Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 4 พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต
จักรวาลภูมิลำเนา
ทะเลหมอกดำ จวนจ้าวตงป๋อ
“สวบ” มิติกลางห้วงอากาศบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากในนั้น เขากวาดสายตาคราหนึ่งก็เห็นหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าเข้มยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบไกลๆ ด้วยพลังยุทธ์ของเขาก็ย่อมสามารถมองออกได้อย่างง่ายดายว่าภรรยาของตนเหยียบย่างเข้าสู่ระดับผู้ปกครองเทพแท้แล้ว นี่ก็อยู่ในความคาดหมาย ถึงอย่างไรก็มีตำราที่ตนมอบให้ ทั้งยังบริโภควัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ทำให้ขั้นอลวนที่อ่อนแอต้องเทหมดหน้าตักจึงจะซื้อมาได้ไปอีกด้วย ยังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองเทพแท้เท่านั้น ถ้าหากแพร่ออกไปแล้วเกรงว่าคงจะพากันรู้สึกว่ายกระดับได้น้อยนิดเหลือเกิน
อวี๋จิ้งชิวสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่น นางหันหน้าไปมองแล้วก็อดเผยสีหน้ายินดีมิได้ “เสวี่ยอิง”
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปพลางพูดยิ้มๆ “ไม่เลวเลยนะ ไปถึงระดับผู้ปกครองแล้ว”
“ดูเหมือนจะอยู่ในสถานะการบำเพ็ญที่ดียิ่งกว่าการตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลา ทั้งยังบำเพ็ญมาถึงสองร้อยล้านปีเต็มๆ แล้ว ตัวข้าเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นผู้ปกครองก็ยังมิอาจนับเป็นอะไรได้เลย” อวี๋จิ้งชิวเอ่ยอย่างอดมิได้ “ใช่แล้ว เสวี่ยอิง ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้แล้วว่าที่แท้แล้วเป็นสมบัติล้ำค่าอันใดจึงได้น่าอัศจรรย์เช่นนั้น”
อวี๋จิ้งชิวในยามนี้ย่อมมิได้สังเกตเลยว่าพลังยุทธ์ของสามีที่อยู่ตรงหน้ายกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวงแล้ว ถึงอย่างไรคนทั้งสองก็แตกต่างกันมากเหลือเกิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บซ่อนกลิ่นอายเอาไว้ อวี๋จิ้งชิวก็ไม่มีทางสัมผัสรับรู้ได้เลย
“เป็นหัวใจหลิวเมฆาแดง” คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ปิดบัง ทั้งยังอธิบายอย่างละเอียด แม้กระทั่งเรื่องโถงตำหนักที่สร้างขึ้นเพื่อการบำเพ็ญโดยเฉพาะก็ยังเล่าให้ฟังด้วย
อวี๋จิ้งชิวเบิ่งตากว้าง อับจนคำพูด “นี่… นี่…แทบจะสามารถซื้อสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับสุนัขเทพสีดำตัวนั้นเชียวหรือ”
หมาไนสีดำ…
พลานุภาพที่สำแดงออกมาในตอนนั้น อวี๋จิ้งชิวก็ล่วงรู้ แม้กระทั่งในภายหลังก็เคยได้ยินตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ได้รู้ว่านั่นคือหุ่นเชิดที่ไปถึงขั้นอลวนซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าการสร้างจักรวาลสักแห่งหนึ่งเสียอีก
“มันมีพลังยุทธ์ระดับต่ำสุดของขั้นอลวน มีค่ายกลของสถานที่แรกเริ่มส่งเสริม จึงแข็งแกร่งอยู่พอสมควร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ขั้นอลวน…” อวี๋จิ้งชิวรู้สึกพรั่นพรึงเช่นเคย นางคาดการณ์ได้ว่าสมบัติล้ำค่าที่ใช้ไปนั้นช่างน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่มูลค่าสูงส่งถึงเพียงนี้ก็ยังคงทำให้นางพรั่นพรึง นางอดพูดมิได้ว่า “เสวี่ยอิง ล้ำค่าถึงเพียงนั้น กว่าเจ้าซึ่งเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งจะได้พวกมันมาจะต้องมิใช่เรื่องง่ายแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “ตอนนี้ข้าเป็นขั้นอลวนแล้วล่ะ”
อวี๋จิ้งชิวมองสามีอย่างตกตะลึง
“ฮ่าฮ่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียแล้ว
อวี๋จิ้งชิวมิได้พูดอะไรมาก เพียงแค่กอดสามีเอาไว้
แต่ในใจของนางกลับเข้าใจว่าถึงแม้ตอนนี้สามีจะไปถึงขั้นอลวน แต่ตอนนั้นก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น การจะได้สมบัติล้ำค่าที่ขั้นอลวนปกติธรรมดาต่างก็แทบจะต้องสละสมบัติล้ำค่าทั้งเนื้อทั้งตัวจึงจะสามารถซื้อมาได้นั้น เกรงว่าคงต้องเผชิญอันตรายตั้งไม่รู้มากมายเท่าใด
“ทั้งหมดล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น” ทว่าในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสงบและอบอุ่นยิ่ง ตอนนั้นไปจากจักรวาลภูมิลำเนาตามลำพัง เพิ่งเป็นแค่ผู้ปกครองเทพแท้ก็ไปล่องลอยอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน… หรือแม้กระทั่งประสบกับภยันตรายหลายครั้ง แต่เคราะห์ดีที่เขาโชคดี!
……
หลังจากอวี๋จิ้งชิวออกจากการปลีกวิเวก ตนเองก็บรรลุไปถึงขั้นอลวน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่าการที่ตนสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นภายในวังทวีสูญนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าวังทวีสูญจะค้นพบเข้าแล้ว! แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ตนทำอย่างเปิดเผย ไปถึงขั้นอลวนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว ที่มหาโลกทิพย์ทั้งห้าแห่งอากาศอันสับสนอลหม่าน ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นนั้นก็มีอยู่พอสมควร
“ท่านอาจารย์ ยังมีประมุขหยวนชู พวกท่านทั้งสองต่างก็เป็นระดับขั้นเทพอากาศ บำเพ็ญภายในจักรวาล อาศัยเพียงแค่ตำราที่ข้าเขียนขึ้นเหล่านั้นก็มิได้ช่วยเหลือมากสักเท่าใดนัก แต่ก็วางแผนจะไปยังวังทวีสูญอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชู
ก่อนหน้านี้ก็มิได้ทำมาโดยตลอด
ก็เพื่อซ่อนเร้นการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น
“แน่นอน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสองตาเปล่งประกาย
“อืม” ประมุขหยวนชูก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาสองคนต่างก็เต็มไปด้วยความปรารถนาต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ‘วังทวีสูญ’ ในตำนานอยู่แล้ว
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งร่างแปรร่างหนึ่งเอาไว้ที่บ้านเกิด จากนั้นร่างจริงก็พาจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชูมุ่งหน้าไปยังวังทวีสูญ,วังทวีสูญก็ให้ความสำคัญกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชูเป็นอย่างยิ่ง! เพราะว่าจักรวาลแห่งนี้… จอมกระบี่ที่ถือกำเนิดขึ้นก่อนหน้านี้ช่างเลิศล้ำเหลือเกิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็นับได้ว่าเปล่งประกายจับตาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทั้งสองคน ทั้งยังบ่มเพาะอย่างตั้งใจ พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไปถึงที่นั่นแล้วจะต้องดื่มด่ำอย่างสมบูรณ์แบบ ให้พวกเขาได้อ่านตำราจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งตำราของทางด้านระบบทิพย์ก็มีอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
……
ณ จักรวาลภูมิลำเนา
ภายในห้องหนังสือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เริ่มต้นเขียนตำราเล่มแล้วเล่มเล่า ล้วนเป็นตำราที่ชี้แนะสู่ ‘เทพอากาศ’โดยตรง ด้วยระดับขั้นของเขาแล้ว การเขียนตำราพื้นฐานเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่ง่ายดายอย่างยิ่ง ขอเพียงแค่เขาเชี่ยวชาญเพียงแค่ไม่กี่ด้านนั้นเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้วตำราก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก
“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิวเดินเข้ามา
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางปากกาในมือลง
“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดกับภายนอกอย่างเปิดเผยว่าไปถึงระดับขั้นเทพอากาศแล้ว ถึงขนาดที่ส่งพวกเขาไปยังวังทวีสูญ ท่านได้วางแผนจะให้พวกอวี้เอ๋อร์กับชิงเหยา รวมถึงบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นของท่านไปถึงขั้นเทพอากาศก่อนแล้วจึงค่อยส่งไปอย่างนั้นหรือ” อวี๋จิ้งชิวถาม
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “อืม อันที่จริงมหาโลกทิพย์ทั้งห้าแห่งอากาศอันสับสนอลหม่านนั้น ต่อให้เป็นภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มิได้ปลอดภัยอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”
เขาอดที่จะนึกถึงท่านอาจารย์กู่ฉีขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็เป็นเทพจักรวาลเช่นกัน ทั้งยังมีบรรพชนทิพย์ช่วยคุ้มครองอีกด้วย…
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารท่านอาจารย์โดยไม่เสียดายสิ่งใด นอกจากนี้อ้างอิงจากสิ่งที่ตนรู้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำถึงขนาดนี้เพียงเพื่อระบายความโกรธเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ายิ่งหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นมาอีกครั้งเมื่อใดก็ได้! เมื่อใดที่สงครามเริ่มต้นขึ้น การที่โลกทิพย์แตกสลาย และการตายตกของเทพจักรวาลล้วนเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อย ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงไม่รีบร้อนที่จะส่งบรรดาเด็กรุ่นหลังไป
“นอกจากนี้ที่จักรวาลภูมิลำเนายังขาดแคลนตำรา การขัดเกลาก็มีน้อย ผู้ที่สามารถประลองในระดับขั้นเดียวกันกับพวกเขาได้นั้นก็มีน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญจะย่ำแย่กว่าภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก แต่นี่กลับเป็นโอกาสในการขัดเกลาตนเอง”
ขัดเกลาภายใต้สภาพแวดล้อมอันย่ำแย่
ขัดเกลาเนิ่นนานเพียงพอแล้ว อนาคตในภายภาคหน้าอาจยิ่งสูงส่งขึ้น แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อยู่อีกอย่างหนึ่ง… ก็คือขัดเกลานานเกินไปจนตนเองสูญสิ้นจิตใจที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เหล่าเทพแท้ของจักรวาลภูมิลำเนาจำนวนมากที่ปลีกตัวสันโดษก็เป็นเช่นนี้เอง ต่างก็สูญเสียความมั่นใจกันไปหมดแล้ว ต่อให้ตอนนี้รู้จักวังทวีสูญ ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจอย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะชี้แนะบุตรชายบุตรสาวและลูกศิษย์ของตนไปตลอด ให้พวกเขาเข้าใจว่าในด้านการบำเพ็ญในวังทวีสูญนั้นดีกว่ามาก ทำให้พวกเขารักษาจิตวิญญาณการต่อสู้เอาไว้ตลอดไป
“ให้พวกเขาบำเพ็ญเป็นอย่างดีอยู่ภายในจักรวาลภูมิลำเนา รอให้ถึงเวลาที่ยุคจักรวาลนี้ใกล้สิ้นสุด ข้าก็จะส่งพวกเขาทั้งหมดจากไปเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เชื่อเจ้าก็แล้วกัน” หลังจากที่อวี๋จิ้งชิวได้รู้แผนของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว
……
ตอนนี้เป็นขั้นอลวน ร่างแปรร่างหนึ่งอย่าง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำ’ ก็ย่อมสามารถรั้งอยู่ที่จักรวาลภูมิลำเนาในระยะยาวได้อยู่แล้ว ส่วนร่างจริงก็บำเพ็ญอยู่ภายในวังทวีสูญ
เขาก็ออกมาจากการปลีกวิเวกเป็นครั้งคราวเพื่อพบปะกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชู ทั้งยังสามารถชี้แนะสิงหั่วสวินอีผู้เป็นลูกศิษย์ได้ด้วย
เมื่อจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมาถึงยังวังทวีสูญ พลิกอ่านตำราจำนวนมหาศาลที่ตำหนักหมื่นรูป สามร้อยล้านปีให้หลังก็เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง เมื่อเหยียบย่างไปถึงแล้วก็มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่สามของเจดีย์ดาว แต่อย่างไรก็ตาม รอจนระยะเวลาหมื่นล้านปีอันเนิ่นนานผา่นพ้นไป จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยังคงเป็นเพียงระดับชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวขั้นสุดยอดเท่านั้น ยังห่างชั้นกับ ‘พลังยุทธ์ชั้นที่ห้า’ อยู่อีกก้าวหนึ่ง! ยามที่เขาบำเพ็ญนั้นก็บำเพ็ญทางสายระบบทิพย์ควบคู่ไปด้วย จนกระทั่งพรสวรรค์ทางด้านระบบทิพย์ของเขาสูงกว่าทางด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์อยู่พอสมควร
เมื่อถึงเวลาหมื่นล้านปีที่กำหนด ไม่ต้องรั้งอยู่ในวังทวีสูญอีกต่อไป จำเป็นจะต้องไปจากวังทวีสูญ ไปรับหน้าที่ผู้อาวุโสตำหนักนอก สำหรับประมุขหยวนชูนั้นน่ะหรือ ก็ยังคงเป็นเพียงแค่ขั้นกำเนิดเช่นเดิม ถึงแม้ว่าระยะเวลาหมื่นล้านปีนี้ ‘ผางอี’ ‘ผู้ครองชิง’ และ ‘จ้าวอเวจี’ พวกเขาสามคนต่างก็เหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศไปตามๆ กัน ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงส่งตัวมา ทว่าแต่ละคนต่างก็ค้างอยู่ที่ขั้นกำเนิดเป็นการชั่วคราว การบรรลุทางด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์เดิมทีก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยืนอยู่กลางเวหาพลางมองดูวังทวีสูญแห่งนี้อยู่ไกลๆ ปราดหนึ่ง ทั้งยังมองคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปปราดหนึ่งด้วย เขามิได้ไปกล่าวอำลา ตัวเป็นถึงอาจารย์ เขาก็มีความทระนงของเขา เห็นได้ชัดว่ามิได้เหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวภายในหมื่นล้านปี ในใจของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยังมีความไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง
“ข้าจะต้องกลับมาแน่” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตหมุนกายบินไปทางตำหนักเทพอลวน เขาถูกมอบหมายให้ไปประจำการที่เมืองอลหม่านแห่งหนึ่ง
………………………………….