Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 8 กบดาน
“ใช่ เรื่องใหญ่” บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า “นับตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกสลายไป อากาศอันสับสนอลหม่านก็ขยายออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน ที่ชายขอบของห้วงอากาศก็มีฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นตลอดคืนวันอันยาวนาน ฝูงมารผลาญทำลายก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความกดดันในการสกัดกั้นพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน พวกมันถือกำเนิดขึ้นมาก็เพื่อทำลายล้าง บางทีอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ก็อาจจะเพื่อทำลายล้างพวกเราแล้วบ่มเพาะโลกใบใหม่ขึ้นมากระมัง แม้พวกเราจะแข็งแกร่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎเกณฑ์อันสูงส่ง ก็เกรงว่าคงเป็นเพียงมดปลวกที่แข็งแกร่งบ้างเท่านั้น”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
เขานึกถึงว่าตนเคยสอดส่องดูโลกระดับที่สูงกว่านี้โดยผ่านทางเชื่อมโพรง ‘ทรงกลมหมอกดำ’
“แม้ฝูงมารผลาญทำลายจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเราก็เชื่อมาตลอดว่าพวกเราป้องกันได้ดีมากโดยไม่รั่วไหลเลยแม้แต่น้อย” บรรพชนเทียนอวี๋พูดอย่างสงบ “แต่ว่าหลังจากข้าลอยล่องไปทั่วทิศแล้วสร้างจักรวาลขึ้นมาได้ไม่นานนัก เทียบได้กับราวยุคจักรวาลที่ห้าของบ้านเกิดเจ้า พวกเรากลับพบว่าภายในโลกทิพย์ทั้งห้ามีฝูงมารผลาญทำลายกบดานอยู่เสียนี่!”
“อะไรนะ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงลาน “ฝูงมารผลาญทำลายเข้าไปยังโลกทิพย์ทั้งห้าแล้วหรือ มิได้ถูกสกัดไว้ภายนอกมาตลอดหรือขอรับ”
ต่อให้เป็นข้อมูลที่ตนรับรู้ ฝูงมารผลาญทำลายก็ถูกป้องกันให้อยู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีปลาตัวใดที่ลอดแหเข้ามาได้!
“พวกเราก็คิดว่าสกัดกั้นป้องกันได้ดีมาก แต่เรื่องจริงก็เห็นอยู่ตรงหน้า มิอาจโต้แย้งได้ มีฝูงมารผลาญทำลายเข้ามากบดานจริงๆ” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า “พวกเราหวนคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็คาดว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่ขณะฝูงมารผลาญทำลายโจมตีขนานใหญ่ได้บุกสังหารเข้ามาจนถึงป้อมปราการอากาศสุดท้าย พวกเราคิดว่าสกัดกั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่คงจะมีครั้งใดครั้งหนึ่งที่มีผู้เล็ดรอดป้อมปราการอากาศสุดท้ายเข้ามาได้”
“จวบจนบัดนี้ พวกเราพบร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลายกว่าร้อยครั้งแล้ว ซึ่งล้วนแต่เป็นมารผลาญทำลายเกราะทองทั้งสิ้น สามารถวิเคราะห์ได้ว่าอย่างน้อยก็เป็นมารผลาญทำลายเกราะทองสิบห้าตนที่แตกต่างกัน พวกเขาเจ้าเล่ห์และระมัดระวังตัวเป็นอันมาก ทั้งยังมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายอีกด้วย ตามปกติก็มักปลอมแปลงเป็นผู้บำเพ็ญทั่วไป ขณะที่จะเข่นฆ่าตามอำเภอใจจึงค่อยเผยตัวออกมา ดังนั้นจนถึงบัดนี้พวกเราจึงยังจับไม่ได้แม้แต่ตนเดียว”
“พวกเขากำเนิดขึ้นมาเพื่อทำลายล้าง ดังนั้นพวกเขาก็ต้องทนไม่ไหวแล้วคว้าโอกาสสักครั้งเพื่อเข่นฆ่าครั้งใหญ่เทียมฟ้าอย่างแน่นอน”
“เมื่อสื่อสารกับภายนอก…พวกเราก็จะบอกว่าเป็นมารร้ายของเหล่ากลืนกินสักตนที่เข่นฆ่าตามอำเภอใจ! โดยมิเคยกล้าพูดเลยว่าเป็นฝูงมารผลาญทำลาย”
บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า “นอกจากนี้ ยิ่งจำนวนฝูงมารผลาญทำลายที่ชายขอบของห้วงอากาศมีจำนวนมากขึ้น ความถี่ในการโจมตีขนานใหญ่ของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้นด้วย บางครั้งก็จะสามารถบุกเข้ามาถึงป้อมปราการอากาศสุดท้ายได้ เรื่องนี้ก็ทำให้ท่ามกลางการเข่นฆ่าขนานใหญ่ในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน จำนวนครั้งที่พบร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลายก็เพิ่มสูงได้อย่างรวดเร็วขึ้น”
“ผู้ใดก็รู้”
“ตอนนี้พวกเรายังพอเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ ในภายหน้า ข้อได้เปรียบของพวกเราก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและต้านทานเอาไว้ไม่ไหวในท้ายที่สุด”
“แย่นัก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นไม่ช่วยเหลือเลย หากเขาช่วย พวกเราก็จะผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงียบงัน
ต่อให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ…คาดว่าก็คงจะถ่วงขั้นตอนการทำลายออกไป
“บางทีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อาจจะเข้าใจว่า ฝูงมารผลาญทำลายชั่วร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่มีความอดทนเช่นที่ผ่านมาแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “ในช่วงแรกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีความอดทนสูงมาก สามารถดักซุ่มได้เป็นนานเพื่อเป้าหมายบางอย่าง แต่ครั้งนี้เพียงเพราะระบายโทสะ ก็ได้เผาผลาญพลังต้นกำเนิดที่สั่งสมมานานแสนนานไปส่วนหนึ่งเพื่อสังหารกู่ฉีอาจารย์เจ้า มิได้เพื่อประโยชน์อันใดเลย แต่ทำเพื่อระบายโทสะเท่านั้น นี่คือสิ่งที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางทำในอดีต”
“เผชิญทั้งศึกนอกศึกใน”
บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า “แน่นอนว่า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ควรค่าแก่การเอามาใส่ใจเลย เพราะเขาสั่นคลอนสถานการณ์โดยรวมมิได้! ถึงอย่างไรที่ร้ายแรงที่สุดก็ยังคงเป็นฝูงมารผลาญทำลาย อาจจะมีสักวันที่อากาศอันสับสนอลหม่านนี้ถูกทำลายล้างไป แต่พวกเราก็พยายามถ่วงเวลาออกไปอย่างเต็มที่ ยิ่งถ่วงได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เมื่อผ่านไปนานเข้าอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็เป็นได้”
“การรับมือกับฝูงมารผลาญทำลายนี้ด้วยการสกัดกั้นที่ชายขอบของห้วงอากาศก็ถือว่าถึงขีดจำกัดที่จะทำได้แล้ว”
“ตอนนี้สิ่งที่ทำให้พวกเราเป็นกังวลก็คือฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดาน พวกเขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก เทพจักรวาลถึงขั้นไล่ตรวจสอบอยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาก็เหมือนจะสามารถตรวจพบการมีอยู่ของเทพจักรวาลได้และไม่ปรากฏกายเลย! ส่วนขั้นอลวนลงมือก็ไม่มีหวังที่จะเอาชนะได้เลย หากไม่ระวังขึ้นมา ก็อาจต้องสูญสิ้นชีวิตไป ขั้นอลวนที่ล่วงลับสิบคนล่าสุด มีสองคนที่สู้จนตัวตายที่ชายขอบของห้วงอากาศ ยังมีอีกสองคนที่ล่วงลับลงเพราะการแก่งแย่งชิงดีภายใน ส่วนอีกหกคนล้วนถูกฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานเหล่านี้ลอบโจมตีและสังหารไป”
“อ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ในใจก็มีชื่อของขั้นอลวนที่ล่วงลับสิบคนล่าสุดผุดขึ้นมา
“พวกเราปกปิดความลับนี้มาโดยตลอด ด้วยกังวลว่าจะทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านเกิดความตื่นตระหนก” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว
“เฮ้อ…”
“เมื่อเทพจักรวาลเข้าใกล้ พวกเขาก็จะไม่ปรากฏกายเลย”
“ขั้นอลวนก็ไม่มีหวัง ส่วนบรรดาผู้ที่มีพลังรบระดับชั้นที่เก้าในขั้นอลวนก็มิกล้าเสี่ยงอันตราย” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า “เพราะถึงอย่างไร แม้แต่ชั้นที่แปดระดับยอดก็มีผู้ที่ล่วงลับไปสองคนแล้ว”
“ดังนั้นพวกเราจึงหวังว่าจะหาขั้นอลวนที่มีพลังรบชั้นที่เก้าสักคนหนึ่งที่มีความสามารถด้านการหนีเอาชีวิตรอดด้วย ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ มาตามสำรวจดู” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “แต่เดิมทีพลังรบระดับชั้นที่เก้าก็มีน้อยอย่างยิ่งอยู่แล้ว ทั้งยังต้องมีความสามารถด้านการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอีกด้วย ก่อนหน้าเจ้าก็มีอยู่สามคนด้วยกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ดี
การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นนั้นมีน้อยมาก เทพจักรวาลที่สามารถสำแดงออกมาได้นั้นก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ เนื่องจากจำนวนโดยรวมของขั้นอลวนมีค่อนข้างมากอยู่แล้ว จึงมีอยู่ชุดหนึ่ง แต่ที่อยู่ใน‘พลังรบระดับชั้นที่เก้า’ นั้นมีเพียงสามคนเท่านั้น
“คนหนึ่งเป็นลัทธิทิพย์โบราณ คนหนึ่งเป็นคนของลัทธิจอมมารดา ส่วนสุดท้ายนั้นเป็นคนของทางสายประมุขหอหมื่นโลกา” บรรพชนเทียนอวี๋ก็จนใจ “ไม่ว่าจะเป็นหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงโลกทิพย์โบราณก็ล้วนแต่ไม่มีทั้งสิ้น”
“ทว่าเจ้ากลับมีหวัง” บรรพชนเทียนอวี๋มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“บัดนี้การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นที่เจ้าเข้าใจก็เป็นชั้นที่แปดระดับยอดแล้ว! เมื่อบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ”บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าทว่าก็อดพูดขึ้นมิได้ว่า “แม้แต่ชั้นที่แปดระดับยอดก็ยังสู้จนตัวตายไปถึงสองคน จะไปช่วยก็ไม่ทันแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานเป็นระดับเทพจักรวาลใช่หรือไม่”
“และนี่ก็คือสาเหตุที่พวกเรารู้สึกว่าระดับชั้นที่เก้าที่เข้าใจการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นจึงจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด” บรรพชนเทียนอวี๋มีท่าทีสงบ “แม้จะไร้หลักฐาน ทว่าพวกเราก็สงสัยว่ามีฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลเข้ามากบดาน! แต่หากบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้า อย่างน้อยก็จะไม่ถูกล้างสังหารในพริบตา ล้วนแต่สามารถต้านทานได้ชั่วขณะหนึ่ง อาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นก็ยิ่งสามารถรักษาชีวิตได้อย่างง่ายดาย”
“แน่นอนว่าพวกเราจะตระเตรียมของกำนัลชิ้นใหญ่เอาไว้ให้เจ้า! เมื่อมีของกำนัลชิ้นใหญ่นี้แล้ว บวกกับพลังของตัวเจ้าเองย่อมต้องปลอดภัยไร้เรื่องราวอย่างแน่นอน” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว
“ต่อจากนี้ไป…การบำเพ็ญของเจ้าจะต้องให้ความสำคัญกับลูกไม้รักษาชีวิต ต้องทำให้ด้านนี้แข็งแกร่งขึ้น” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “บัดนี้ความสามารถในการรักษาชีวิตก็นับได้ว่าอยู่ในสามสิบอันดับแรกของขั้นอลวน หากเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงของเจ้าบรรลุถึงกัณฑ์เก้า ผนวกกับความสามารถด้าน ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ และโลกลวงเร้นกายของเจ้า ความสามารถในการรักษาชีวิตก็น่าจะอยู่ในสิบอันดับแรกได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา
ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ระดับชั้นที่เก้านั้นมีอยู่ราวยี่สิบคน ชั้นที่แปดระดับยอดก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก! หากอาศัยเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงกัณฑ์แปดเพียงอย่างเดียว การป้องกันของร่างกายต้องจัดอยู่นอกร้อยอันดับแรกอย่างแน่นอน เพราะอย่างกายหยาบของระบบเหล่ากลืนกินก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ยังมีระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด การบำเพ็ญระบบทิพย์…และระบบศาสตร์โบราณบางคนที่มีพรสวรรค์พิเศษ ผู้ที่มีความสามารถในการรักษาชีวิตอันแข็งแกร่งนั้นมีมากมายยิ่งนัก
การป้องกันของร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกได้ก็น่าหวาดหวั่นมากแล้ว หากเป็นสิบอันดับแรก ก็คงจะสามารถต้านทานการโจมตีของเทพจักรวาลได้แล้ว
“ถึงตอนนั้น เมื่อรวมกับของกำนัลชิ้นใหญ่ที่พวกเราเตรียมไว้ให้ เจ้าก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “แน่นอนว่าลูกไม้การโจมตีของเจ้าออกจะอ่อนแออยู่บ้าง บัดนี้ในขั้นอลวน การโจมตีของเจ้านับว่าอยู่ในห้าสิบอันดับแรก! ในภายหน้าก็หวังว่าเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับฝูงมารผลาญทำลายที่เก่งกาจอย่างยิ่งที่รุกโจมตีเข้ามา หากมิอาจโจมตีสังหารได้ภายในชั่วพริบตา พวกเขาก็จะสามารถกระจายร่างหลบหนีไปได้”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ไปชายขอบของห้วงอากาศ บำเพ็ญให้ดีๆ ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าส่วนมากล้วนสำเร็จได้โดยการเคี่ยวกรำด้วยการต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วนบริเวณชายขอบของห้วงอากาศ” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รอคอย
การต่อสู้กับฝูงมารผลาญทำลายที่ชายขอบของห้วงอากาศ…การเคี่ยวกรำก็เป็นด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือหลังจากสังหารฝูงมารผลาญทำลายแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายก็จะปลดปล่อยพลังงานพิเศษออกมา ซึ่งจะคล้ายคลึงกันกับพลังงานของศิลาปฐมโลกา หากดูดซับเข้าไปแล้วก็จะมีส่วนช่วยวิญญาณเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยิ่งฝูงมารผลาญทำลายแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีส่วนช่วยมากขึ้นเท่านั้น หลังจาก ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ ระดับเกราะสีเทาทั่วไปสิ้นใจ พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาก็จะเทียบได้กับศิลาปฐมโลกาทั่วไปแล้ว หากเป็นระดับเกราะสีแดงโลหิต ประสิทธิภาพก็จะดีกว่าศิลาปฐมโลกาอีก หากเป็นระดับเกราะทอง…ก็ยิ่งเยี่ยมยอดเข้าไปใหญ่ สิ่งเหล่านี้ล้วนพุ่งเป้าไปที่การยกระดับแก่นวิญญาณทั้งสิ้น
ดังนั้น ในการต่อสู้นั้น การสั่งสมประสบการณ์ก็เป็นด้านหนึ่ง แก่นวิญญาณก็สามารถยกระดับขึ้นได้ ดังนั้นขั้นอลวนระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า ส่วนมากก็มักจะเคี่ยวกรำทางแถบนั้นก่อนแล้วค่อยปรากฏตัวขึ้นมา
………………………………