Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 32 การกระตุ้น
เหล่าศิษย์ทั่วไปภายในวังทวีสูญยังไม่ล่วงรู้ แต่เหล่าผู้อาวุโสตำหนักในและประมุขตำหนักสิบสามคนต่างก็รู้สึกได้ถึง ‘พายุฝนตั้งเค้า’ พวกเขาก็เคยถามบรรพชนเทียนอวี๋มาก่อนแล้ว แต่บรรพชนเทียนอวี๋กลับมิได้พูดให้ละเอียด เพียงแต่มีคำสั่งลงมาว่า “นับจากบัดนี้เป็นต้นไป ถ้าพวกเจ้ามิได้คอยท่าอยู่ที่ป้อมห้วงอากาศ เช่นนั้นก็ต้องอยู่ภายในวังทวีสูญ มิอาจออกไปอยู่ข้างนอกได้! ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็มิอาจออกไปได้”
มีคำสั่งลงมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าประมุขตำหนักทั้งสิบสามคนกำลังดื่มสุราสนทนาอยู่ด้วยกัน
“ช่างแปลกเสียจริง วังทวีสูญก่อตั้งมาจนถึงบัดนี้ ท่านบรรพชนก็ไม่เคยมีคำสั่งเช่นนี้มาก่อนเลย”
“ป้อมห้วงอากาศคือปราการที่สำคัญที่สุดที่ใช้ต้านทานฝูงมารผลาญทำลาย มีความปลอดภัยเป็นที่สุด วังทวีสูญก็มีความปลอดภัยเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน ท่านบรรพชนอนุญาตให้พวกเรารั้งอยู่ได้เพียงแค่สถานที่สองแห่งนี้เท่านั้น… ที่แท้แล้วจะมีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้นกันแน่หนอ”
“ข้าก็คิดไม่ออกเช่นกัน”
ประมุขตำหนักทุกท่านต่างก็นับได้ว่ามีความรู้เห็นอันกว้างไกล แต่ทุกคนก็ยังไม่เข้าใจ รวมถึงประมุขตำหนักอลหม่านด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด
“หืม”
ทันใดนั้นประมุขตำหนักสิบสามคนต่างก็พากันเงยหน้าขึ้นมอง เหล่าผู้อาวุโสตำหนักในที่อยู่ภายในวังทวีสูญและเทพอากาศคนอื่นๆ รวมถึงเหล่าศิษย์กลุ่มใหญ่ ทุกคนต่างก็มองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนของวังทวีสูญโดยสัญชาตญาณ
“โครมๆๆ”
วังทวีสูญคือมิติปิดผนึกแห่งหนึ่ง แต่ทว่าตอนนี้ที่ท้องฟ้าเบื้องบนตรงกลางดินแดนกลับมีลำแสงสีดำขนาดมหึมาที่ชวนให้คนใจสั่นอยู่กลุ่มหนึ่ง ลำแสงสีดำที่ดำทะมึนสายนี้มีประกายโลหิตสายแล้วสายเล่าทะลุผ่านออกมารางๆ เพียงมองด้วยตาเปล่าก็ทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน กระทั่งระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อได้เห็นแล้วก็ยังอดใจสั่นมิได้
“นี่มันอะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถรู้สึกได้อย่างรางๆ ก็คล้ายกับว่าลำแสงสีดำขนาดมหึมานั้นมีรสชาติของกฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่านสูงสุดอยู่รางๆ
น่าหวาดหวั่น
น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด
เขาก็เป็นผู้แกร่งกล้าระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอด หลังจากสำเร็จวิชาบุปผาเก้าใบแล้ว พลังรบก็พอจะนับได้ว่าเป็นระดับเทพจักรวาลอย่างเลาๆ เขาก็เคยรับมือกับ ‘อ๋อง’ ของบรรดาฝูงมารผลาญทำลายที่เกิดมาเพื่อทำลายล้าง ทั้งยังเคยสอดแนมการเคลื่อนไหวอันน่ากลัวของบรรพชนทิพย์ ประมุขเหยากวงและเทพจักรวาลยามที่ลงมือ แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังให้ความรู้สึกกดดันไม่เท่ากับที่ลำแสงสีดำขนาดมหึมากลางท้องฟ้านำมาให้
นั่นคือระดับกฎเกณฑ์สูงสุดของอากาศอันสับสนอลหม่าน แม้กระทั่งเทพจักรวาลก็ยังเป็นแค่มดปลวกภายในกรงขังเท่านั้น
“ที่แท้แล้ววังทวีสูญของข้าวางแผนจะทำอะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “ถึงขนาดมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้เลยทีเดียว”
……
“เริ่มต้นแล้ว”
บรรพชนเทียนอวี๋และราชันย์มีดเงยหน้าขึ้นมองลำแสงสีดำขนาดมหึมาอันเข้มข้นกลุ่มหนึ่งที่อยู่เบื้องบน แล้วต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา
“จอมกระบี่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เพิ่งจะปลีกวิเวกเพื่อกระตุ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็กระตุ้นได้สำเร็จแล้ว” ในใจของราชันย์มีดก็ยกย่องชื่นชมไม่หยุดหย่อน
“ต่อไปก็ต้องพึ่งราชันย์มีดและท่านอื่นๆ ทุกท่านแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยต่อไป “พลังยุทธ์ของข้าอ่อนแออยู่สักหน่อย ก็ได้แต่ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยอยู่ข้างๆ เท่านั้น”
“ฮ่าฮ่า…วางใจเต็มที่เถิด” ราชันย์มีดแย้มยิ้ม ในขณะนี้เขาควบคุมทั้งวังทวีสูญด้วยความระมัดระวัง วังทวีสูญในตอนนี้บริโภคสมบัติล้ำค่าบางอย่างทำให้พลานุภาพไปถึงระดับขั้นสูงสุดภายในระยะเวลาอันสั้น กระทั่งมี ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ ที่เพิ่งเปิดทาง ก็อาจถูกบีบบังคับทำลายล้างไปได้ในทันที วังทวีสูญในตอนนี้สามารถเรียกได้ว่าแข็งแกร่งดุจหินผา
……
ณ กลางเวหาด้านนอกมิติวังทวีสูญในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา
เงาร่างสองสายยืนเคียงไหล่กัน
คนหนึ่งคือบรรพชนทิพย์ผู้ที่ผิวกายมีสายโซ่สีดำเส้นแล้วเส้นเล่าเหินลอย ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือบรรพชนโลกาผู้มีร่างผอมเล็ก พวกเขาสองคนยืนเคียงไหล่กันอารักขาอยู่อย่างเงียบๆ ส่วน ‘ท่านบรรพชนคีรีมาร’ และ ‘ประมุขเหยากวง’ เดิมทีก็เป็นคนของโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอยู่แล้ว ก็ซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหนึ่ง สามารถลงมือได้ตลอดเวลา
“หืม”
บรรพชนทิพย์และบรรพชนโลการ่างผอมเล็กหันหน้าไปมองพร้อมกัน
ที่กลางท้องฟ้าด้านหลังมีลำแสงสีดำทะลุผ่านออกมารางๆ แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นแผ่ปกคลุม เห็นได้ชัดว่าลอยมาจากด้านในวังทวีสูญ ‘ลำแสงสีดำ’ จำนวนน้อยนี้ทำให้บรรพชนทิพย์และบรรพชนโลการ่างผอมเล็กเผยรอยยิ้มออกมา
“จอมกระบี่ผู้นี้เป็นผู้ล้ำเลิศร้ายกาจโดยแท้ สิ่งที่พูดก็มิได้สูญเปล่า ถึงกับทำให้เขาเหนี่ยวนำได้สำเร็จจริงๆ เสียด้วย” บรรพชนโลกาผู้มีร่างผอมเล็กส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “พูดขึ้นมาแล้ว จอมกระบี่ผู้นี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่เคยมีประสบการณ์ในสงครามอันใดมาก่อนเลย แม้กระทั่งป้อมห้วงอากาศก็ยังไม่เคยไป ดูเหมือนจะปลีกวิเวกบำเพ็ญมาโดยตลอด! ตั้งแต่เขาได้เป็นเทพจักรวาลจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็มิได้เนิ่นนานสักเท่าใดเลย แต่เดินมาได้จนถึงจุดนี้แล้ว ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งเขาก็อาจจะสามารเหนือกว่าจุดที่ข้าอยู่ก็เป็นได้ สามารถเทียบเคียงได้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์”
“ฝูงมารผลาญทำลายแกร่งกล้าขึ้นทุกวัน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงต่อข้าเช่นเดียวกัน ถ้าหากจอมกระบี่สามารถเทียบเคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับข้าเช่นเดียวกัน” บรรพชนทิพย์พูด
“มาดูกันเถิด มาดูกันว่าที่แท้แล้วผู้ล้ำเลิศร้ายกาจผู้นี้จะสามารถเดินไปได้ถึงระดับใดกัน” บรรพชนโลกายิ้ม “อีกประเดี๋ยวจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จะมาแล้ว เขาต้องโมโหจนแทบคลั่งแน่นอน”
บรรพชนทิพย์ก็แย้มยิ้มเสียแล้ว
ใช่แล้ว
จะต้องโมโหจนแทบคลั่งแน่
“พวกเราไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงชีวิตกับเขาหรอก เพียงแค่หยุดยั้งเขา พันธนาการเขา ทำให้เขาไม่ไปรบกวนจอมกระบี่เป็นใช้ได้” บรรพชนทิพย์พูด
……
ที่โลกทิพย์โบราณอันห่างไกล
ณ โถงตำหนัก บนเตียงศิลาดำอันระยิบระยับ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบน ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง
บรรดาคนรับใช้ที่รับใช้อยู่เบื้องล่างล้วนเคารพนบนอบ ถึงขนาดที่มองจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยสายตาเป็นประกาย ต่างก็รู้สึกอิ่มเอมมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างไม่รู้ตัว นี่ก็คือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์… ใบหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์สูงสุดของอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างรางๆ สีหน้าของเขา กลิ่นอายของเขา ทุกการเคลื่อนไหวล้วนราวกับการสำแดงบางส่วนของกฎเกณฑ์สูงสุด
รูปลักษณ์ของเขาราวกับสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด กลิ่นอายของเขาก็ชวนให้คนหลงใหล น้ำเสียงของเขาก็ไพเราะน่าฟังเป็นที่สุด
“หืม”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งขัดสมาธิมาไม่รู้เนิ่นนานเท่าใดแล้วพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาทั้งสองที่ราวกับมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งมองดูท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ เบื้องหน้า
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สีหน้าแปรเปลี่ยน บรรยากาศโดยรอบภายในทั้งโถงตำหนักต่างก็เปลี่ยนแปรกลายเป็นกดดันยิ่งขึ้นในทันใด บรรดาคนรับใช้เหล่านั้นต่างก็กลั้นหายใจอย่างกระวนกระวาย เพราะว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์โมโหอย่างหาได้ยากยิ่ง เมื่อใดที่โมโหแล้ว เช่นนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่ที่สนั่นฟ้าสะเทือนดินเลยทีเดียว
“ช่างบังอาจยิ่งนัก กล้ามาช่วงชิงของของข้า!” นัยน์ตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีแววสังหารอันเย็นเยียบ ในขณะนี้เขามีรูปลักษณ์ที่มีไอสังหารอันมิอาจซ่อนเร้น
ไม่นานนัก
เขาอาศัยผู้วิเศษใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเปิดเส้นทางการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ส่งไปถึงยังบริเวณใกล้วังทวีสูญโดยตรง
……
“พรึ่บ…”
กลางเวหาบริเวณใกล้ๆ วังทวีสูญแห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา กลางทางเชื่อมมิติอันบิดเบี้ยว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สวมเพียงอาภรณ์บางเบาตลอดร่างเดินด้วยเท้าเปล่าออกมาจากตรงกลาง เขาก้าวยาวๆ เพียงก้าวเดียว ก็เคลื่อนที่ผ่านห้วงอากาศมาถึงยังด้านนอกของวังทวีสูญ ระยะห่างนี้ ถ้าหากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนฉีกทางเชื่อมมิติก็ยังต้องอาศัยเวลาชั่วจิบชาหนึ่ง แต่เขากลับสามารถไปถึงได้ด้วยย่างก้าวเดียวเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่รู้วิชาการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น แต่มาถึงระดับขั้นอย่างเขา ก็ย่อมมีพลานุภาพทุกด้าน ระยะทางการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศนี้ เกรงว่าผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีเพียงแค่บรรพชนห้วงอากาศเท่านั้นที่เหนือกว่าเขา! ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญหลากหลายด้านบนเส้นทางวิถีอากาศไปควบคู่กัน แต่การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศเพียงอย่างเดียวนั้นยังห่างชั้นกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มากนัก
“ไม่พบกันนานทีเดียวนะ” บรรพชนโลกาผู้มีรูปร่างผอมเล็ก สวมอาภรณ์สีเขียวหลวมโพรกยิ้มยิงฟัน ปากใหญ่ของเขายิ่งเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นยามที่แย้มยิ้ม
สายโซ่สีดำบนผิวกายของบรรพชนทิพย์ที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งเหินลอย กลิ่นอายพุ่งทะยานขึ้นอย่างชัดเจน
“ผู้ที่ขวางทางข้าก็สมควรกลับสู่ความอลวนแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์โบกมือขวาคราหนึ่งก็มีหอกหลากสีอันแปลกตาเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
“พวกเราประมือกันมากี่ครั้งแล้ว ยังคุยโวเช่นนี้อยู่อีกหรือ” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กยิ่งยิ้มอย่างสว่างไสวยิ่งขึ้น
………………………………………