Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 39 ผลประโยชน์ครั้งใหญ่ ฝูงมารผลาญทำลายหกตน!
- Home
- Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน
- ตอนที่ 39 ผลประโยชน์ครั้งใหญ่ ฝูงมารผลาญทำลายหกตน!
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่งที่คิดค้นปีศาจชาดสิบแปรซึ่งไม่เคยมีมาก่อนขึ้นมาได้ แต่เขาก็รู้ดีแก่ใจว่า ภายหน้าของเขายังมีด่านยากรออยู่…การสำเร็จเป็นเทพจักรวาลนั่นเอง! นี่คือระดับขั้นสุดของการบำเพ็ญ และเป็นการบรรลุระดับขั้นใหญ่ครั้งสุดท้าย ส่วนสิ่งที่เรียกว่าเทพจักรวาลระดับชั้นที่หนึ่ง ระดับชั้นที่สอง ระดับชั้นที่สามนั้น…ก็เป็นเพียงสามระดับชั้นย่อยของระดับขั้นใหญ่อย่างเทพจักรวาลเท่านั้น
“ข้าสามารถคิดค้นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าสองวิชาคือบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามและปีศาจชาดสิบแปรขึ้นมาได้ เชื่อว่ามีหวังจะบรรลุเป็นเทพจักรวาลได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนอื่นๆ โดยทั่วไปก็แค่เข้าถึงกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น บัดนี้เขากลับเข้าถึงสองกระบวนท่าเลยทีเดียว
……
สวบๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปตามที่ต่างๆ ในอากาศอันสับสนอลหม่านต่อไป เมื่อสอดส่องบริเวณต่างๆ เช่นนี้ แม้ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจะนับว่าเขาเยาว์วัยมาก แต่หากพูดถึงความเข้าใจใน ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ หรือจำนวนสถานที่เร้นลับแปลกประหลาดที่เคยไปแล้ว…เกรงว่าเขาคงจะจัดอยู่ในลำดับแรกสุด การตรวจสอบอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับวัตถุล้ำค่าต่างๆ มา ทว่าด้วยระดับขั้นของเขาแล้ว ก็ไม่ค่อยใส่ใจสิ่งเหล่านี้มากสักเท่าใดนักแล้ว
“ที่นี่ก็ไม่มี” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยืนอยู่บนผืนดินกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่เวิ้งว้าง เขาสอดส่องผ่านรูทรงกลมหมอกดำอีกครั้ง
บริเวณต่างๆ โดยรอบที่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตล้วนถูกเขาตรวจสอบ
มีแผ่นดินอลหม่าน…
มีจักรวาล…
มีคูหาอันสันโดษ…
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องสถานที่นับพันโดยรอบในพริบตา แต่จู่ๆ สีหน้ากลับเปลี่ยนแปลงไป
ในการสอดส่องของเขา…
นั่นคือบนศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่กลางอากาศก้อนหนึ่งซึ่งมีคูหาแห่งหนึ่งซ่อนอยู่ ภายในนั้นมีผู้บำเพ็ญอยู่หกคน พลังคล้ายจะเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น
ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่งของคูหาแห่งนี้ บุรุษนัยน์ตาสามเหลี่ยมผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูงพลางพลิกอ่านคัมภีร์ศาสตร์ลับอย่างสบายใจ ทันใดนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่ง ภายในโถงตำหนักแห่งนี้ก็มีเงาร่างมนุษย์นับพันปรากฏขึ้น คนที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมาเหล่านี้ล้วนมีพลังค่อนข้างอ่อนแอ โดยมากแล้วก็เป็นเทพและเทพโลกา ส่วนระดับเทพแท้นั้นมีเพียงสองคนเท่านั้น
“มารร้าย” คนนับพันที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมาพลันเผยสีหน้าเคียดแค้นออกมา แต่ภายใต้แรงกดดันของพละกำลังอันไร้รูปร่าง พวกเขาก็มิอาจต้านทานได้
“พวกเจ้าเป็นเพียงอาหารเท่านั้น อย่าต่อต้านอีกเลย” บุรุษนัยน์ตาสามเหลี่ยมหัวเราะฮี่ฮี่เสียงประหลาด นัยน์ตาชั่วร้ายมองดูผู้บำเพ็ญเหล่านั้น
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเห็นฉากนี้เข้าสีหน้าพลันเปลี่ยนแปลงไปทันที “มารร้ายที่ชั่วร้ายอีกตนหนึ่งแล้ว เป็นผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกินหรือ”
เขามิได้คิดว่าอีกฝ่ายเป็นฝูงมารผลาญทำลาย เนื่องจากตลอดคืนวันอันยาวนานที่ผ่านมาเขาไล่สังหารตาที่ต่างๆ มาตลอด และพบ ‘มารร้าย’ มามากต่อมาก มารร้ายที่ถูกเขาสังหารไปนั้นนับไม่หวาดไม่ไหว! ดังนั้นเมื่อพบเรื่องพรรค์นี้ ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือพบมารร้ายที่ชั่วร้ายบางตนเข้าอีกแล้ว ผู้บำเพ็ญที่กลืนกินมนุษย์ตามอำเภอใจเช่นนี้ เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพบเข้าก็มีแต่ฆ่าไม่เว้นสถานเดียว!
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเข้าไปใกล้ในทันที แล้วค่อยเคลื่อนที่ในพริบตาไป
……
ภายในโถงตำหนักของคูหาบนศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่
แม่ทัพโม่กู่นั่งอยู่บนแท่นสูง นัยน์ตาชั่วร้ายมองสำรวจผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอนับพันเบื้องล่าง เมื่อเห็นท่าทางสิ้นหวังและโกรธเกรี้ยวของพวกเขา รวมทั้งการก่นด่า แม่ทัพโม่กู่กลับเบิกบานใจมากยิ่งขึ้น “ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้ด่าว่าอีก พวกเจ้าก็เป็นได้เพียงอาหารเท่านั้นแหละ”
“มารร้าย”
“มารที่ชั่วร้าย”
ผู้บำเพ็ญมองดูแม่ทัพโม่กู่ซึ่งแผ่กลิ่นอายอำมหิตคลุ้งคาวเลือดตรงหน้า ในใจกลับเคืองแค้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด! เพราะตั้งแต่พวกเขาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนถูกจับมาทั้งเป็น ก็ถูกขังและเลี้ยงดู จากนั้นก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า พวกเขาพอจะเดาออกว่า…พวกคนที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมานั้น คงจะมิได้มีจุดจบที่ดีแต่อย่างใด
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกต้องข้าเป็นมารที่ชั่วร้าย เป็นมารร้าย” แม่ทัพโม่กู่หัวเราะพลางอ้าปาก พละกำลังดูดกลืนปกคลุมผู้บำเพ็ญนับพันเหล่านั้น
แต่ในยามนี้เอง…
กลางท้องฟ้าเหนือศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่ ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ
“เฮอะ” แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง
เขตลวงก็ร่อนลงมาแล้ว!
เขตลวงยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ในฐานกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าซึ่งบรรลุระดับเทพจักรวาลแล้ว มันมิใช่แค่ขอบเขตกว้างใหญ่หาใดเปรียบเท่านั้น อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นเป็นอันมากอีกด้วย
ภายในคูหาแห่งนี้ มีฝูงมารผลาญทำลายทั้งหมดหกตนรวมทั้งแม่ทัพโม่กู่ด้วย
แม่ทัพโม่กู่กำลังเตรียมจะกลืนกิน เมื่อเขตลวงร่อนลงมานั้น เขาก็ตกเข้าสู่เขตลวงทันทีโดยไร้การต่อต้านแม้แต่น้อย สติสัมปชัญญะของเขาถูกครอบงำจนสิ้น! อันที่จริงต่อให้แม่ทัพโม่กู่สำแดงไร้เงาออกมา หากอยู่ในขอบเขตของเขตลวงแล้วก็ต้องถูกกระบวนท่านี้เข้าเช่นกัน เนื่องจากแม่ทัพโม่กู่ที่มี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ นั้นมีข้อบกพร่องข้อใหญ่ที่สุด…ก็คือวิญญาณ!
เขตลวงนั้นพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ ปณิธานของเขาไม่เพียงพอ จึงย่อมถูกกระบวนท่าเข้าทันที
หากแม่ทัพโม่กู่มีปณิธานแข็งแกร่งอย่างยิ่งก็คงน่ากลัวขึ้นมากแล้ว ต้องรู้ไว้ว่า หากพูดถึงกระบวนท่าที่พุ่งเป้าไปยังวิญญาณแล้ว…ก็พอจะนับได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันดับหนึ่งของผู้บำเพ็ญได้แล้ว ผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้ก็มีเพียงเจ้าลัทธิภาพจิตเท่านั้น
ส่วนเทพจักรวาลน่ะหรือ อย่างบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ ราชันย์มีด ประมุขเหยากวง บรรพชนโลกา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดานั้นล้วนไม่เชี่ยวชาญการโจมตีวิญญาณสักเท่าใดนัก แม้อย่าง ‘บรรพชนทิพย์’ จะมีวิธีการโจมตีวิญญาณเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็มิใช่เส้นทางที่เขาสำเร็จเป็นเทพจักรวาล ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ตนเชี่ยวชาญที่สุด ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิถีโลกเทียม ทั้งยังผลักดันขึ้นไปจนถึงระดับชั้นที่เก้าแล้ว ในด้านระดับความพิสดารนั้น นับได้ว่าเป็นระดับเทพจักรวาลได้อย่างพอถูไถแล้ว
ผู้บำเพ็ญต่างก็มีเส้นทางของตนเอง
เทพจักรวาลนั้นยังไม่มีผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลด้วยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณแม้แต่คนเดียว ดังนั้นในด้านการรับมือวิญญาณ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสามารถจัดอยู่ในอันดับหนึ่งได้แล้ว
พวกฝูงมารผลาญทำลายที่บ่มเพาะขึ้นมาจากรังนั้น เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญแล้ว จิตใจก็ค่อนข้างอ่อนแอกว่า
ดังนั้น…
ฝูงมารผลาญทำลายอีกห้าตนที่อยู่ในคูหาแห่งนั้นสายตาก็พร่าเลือนไปต่อเนื่องกัน ร่างกายอ่อนยวบก่อนจะล้มลง มีเพียงตนเดียวเท่านั้นที่ร่างกายโซซัดโซเซไปแต่ประกายในดวงตากลับเพิ่มขึ้น เขาคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง”
ทั้งห้าตนรวมทั้งแม่ทัพโม่กู่ล้วนตกเข้าสู่เขตลวง มีเพียงตนเดียวเท่านั้นที่พอจะครองสติเอาไว้ได้
ต้องรู้ไว้ว่า…
กองกำลังนี้มีระดับชั้นที่เก้าสองตน ตนอื่นๆ ต่างก็เป็นชั้นที่แปดระดับยอด
เห็นได้ชัดว่าในบรรดาระดับชั้นที่เก้านั้นมีอยู่ตนหนึ่งที่ตกเข้าสู่เขตลวงโดยไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อยหากเป็นผู้บำเพ็ญระดับชั้นที่เก้ามาเผชิญหน้ากับเขตลวงอันน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็อาจจะถูกรบกวนจนสำแดงพลังออกมาได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่จะจมดิ่งลงไปอย่างสิ้นเชิงโดยไร้แรงต้านทานแม้แต่น้อยกลับเป็นไปไม่ได้สักเท่าใดนัก ทว่าฝูงมารผลาญทำลายกลับมีเพียงตนเดียวเท่านั้นที่สามารถครองสติเอาไว้ได้
พวกเขาอ่อนยวบลง…
มิอาจคงเคล็ดลับที่เก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ได้ แต่ละตนจึงปลดปล่อยกลิ่นอายตามธรรมชาติออกมา กลิ่นอายทำลายล้างนั้นยากจะปกปิด กลิ่นอายนี้เมื่อปลดปล่อยออกมาภายนอกก็ถูกกฎเกณฑ์อันสูงส่งผลักไสทันที
“ฝูงมารผลาญทำลาย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจมากเช่นกัน
นานเกินไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้อะไรมาตั้งล้านล้านปีแล้ว แม้ เขาจะวาดบริเวณที่ความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงออกมาตามรายงานต่างๆ แต่เขาก็ไล่ล่ามานานแสนนานเกินไปแล้ว! นานเสียจนเขาสังหารมารร้ายไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว เขาคิดว่าครั้งนี้จะแค่พบมารร้ายตนหนึ่งเข้าเหมือนเดิมเสียด้วยซ้ำไป
แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องน่าประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง
นอกจากนี้ยังมีฝูงมารผลาญทำลายถึงหกตนด้วยกัน! เป็นผลสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน! อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ในที่สุดความลำบากนับล้านล้านปีของตนก็เกิดผลแล้ว
………………………………….