขนาดมหึมาตรงหน้าเสียงดังกัมปนาท กำปั้นหนึ่งของเขาแปรเปลี่ยนเป็นน้ำวนหลากสีสัน เมื่อปะทะเข้ากับกลีบดอกไม้สีดำกลับฉีกทึ้งออกไปได้อย่างยากลำบาก เพียงแค่กระแทกกลีบดอกไม้สีดำชั้นแรกให้เปิดออกได้อย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อปะทะเข้ากับกลีบดอกไม้สีดำชั้นที่สอง พลังก็ชะงักค้างไปเสียแล้ว
เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง พลังฟ้าดินก็โหมซัดกลายเป็นน้ำวน และแล้วก็มีบุปผาเก้าใบสีดำดอกหนึ่งโอบล้อมอยู่ชั้นนอกสุด ยังคงเป็นเจ็ดดอกดังเดิม
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนไม่อยากจะเชื่อ การโจมตีสุดกำลังครั้งหนึ่่งของตน กลับแค่ทำลายกลีบดอกไม้ไปได้เพียงชั้นเดียวเท่านั้นหรือนี่
เขามองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวด้านนอก
ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ
ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็แค่มีการรักษาชีวิตที่ร้ายกาจเท่านั้น การประมือซึ่งหน้าไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของตนได้ ตนควรจะทำลายได้อย่างง่ายดายจึงจะถูกต้อง ไยจึงถูกกักขังอยู่ภายในดอกไม้สีดำได้เล่า ที่ถึงแก่ชีวิตที่สุดก็คือ ต่อให้ตอนนี้ร่างกายกลายเป็นแสงสีทองหลบหนีไปทั่วสารทิศ ดอกตูมสีดำก็ปิดผนึกอย่างสิ้นเชิงจนหนีไม่พ้นเลย!
“พี่ใหญ่” สตรีอาภรณ์ดำด้านข้างก็มึนงงไปบ้างเช่นกัน มารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าก็หนีไม่พ้นอย่างนั้นหรือ
“เขา เขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนรู้สึกหนาวเหน็บใจ เขาพอจะเข้าใจได้รางๆ แล้วว่าครั้งนี้หายนะยากหลบเลี่ยงเสียแล้ว
ส่วนกลางอากาศนอกดอกตูมสีดำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศ แต่กลับส่งสารให้เหล่าเทพจักรวาลเพื่อแจ้งสถานการณ์ให้ทราบเรียบร้อยแล้ว
……………………………….