Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 31 ก่อนการปะทุ
ในแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งในอากาศอันสับสนอลหม่าน มีฝูงมารผลาญทำลายหกตนอยู่อย่างสันโดษอยู่ที่นั่น ซึ่งมีผู้นำก็คือ ‘แม่ทัพโม่กู่’
“แม่ทัพโม่กู่ เหล่าอ๋องมีคำสั่งอย่างเข้มงวดว่าจะต้องไปที่ดินแดนรกร้างอย่างที่สุด” ลูกน้องทั้งห้าต่างก็เอ่ยแนะนำ
“พวกเรามาซ่อนตัวกันถึงที่แผ่นดินอลหม่านแล้ว ยังต้องซ่อนตัวอีกหรือ” แม่ทัพโม่กู่ผู้มีรูปร่างสูงผอมและดวงตาสามเหลี่ยมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็นเพราะเจ้าคนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นนั่นแหละ มีอะไรน่ากลัวกันเล่า ถ้าเทพจักรวาลโจมตีเข้ามา ข้าก็สามารถพาพวกเจ้ากลายเป็นอากาศธาตุ เคลื่อนที่ผ่านอากาศจากไปได้ในพริบตา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญขั้นอลวนคนหนึ่งเลย”
เขามีความมั่นใจ
นอกจากข้อบกพร่องที่สภาพจิตใจและพลังการต่อสู้ซึ่งหน้าอ่อนแอไปสักหน่อยแล้ว พรสวรรค์ ‘ไร้เงา’ ของเขาก็น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง ถึงอย่างไรต่อให้เป็นเทพจักรวาล ก็มีอยู่ไม่กี่คนที่สามารถทำลายกรงขังอากาศอันสับสนอลหม่านนี้ได้อย่างแท้จริง ถ้าหากเขากลายเป็นอากาศธาตุ ต่อให้เป็น ‘บุปผาเก้าใบ’ เขาก็สามารถ ‘ทะลุผ่าน’ จากไปได้อย่างง่ายดาย
ถึงอย่างไรบุปผาเก้าใบก็อยู่ภายในห้วงอากาศ
กระทั่งป้อมปราการอากาศที่เหล่าเทพจักรวาลร่วมมือกันใช้พลังจิตอันไร้ที่สิ้นสุดสร้างขึ้นมา เขาก็สามารถทะลุผ่านได้ บุปผาเก้าใบจะนับเป็นอะไรได้เล่า
“แม่ทัพโม่กู่ ท่านมีสถานะสูงส่ง มิอาจให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย เหล่าอ๋องมีคำสั่งอย่างเข้มงวด พวกเราก็ได้แต่ปฏิบัติตามเท่านั้น” อีกห้าท่านต่างก็มองดูแม่ทัพโม่กู่
แม่ทัพโม่กู่ขบกราม
แต่จากสัญชาตญาณการใช้ชีวิต เขาเองก็ไม่กล้าขัดขืน
“เอาล่ะๆ ก็ซ่อนตัวอีกก็แล้วกัน แต่ว่า… เมื่อใดพวกเราจึงจะสามารถกินกันตามอำเภอใจอีกคราวได้เล่า” ดวงตาของแม่ทัพโม่กู่แดงก่ำอยู่บ้าง วิญญาณก็กำลังกระหายอยาก ตอนนั้นการกลืนกินประมุขวังอวี้เฉี่ยนและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองขนาดมหึมาเมื่อคราวนั้น เป็นช่วงเวลาที่สุขสันต์ที่สุดในชีวิตเขาเลยทีเดียว จนกระทั่งถึงตอนนี้ผ่านมาหลายหมื่นล้านปี เขาก็ยังยากที่จะลืมช่วงเวลาอันงดงามนั้นไปได้
“เหล่าอ๋องมีบัญชามาก่อนแล้วว่าเมืองที่มีขั้นอลวนอยู่ การรักษาการณ์ค่อนข้างเข้มงวด ทุกครั้งที่สังหารขั้นอลวนคนหนึ่งตาย ก็ยิ่งกระตุ้นเหล่าเทพจักรวาลอย่างใหญ่หลวงมากยิ่งขึ้น และท่าน แม่ทัพโม่กู่ ก็มีสถานะพิเศษ ทั้งยังออกมาเป็นครั้งแรก จึงได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวได้ครั้งหนึ่ง ยังคิดอยากจะเคลื่อนไหวอีกหรือ ก็ต้องรอให้ท่านแม่ทัพไปถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่แปดขั้นสุดยอดเสียก่อน” คนอื่นอีกห้าคนต่างก็ให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ
“ชั้นที่แปดขั้นสุดยอดหรือ”
แม่ทัพโม่กู่ลอบพึมพำ
ง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน เขากินประมุขวังอวี้เฉี่ยนไปในคราวนั้นมีส่วนช่วยเหลืออย่างยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้พลังยุทธ์ของเขาไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่แปดอย่างรวดเร็ว ต่อมาการยกระดับก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ
“ไปๆๆ” แม่ทัพโม่กู่อยู่ภายในวังอันหรูหรา สายตาทะลุผ่านวังกวาดผ่านไปทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่าน “ก่อนจะไป รอให้ข้ากินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแผ่นดินอลหม่านนี้ให้เรียบเสียก่อนนะ”
“นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
คนอื่นอีกห้าคนมิได้ห้ามปรามอีกต่อไป
ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่แผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งเท่านั้น มีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดบุกเข้ามาในแผ่นดินอลหม่านอยู่เป็นประจำ กืนกลินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งจนสิ้น พวกเขาเพียงแค่ต้องซ่อนเร้นกลิ่นอาย ปกปิดพลังยุทธ์เท่านั้น ถึงอย่างไรพอถึงเวลาที่ทางฝั่งผู้บำเพ็ญมาตรวจสอบย้อนหลัง ก็สามารถตรวจพบได้เพียงแค่รูปลักษณ์ที่พวกเขาแปลงกายเป็นผู้บำเพ็ญเท่านั้น ย่อมไม่มีทางล่วงรู้ว่าเป็นฝีมือของฝูงมารผลาญทำลายอยู่แล้ว
ไม่นานนัก
ท่ามกลางความสิ้นหวังของสิ่งมีชีวิตล้านล้านชีวิตของแผ่นดินอลหม่าน แต่ละคนต่างก็พากันเหินลอยขึ้น ห้วงอากาศล้วนบิดเบี้ยว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนลอยเข้าไปในปากของแม่ทัพโม่กู่ด้วยการเคลื่อนที่ผ่านอากาศ
หลังจากกินอย่างหนำใจแล้ว แม่ทัพโม่กู่ก็จากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งห้าอย่างเงียบเชียบ ไปซ่อนตัวที่ดินแดนรกร้างแห่งหนึ่งอย่างแท้จริง
……
ตั้งแต่คราวก่อนก็นับได้ว่าได้อะไรมาบ้าง ต่างก็ไม่สามารถจับเป็นพวกเขามาทำการไต่สวนสืบเสาะได้ หลังจากทำได้เพียงบีบเค้นให้ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสองตนฆ่าตัวตายแล้ว การสืบเสาะต่อไปของตงป๋อเสวี่ยอิง…ก็ไม่มีผลสำเร็จแต่อย่างใดอีก! อันที่จริงเขาก็สามารถเดาได้ว่าสุดท้ายแล้วอากาศอันสับสนอลหม่านก็กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป จากโลกทิพย์แห่งหนึ่งไปยังโลกทิพย์อีกแห่งหนึ่ง เทพอากาศสักคนเดินทางผ่านทางเชื่อมกาลมิติตลอดเวลาก็ยังต้องเนิ่นนานเป็นแสนล้านปี
ถ้าหากต้องการตรวจสอบทุกหนแห่ง เช่นนั้นก็ไร้ซึ่งที่สิ้นสุดจริงๆ เสียแล้ว
เหล่าเทพจักรวาลของโลกทิพย์ทั้งสามต่างก็เข้าใจกันดีว่าเมื่อใดที่ฝูงมารผลาญทำลายต้องการหลบซ่อนตัวจริงๆ แล้ว เช่นนั้นก็แทบจะไม่มีความหวังในการสืบหาตัวได้พบ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าภารกิจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกือบจะนับได้ว่าสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว
พวกเขาให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสืบหา…
แต่ก็มิได้ต้องการให้สืบหาตัวออกมาได้ทั้งหมดจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใดต่างก็ไม่สามารถทำได้กันทั้งสิ้น
วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของพวกเขาในตอนนั้นก็คือเพื่อการยืนยันว่าในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายนั้นมี ‘อ๋อง’ บุกเข้ามาจริงๆ แล้วป้อมปราการอากาศต้านทานไม่อยู่จริงๆ หรือไม่ ถ้าหากทำได้ สามารถจับเป็นสักตนหนึ่งมาแล้วตรวจตราดวงวิญญาณ ล่วงรู้ความลับมากขึ้นได้ก็ยิ่งดี! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับได้ว่าเกือบจะทำสำเร็จแล้ว เพียงแต่การจับเป็นมาตรวจตราดวงวิญญาณนั้นยากเย็นเกินไป เหล่าเทพจักรวาลต่างก็ไม่มีความมั่นใจ
เช่นประมุขเหยากวง ถึงแม้ว่าจะสามารถตรวจสอบบริเวณโดยรอบได้ แต่ก็ไม่มีทางควบคุมดวงวิญญาณของฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองได้เลย
ถึงแม้ว่าเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงจะร้ายกาจ แต่สภาวะจิตใจของฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองเหล่านี้แต่ละตนล้วนเยี่ยมยอด ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียการควบคุมตนเอง ก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองชั้นที่แปดขั้นสุดยอดที่อ่อนแอสักหน่อย ต่างก็ติดตามระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดแล้วทำการเคลื่อนไหวพร้อมกัน
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางไปทั่วสารทิศเช่นเดิม
ระยะเวลาในคราวนี้ก็ยิ่งเนิ่นนาน เพราะว่าไม่ได้อะไรเลยมาโดยตลอด เขาจึงค่อยๆ เริ่มอาศัยการบำเพ็ญเป็นหลัก สำหรับการสืบหาฝูงมารผลาญทำลายนั้นก็มิได้ตั้งความหวังเอาไว้มากมายสักเท่าใดนัก
“ตงป๋อ กลับมาเร็วเข้า”
วันหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดินทางเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกได้รับข้อความของบรรพชนเทียนอวี๋แล้วก็มิได้ไถ่ถามอะไรมากมาย เขาทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นกลับมายังวังทวีสูญในทันที
“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าประมุขตำหนักจำนวนมากมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างรวดเร็ว ประมุขตำหนักสิบสามคนของวังทวีสูญ นอกจากร่างจริงแปดร่างที่ต่างก็อยู่นอกป้อมห้วงอากาศแล้ว ร่างจริงอีกห้าร่างต่างก็กลับมาถึงภายในวังทวีสูญ ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างนอกเลยแม้แต่คนเดียว!
“หากร่างจริงไม่อยู่ที่ป้อมห้วงอากาศ เช่นนั้นก็ล้วนกลับมาที่นี่กันหมดแล้ว มีเรื่องอันใดหรือ ท่านบรรพชน มีเรื่องใหญ่อันใดกัน จึงจำเป็นจะต้องให้ร่างจริงของพวกเรากลับมาด้วย”
เหล่าประมุขตำหนักทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกันอยู่ ณ ที่พำนักของประมุขตำหนักอลหม่าน ถึงอย่างไรประมุขตำหนักอลหม่านก็คล้ายจะเป็นหัวหน้าของพวกเขามาโดยตลอดอยู่แล้ว
……
เหล่าประมุขตำหนักและผู้อาวุโสตำหนักในมารวมตัวกันทั้งหมด และภายในลานอีกแห่งหนึ่งของวังทวีสูญก็มีเทพจักรวาลสามท่านอยู่ที่นี่ ได้แก่บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ และอีกคนหนึ่งก็คือราชันย์มีด
“คราวนี้รบกวนราชันย์มีดแล้วจริงๆ ให้ราชันย์มีดมาประจำที่วังทวีสูญของข้า” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างซาบซึ้ง
“ถึงแม้ว่าบรรพชนทิพย์และเจ้าเมืองหลัวต่างก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือวังทวีสูญของเจ้า แต่ข้ามานั่งประจำการก็จะปลอดภัยขึ้นมาบ้าง” ราชันย์มีดพูดยิ้มๆ “มีข้าอยู่ อีกทั้งอาศัยอำนาจของวังทวีสูญ… ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาเอง ใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลหลอมสมบัติลับออกมา ต่อให้ตีจนโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแหลกสลาย แต่คราวนี้อย่าได้คิดจะทำลายวังทวีสูญแม้แต่อึดใจเดียว นอกจากนี้ ถ้าเขาบ้าบิ่นไม่แยแสสิ่งใดจริงๆ ถึงเวลานั้นท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง และบรรพชนทิพย์ก็จะ… ลงมือ”
“อืม” บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า
เพื่อวันนี้
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกต่างก็เตรียมการมาเป็นระยะเวลายาวนานยิ่ง แม้กระทั่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็ยังเต็มใจช่วยเหลือ
“จอมกระบี่ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ” ราชันย์มีดมองไปทาง ‘จอมกระบี่’ บุรุษผมขาวที่อยู่ด้านข้าง “ทุกฝ่ายต่างก็เตรียมการพร้อมแล้ว ถึงขนาดไม่กลัวที่จะเปิดศึกอีกครั้ง เจ้าทางนี้ก็อย่าให้เกิดความบกพร่องล่ะ”
จอมกระบี่แย้มยิ้มน้อยๆ “รบกวนทุกท่านให้ช่วยเหลือ ช่างซาบซึ้งยิ่งนัก สำหรับเรื่องของข้านั้น… โปรดวางใจได้อย่างเต็มที่ เพียงแค่เวลาล่าช้าไปสักเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว!”
พอได้ยินว่ามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ราชันย์มีดก็อดดวงตาเป็นประกายมิได้ เขาพยักหน้าน้อยๆ พลางลอบทอดถอนใจ…
มิน่าเล่าจึงได้เข้าตาท่านท่านอาจารย์
ช่างล้ำเลิศอย่างแท้จริง
“ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะนะ” บรรพชนเทียนอวี๋ก็หัวเราะหึๆ “ตอนนี้ประมุขตำหนักและผู้อาวุโสตำหนักในของวังทวีสูญของข้า หากไม่อยู่ในป้อมห้วงอากาศ ก็กลับมาอยู๋ในวังทวีสูญกันหมดแล้ว ทั้งหมดล้วนเตรียมการเรียบร้อย สามารถเริ่มลงมือได้ทุกเวลา”
“ในเมื่อทุกฝ่ายต่างก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องล่าช้าต่อไปอีก ก็เป็นวันนี้เลยแล้วกัน” จอมกระบี่พูด
“ได้สิ” ราชันย์มีดและบรรพชนเทียนอวี๋ต่างก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่ง หวังจะได้เห็นฉากนั้น
นี่คือสิ่งที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก หรือแม้กระทั่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ต่างก็อยากที่จะเห็นกันทั้งสิ้น
…………………………………..