Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 3 จิ้งชิวออกจากการปลีกวิเวก
จักรวาลอลหม่าน คือรูปแบบแรกเริ่มของจักรวาล ขณะนี้สรรพสิ่งต่างๆ ล้วนยังมิได้ถือกำเนิดขึ้น มันมีความเป็นไปได้อันไร้ซึ่งขีดจำกัด
แต่การจะทำให้จักรวาลอลหม่านวิวัฒน์เป็นจักรวาลอันแท้จริงนั้นเป็นความชุลมุนวุ่นวายล้วนๆ กฎเกณฑ์นั้นเมื่อเปรียบกันแล้วบริสุทธ์เรียบง่ายกว่า แต่การสัญจรจักรวาลนั้นกลับมีกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนกว่าไม่รู้ตั้งเท่าใด ความซับซ้อนพรรค์นี้…มิได้ชุลมุนวุ่นวาย แต่เป็นการที่กฎเกณฑ์ของทุกสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นเหล่าผู้ล้ำเลิศร้ายกาจจำนวนมากถึงกับสิ้นไร้ความหวังในการบรรล
ยกระดับไปถึงชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวตอนยังเป็นขั้นอลวน
ระดับความยากในการบรรลุนี้ช่างสูงเหลือเกิน
อ้างอิงจากบันทึกประวัติศาสตร์ ผู้ที่บรรลุเป็นเทพจักรวาล ยามที่เป็นขั้นอลวน พลังยุทธ์อ่อนแอที่สุดโดยประมาณ ต่างก็เป็นชั้นที่แปดขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งสิ้น! ถึงแม้ว่าในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจะไม่มีเจดีย์ดาว ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากของโลกทิพย์โบราณและโลกจอมมารดาก็มิได้บุกผ่านเจดีย์ดาว แต่ก็สามารถตัดสินพลังยุทธ์โดยเปรียบเทียบได้ เปรียบเทียบกันได้ว่าผู้ที่สามารถเป็นเทพจักรวาลได้นั้นต่างก็สั่งสมกันมาอย่างค่อนข้างแน่นหนา อย่างน้อยก็เป็นชั้นที่แปดขั้นสุดยอด
“ครืน…” ภายในห้องเงียบมีน้ำวนพลังฟ้าดินก่อตัวขึ้น น้ำวนเริ่มจะสลายตัว กลางหลุมอากาศของน้ำวนมีพลังฟ้าดินปริมาณมหาศาลพรั่งพรู พลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดถูกจักรวาลภายในกายของตงป๋อเสวี่ยอิงดูดซับอย่างต่อเนื่อง ทำให้จักรวาลภายในกายเจริญขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ความเคลื่อนไหวนี้ค่อนข้างใหญ่โตจนก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาภายในวังทวีสูญ
ความเคลื่อนไหวอันใหญ่หลวงเช่นนี้มียอดเขาหลิงอวิ๋นเป็นจุดกำเนิดอย่างนั้นหรือ หรือว่าผู้อาวุโสตงป๋อบรรลุเป็นขั้นอลวนแล้ว
ทั้งยังมีคนพูดว่า “นี่เพิ่งจะปลีกวิเวกมาสามร้อยกว่าปีเท่านั้น จะรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน! เคล็ดวิชาโลกเทียมที่ผู้อาวุโสตงป๋อสำแดงก็ดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างร้ายกาจยิ่ง อาจจะเป็นเคล็ดวิชาเจาะลึกก็เป็นได้”
“ผู้อาวุโสตงป๋อนั้นมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ปลีกวิเวกสามร้อยกว่าปีก็กลายเป็นขั้นอลวน ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย”
รอบด้านพากันวิพากษ์วิจารณ์
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับปลีกวิเวก ไม่ได้ถูกรบกวนใดๆ บรรพชนเทียนอวี๋และประมุขตำหนักอลหม่านเองก็มิได้พูดอะไรกับภายนอกเลย
……
ผ่านไปเนิ่นนาน
น้ำวนพลังฟ้าดินนี้จึงค่อยเลือนหายไป จักรวาลอลหม่านภายในร่างกายเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์
“จักรวาลอลหม่านยังถูกเรียกว่าจักรวาลขนาดย่อส่วนด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสรับรู้จักรวาลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลรากฐานโลกเทียมภายในร่างกายตนเอง
อันที่จริงแล้วจักรวาลขนาดย่อส่วนแห่งนี้ก็ค่อนข้างกว้างใหญ่ไพศาล
พลังอลหม่านที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในพรั่งพรู เขตลวงที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนกระเพื่อมขึ้นลง ในท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คือจักรวาลที่วิวัฒน์ขึ้นมาโดยมีวิถีโลกเทียมเป็นพื้นฐาน เป็น ‘จักรวาลโลกเทียมขนาดย่อส่วน’
“มีพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว หวังว่าในอนาคตจะสามารถทำให้จักรวาลขนาดย่อส่วนนี้วิวัฒน์ได้สำเร็จอย่างแท้จริง บ่มเพาะสรรพชีวิต เปลี่ยนแปลงเป็นจักรวาลแห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ทันใดนั้นก็อาศัยกฎเกณฑ์ของ ‘จักรวาลโลกเทียมขนาดย่อส่วน’ เริ่มต้นสร้างวิญญาณของตนเองใหม่ แต่เพราะว่าเคยบรรลุศาสตร์โบราณแล้ว ดังนั้นคราวนี้จึงยกระดับวิญญาณได้น้อยนิด เพียงแค่สองสามส่วนเท่านั้น
การบำเพ็ญไปควบคู่กันก็เป็นเช่นนี้
การบรรลุในครั้งแรกมีส่วนช่วยเหลือวิญญาณเป็นอย่างมาก บรรลุระบบอื่นๆ นั้นก็เป็นเพียงแค่เครื่องประดับตกแต่งวิญญาณเท่านั้น มีส่วนช่วยเหลืออ่อนแอลงเรื่อยๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบจิตใจหยั่งรู้วิถีโลกเทียมในทันที…
“พรึ่บๆๆ…”
เพิ่งจะบรรลุ
มีความคิดมากมายเหลือเกินเกี่ยวกับการโคจรของจักรวาลโลกเทียมขนาดย่อส่วน แสงทิพย์วิญญาณ์จำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรู เป็นถึง ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ ที่เคยคิดค้นออกมา เคยรู้สึกถึง ‘ความรู้สึกงดงาม’ อันสมบูรณ์แบบเช่นนั้นแล้ว สำหรับกฎเกณฑ์จักรวาลโลกเทียมขนาดย่อส่วน ก็ย่อมต้องไล่ตามความรู้สึกงดงามเช่นนั้นอยู่แล้ว! นี่คือความแตกต่างของการหยั่งรู้ เคยรู้สึกมาแล้ว เขาก็ยิ่งไล่ตามอย่างมีเป้าหมาย
ภายใต้การไล่ตามอย่างมีทิศทางที่ชัดเจน วิถีโลกเทียมก็ซับซ้อนน้อยลงเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
“ปัง” ปลีกวิเวกไปเพียงแค่ห้าล้านปีเศษเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หลอมเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดแปดแปรได้สำเร็จ! นี่ก็เท่ากับว่าเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวแล้ว นี่มิใช่เรื่องยากเลยจริงๆ ต่อให้เป็นขั้นอลวนธรรมดาๆ มีระยะเวลาในการบำเพ็ญนานสักหน่อยก็สามารถไปถึงระดับชั้นที่เจ็ดได้แล้ว ‘เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง’ ของประมุขวังปาอวิ่นก็ไปถึงระดับชั้นที่เจ็ดแล้วเช่นกัน
แต่ว่าประมุขวังปาอวิ่นนั้นบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุด ทั้งยังดูเหมือนว่าการจะก้าวหน้าได้นั้นช่างยากเย็นเป็นที่สุด
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เวลาเพียงแค่ห้าล้านปีเศษเท่านั้น! ระยะเวลาเท่านี้ก็ทำให้คนตกใจได้แล้ว สามารถคาดการณ์ได้ว่าเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเก้าแปรนั้นก็มิใช่เรื่องยากสำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงเลย
“เนิ่นช้าเสียแล้ว”
“ยิ่งลึกล้ำ การตระหนักรู้วิถีโลกเทียมก็ยิ่งยาก เกรงว่าจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาสั่งสมเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเก้าแปรค่อนข้างนานเลยทีเดียว” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทจิตใจหยั่งรู้วิถีโลกเทียมเพียงอย่างเดียวมาสิบล้านปีแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจว่าการจะไปถึงปีศาจชาดเก้าแปรนั้นจะต้องใช้เวลาเป็นหน่วย ‘ร้อยล้านปี’ จำเป็นจะต้องสั่งสมเป็นระยะเวลาเนิ่นนานจึงจะสามารถทำได้สำเร็จ
แต่เมื่อสิ่งนี้แพร่ออกไปแล้วก็เพียงพอที่จะทำให้ขั้นอลวนจำนวนมากอิจฉาริษยา
ต้องรู้ไว้ว่าเพื่อให้ไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่แปด จอมมารก็บำเพ็ญอย่างเนิ่นนานยิ่ง ทั้งยังอาศัยเคล็ดร่างแปรทั้งหกจึงจะสามารถทำได้ ยากเข็ญเพียงใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งพล่านไปขัดเกลาตน เพียงแค่การปลีกวิเวกบำเพ็ญกลายเป็นขั้นอลวนในครั้งแรกก็สามารถตัดสินได้อย่างผิวเผินแล้วว่าเพียงแค่อาศัยเวลาอีกสักเล็กน้อยก็จะสามารถไปถึงปีศาจชาดเก้าแปรได้แล้ว!
“ฝึกฝนวิถีเข่นฆ่าอีกครั้งเถิด” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าความก้าวหน้าของวิถีโลกเทียมเชื่องช้าลงแล้วก็เริ่มต้นฝึกฝนวิถีเข่นฆ่าที่เชี่ยวชาญอีกศาสตร์หนึ่ง
ยามที่คิดค้นเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายออกมา ซึ่งเป็นการหลอมรวมกันของวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่า เขาก็เคยประสบกับความสมบูรณ์แบบของวิถีเข่นฆ่านั้นแล้วเช่นกัน ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญวิถีเข่นฆ่าเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
บำเพ็ญมาครึ่งเดือน
เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงก็เป็นแปรที่เจ็ดแล้ว!
บำเพ็ญอีกสามสิบหกล้านปีเศษ เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงจึงจะเป็นแปรที่แปด!
“พรสวรรค์ทางด้านวิถีเข่นฆ่าของข้าย่ำแย่กว่าวิถีโลกเทียมอยู่พอสมควรจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการประเมินอย่างเงียบๆ
“เริ่มต้นเถิด”
“ตอนนี้เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด และเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงต่างก็เป็นแปรที่แปดแล้ว… ควรจะทดลองคิดค้นเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่สองได้แล้ว” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววคาดหวังรอคอย
เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นผู้คิดค้นเข้าใจดีว่าวิถีเข่นฆ่าและวิถีโลกเทียมที่อยู่ภายในนั้นจำเป็นจะต้องไปถึงจุดสมดุลจุดหนึ่ง นี่คือเงื่อนไขของการคิดค้นเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย
“พรึ่บๆ…”
จากนั้น
ภายในห้องเงียบ โลกลวงแห่งแล้วแห่งเล่าปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าต่างก็สลายไปทุกครั้งที่บ่มเพาะเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายขึ้นมาใหม่ ความเร้นลับของวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมในตอนนี้สูงส่งลึกล้ำกว่าตอนที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าระดับความยากนั้นกลับลดต่ำลง เพราะเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายชั้นที่เจ็ดที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งคิดค้นออกมานั้นจำเป็นจะต้องสมบูรณ์แบบ นั่นหมายถึงความเป็นที่สุดอย่างหนึ่ง แต่ในยามนี้กลับไม่เหมือนกัน ทั้งวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าต่างก็ยังสามารถยกระดับได้อีก ยังอีกไกลกว่าจะถึงจุดสูงสุด รู้สึกว่า ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ ยังขาดอะไรบางอย่างไป ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำให้วิถีเข่นฆ่าและวิถีโลกเทียมยกระดับไปชดเชยข้อบกพร่องนั้น
ดังนั้นอีกเพียงแค่สามสิบแปดล้านปี
“พรึ่บ”
ดอกตูมสีดำดอกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศภายในห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดอกไม้ตรงหน้าพลางเผยสีหน้ายินดี ดอกตูมสีดำดอกนี้มีใบไม้สีดำถึงหกใบ กลีบดอกก็มีหกกลีบ โครงสร้างก็ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง มีความซับซ้อนขึ้นเป็นอย่างมาก
“ดอกไม้ผลิบาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
ดอกตูมสีดำผลิบาน กลีบทั้งหกเบ่งบาน
กลีบดอกสีดำทั้งหกและใบไม้สีดำพลันสลายตัวแล้วเปลี่ยนแปรกลายเป็นกระแสอากาศสีดำหกสาย บีบรัดทุกสิ่งทุกอย่างภายใน ภายในล้วนเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทจนสิ้น ทั้งหมดล้วนสูญสลาย
“เคล็ดวิชานี้มีพลังคุกคามมหาศาลเลยทีเดียว สะสมได้แข็งแกร่งกว่าเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายในตอนแรกเจ็ดดอกเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงประเมินอย่างเงียบๆ “บางทีอาจมีพลังคุกคามระดับชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวเลยทีเดียวกระมัง” นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ถึงอย่างไรหากมิได้ไปบุกเจดีย์ดาวก็มิอาจตัดสินใจได้อย่างแน่ชัด
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ
ภายในโลกลวงสามแห่งที่อยู่รอบๆ บ่มเพาะดอกไม้สีดำหกกลีบออกมาพร้อมกัน
ทั้งหมดสามดอก
“เป็นภาระต่อพลังจิตมากเกินไป สามารถสำแดงออกมาพร้อมกันได้เพียงสามดอกเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ถ้าหากข้ามิได้บำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด คาดว่าคงจะสำแดงออกมาได้เพียงดอกเดียวเท่านั้นกระมัง”
เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดทำให้วิญญาณของตนแข็งแกร่งเป็นสามสี่เท่าของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนในระดับเดียวกันโดยประมาณ
ถึงแม้ว่ายามที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นดูเหมือนว่าเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดจะยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นเพราะในตอนนั้นวิญญาณเป็นระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งจึงสามารถยกระดับอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนหนึ่งบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด วิญญาณแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เช่นนั้นปีศาจชาดหกแปรแรก… เกรงว่าคงจะมีส่วนช่วยเหลือวิญญาณเพิ่มขึ้นไม่ถึงหนึ่งส่วนเสียด้วยซ้ำ! ดังนั้นตอนที่ตนเป็นขั้นอลวน การยกระดับวิญญาณจึงมิได้เห็นอย่างชัดเจนถึงเพียงนั้น
แต่สามสี่เท่านี้… ก็เพียงพอที่จะทำให้คนพรั่นพรึงแล้ว!
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
เพียงพริบตาเดียวตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปลีกวิเวกผ่านไปถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบล้านปีแล้ว
“เสวี่ยอิง ข้าออกจากการปลีกวิเวกแล้ว”
ข้อความหนึ่งส่งมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังอยู่ระหว่างการปลีกวิเวกฝึกฝนลืมตาขึ้นด้วยความตื่นเต้นยินดีในทันใด วิญญาณอาวุธของวัตถุส่งสารของเขาได้รับคำสั่งเอาไว้ก่อนแล้วว่าสำหรับข้อความที่ผู้อื่นส่งมานั้น นอกเสียจากมีเรื่องใหญ่คอขาดบาดตายแล้วก็ห้ามรบกวนตน! แต่ข้อความของอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยานั้นกลับไม่จำเป็นต้องขัดขวางเลย
“จิ้งชิวนางออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงปิติยินดีอย่างเต็มหัวใจ
พรึ่บ
นึกคิดคราหนึ่ง มิติด้านข้างก็บิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็เข้าไปในนั้น มุ่งหน้าไปยังจักรวาลภูมิลำเนาอันไกลโพ้น
……
“เจ้านาย มีสิ่งมีชีวิตที่บรรลุแล้วไปจากวังทวีสูญขอรับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำสายหนึ่งดังขึ้นภายในลานบ้าน บรรพชนเทียนอวี๋ที่หลับตาอยู่คล้ายกำลังหลับพลันลืมตาขึ้นในทันใด บนใบหน้าเผยอารมณ์ “เจ้ามารายงาน หรือว่าจะมีเหตุผลอันใดเป็นพิเศษเล่า”
“ใช่แล้วขอรับ ข้ามิอาจตรวจสอบทิศทางที่เขาไปได้ สามารถตัดสินได้เพียงว่าภายในบริเวณที่ข้าสังเกตการณ์อยู่นั้นมีชีวิตหนึ่งออกไปเท่านั้นขอรับ” เสียงต่ำของวิญญาณอาวุธดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บรรพชนเทียนอวี๋สีหน้าเคร่งขรึม
วิญญาณอาวุธตนนี้เป็นวิญญาณอาวุธของค่ายกลผู้รักษากฎที่เป็นความลับที่สุดแห่งหนึ่งของวังทวีสูญ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเมืองหลัวและบรรพชนทิพย์ร่วมมือกันสร้างขึ้น มีค่ายกลผู้รักษากฎแห่งนี้อยู่… วังทวีสูญจึงนับได้ว่าแข็งแกร่งดุจหินผา ต่อให้เป็น ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ อันเร้นลับ ถึงแม้ว่าค่ายกลผู้รักษากฎจะไม่สามารถขัดขวางการส่งผ่านเช่นนี้ได้ แต่กลับสามารถสังเกตการณ์สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ภายในตัวมันได้
มีสิ่งมีชีวิตจากภายนอกมา ก็ย่อมสามารถค้นพบได้ในทันที
“ผู้ใดกัน” บรรพชนเทียนอวี๋ถาม ถ้าหากเป็นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ช่วยใครทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น วิญญาณอาวุธก็ย่อมไม่มีทางมารายงานอยู่แล้ว
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” วิญญาณอาวุธพูด
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋สะดุ้งคราหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ถามขึ้นว่า “เป็นเขาที่จากไปเอง หรือมีผู้แกร่งกล้าคนอื่นช่วยส่งเขาออกไป”
“เป็นเขาจากไปเองขอรับ” วิญญาณอาวุธพูด
บรรพชนเทียนอวี๋ตะลึงงันไปเสียแล้ว
จากไปเองอย่างนั้นหรือ
การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นนั้นเป็นความเร้นลับอย่างยิ่ง เช่นวิถีผู้ท่องอากาศนั้น ผู้ที่เชี่ยวชาญการควบคุมอากาศก็ยังต้องไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาล ทางสายประมุขหอหมื่นโลกาก็สามารถทำได้ แต่เพียงแค่แมวน้อยแมวใหญ่สองสามตัวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็ยังต้องอาศัยศาสตร์โบราณ! ผู้มีพรสวรรค์ของศาสตร์โบราณนั้นแปลกประหลาดยิ่ง ก็มีผู้ที่เชี่ยวชาญการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น
“เขาจากไปเองอย่างนั้นหรือ เขาสามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้อย่างนั้นหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋ไม่อยากจะเชื่อ
การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เทพจักรวาลจำนวนมากล้วนไม่สามารถทำได้ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งต่างก็พยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ภายในขุมอำนาจของตนมีผู้เชี่ยวชาญการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอยู่สักคนหนึ่ง หากไม่มีก็ต้องไปเชื้อเชิญยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่มีความเชี่ยวชาญมาเข้าร่วมขุมอำนาจของตน! เช่นก่อนหน้านี้วังทวีสูญก็มีประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เชี่ยวชาญอยู่คนหนึ่ง มีประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์แล้วเหล่าผู้แกร่งกล้าจำนวนมากของวังทวีสูญจึงสามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างผ่อนคลายสบายใจ แม้กระทั่งชายขอบของห้วงอากาศก็ยังสามารถไปถึงได้อย่างรวดเร็ว
หากไม่มีประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์หรือ ทั้งวังทวีสูญคงต้องเป็นบื้อใบ้!
“ทางด้านศาสตร์โบราณของตงป๋อเสวี่ยอิงมิใช่เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงหรอกหรือ หรือว่าจะมีพรสวรรค์ยิ่งกว่านั้น จะมีพรสวรรค์ทางด้านห้วงอากาศด้วย อ้อ เขาเป็นผู้ท่องอากาศ บางทีอาจจะมีพรสวรรค์ทางด้านห้วงอากาศจริงๆ ก็เป็นได้” บรรพชนเทียนอวี๋อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมามิได้
…………………………………………..