Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 16 เจ้าศิลาประชันจอมเทพศักดิ์สิทธิ์!
ตอนที่ 16 เจ้าศิลาประชันจอมเทพศักดิ์สิทธิ์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดสิบแปรขึ้นมา ชายชราร่างผอมเล็กจึงย่อมสัมผัสรับรู้ได้บ้างเป็นธรรมดา
ชายชราร่างผอมเล็กก็คุ้นเคยกับการสัมผัสรับรู้เช่นนี้ไปเสียแล้ว
แต่ในยามนี้…
การสัมผัสรับรู้นั้นกลับหายไป!
หายไปแล้วหรือ ชายชราร่างผอมเล็กรู้และเข้าใจดีเป็นอันมากว่านี่หมายความว่าอะไร ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเย็นวาบในใจขึ้นมาทันใด
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ชายชราร่างผอมเล็กทอดสายตามองออกไปไกล นัยน์ตาทั้งสองมีภาพเหตุการณ์จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ โบกมือทำลายกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิง…กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงมลายหายไป กายหยาบนั่งอยู่ในโถงตำหนักของโลกทิพย์โบราณแห่งนั้น…ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราพลางสนทนากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จับตงป๋อเสวี่ยอิงมาทั้งเป็น…
ภาพเหตุการณ์ฉากแล้วฉากเล่าปรากฏขึ้น แม้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ในนั้น แต่ชายชราร่างผอมเล็กก็สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน
“ถึงกับ…”
“ถึงกับ ถึงกับกล้า! กล้าสังหารศิษย์ของข้าเชียวหรือนี่!!!” นัยน์ตาของชายชราร่างผอมเล็กสาดประกายร้ายกาจอันน่าหวาดหวั่นออกมา ตู้ม… กระแสอากาศสีดำอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบแผ่ออกมาจากผิวกายของชายชราร่างผอมเล็ก แล้วโอบล้อมทั้งหุบเขาของยอดเขาบัลลังก์เทพในทันใด ทำเอายอดเขาบัลลังก์เทพโบราณอันเร้นลับแห่งนี้สะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
แม้จะยังมิได้รับเป็นศิษย์ แต่เขาก็ถือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศิษย์ตั้งนานแล้ว
“ฟิ้ว”
ไม้เท้าในมือของชายชราร่างผอมเล็กหายวับไป เขาสาวเท้าคราหนึ่ง ก็อันตรธานไปในอากาศทันที…
เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้งก็อยู่ที่หน้าโถงตำหนักอันสูงตระหง่านใจกลางโลกทิพย์โบราณแล้ว
ณ โลกทิพย์โบราณ ที่นี่มีร่างแปรทิพย์โบราณประจำการอยู่ ร่างแปรทิพย์โบราณแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับ ‘โลกทิพย์โบราณ’ แล้ว ในที่แห่งนี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไร้ศัตรูโดยแท้! แม้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กับบรรดาเทพจักรวาลมาหลายครั้ง ทว่าแต่ไหนแต่ไรบรรดาเทพจักรวาลไม่เคยมีผู้ที่กล้าบุกเข้าไปในโลกทิพย์โบราณมาก่อน
แต่วันนี้…
ชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้กลับยืนอยู่กลางอากาศเหนือตำหนักทิพย์ใจกลางสุดของโลกทิพย์โบราณ
“เจ้ามารทึ่มไสหัวออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!” ชายชราร่างผอมเล็กพลันคำรามเสียงโกรธเกรี้ยวขึ้นมาคราหนึ่ง ตู้ม…ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพุ่งออกจากปากของชายชราร่างผอมเล็ก สามารถเห็นได้ว่ามันพุ่งออกไปโจมตีตำหนักทิพย์ที่อยู่ไกลออกไปในทันใด ตำหนักทิพย์ตั้งตระหง่านมานานแสนนาน แข็งแกร่งทนทานหาใดเปรียบ แต่ยามนี้กลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียงดังกึกก้องในทันที บริเวณหลายแสนล้านลี้โดยรอบก็สั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวไปหมด รอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
พลังงานอันไร้รูปร่างแผ่กำจายออกไป แล้วฝืนบังคับทำให้โลกทิพย์โบราณมั่นคงดังเดิม
มิเช่นนั้นเพียงแค่เสียงคำรามนี้ เกรงว่าโลกทิพย์โบราณก็คงจะแตกสลายไปแล้ว
“ฟิ้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในเสื้อคลุมกันลมสีดำเดินออกมาจากตำหนักทิพย์ที่ระเบิดออก เขาปกป้องบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ไม่ทัน ได้แต่ปกป้องประมุขนรกภูมิเท่านั้น เขาโบกมือคราหนึ่งก็เคลื่อนย้ายประมุขนรกภูมิออกไป ก่อนจะขมวดคิ้วมองดูชายชราร่างผอมเล็กด้านนอก
“เจ้าศิลา เจ้าไม่ยอมนอนอยู่ที่ดวงอาทิตย์ดั้งเดิมของเจ้า มาหาข้าที่นี่ทำไมกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พูดพลางขมวดคิ้ว
ด้วยนิสัยของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้จะถูกบุกมาทำลายตำหนักทิพย์ถึงที่ กลับยังไม่อยากลงมือสักเท่าใดนัก เขาคิดจะยอมคนให้เรื่องสงบไปเอง ด้วยรู้ดีว่าชายชราร่างผอมเล็กตรงหน้าผู้นี้น่าหวาดหวั่นเพียงใด
“ข้ามาหาเจ้าที่นี่ทำไมน่ะรึ”
กลิ่นอายสีดำเหนือผิวกายของชายชราร่างผอมเล็กพุ่งทะยานขึ้นมา นัยน์ตาทั้งคู่เปล่งประกายสีอำพัน ท่ามกลางกระแสอากาศสีดำที่ม้วนตัวอยู่ ประกายสีอำพันในดวงตาก็ยังปรากฏขึ้นมา เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้ามารทึ่ม ข้าคร้านที่จะลงมือกับเจ้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับสังหารศิษย์ของข้า”
“สังหารศิษย์ของเจ้าหรือ ศิษย์ของเจ้ามิได้มีแค่พวกบรรพชนโลกาสามคนนั่นหรือไร” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์งุนงง
“ตงป๋อเสวี่ยอิง!” ชายชราร่างผอมเล็กพูดอย่างโมโห
“เขา เขาเป็นศิษย์ของเจ้าหรือ” สีหน้าของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปรไปบ้าง
“เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของเขาบรรลุถึงระดับสิบแปร เจ้ามองไม่ออกหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กขบกรามแน่น แม้เขาจะถือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศิษย์อยู่ในใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมิได้รับเป็นศิษย์! ดังนั้นตอนที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิง มิได้พบว่ามีความพิเศษอันใด ส่วนเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดหรือ จักรพรรดิดำได้เผยแพร่สี่เคล็ดวิชาสืบทอดออกไป ผู้ที่ศึกษาสำเร็จมีตั้งมากมายก่ายกอง
คนเหล่านั้นไม่มีคุณสมบัติพอจะเรียกได้ว่าเป็นศิษย์ของเจ้าศิลา
“แม้ข้าจะรู้สึกว่าศิษย์ของข้าคนนี้ทึ่มทื่อไปบ้าง เมตตาปรานีเกินไปบ้าง ทำให้ลำบากและเหน็ดเหนื่อยเกินไปบ้างหากเป็นข้าก็คงไม่มีทางเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้แน่ แต่ข้ากลับพึงพอใจในตัวศิษย์คนนี้มากทีเดียว” ชายชราร่างผอมเล็กคำรามเสียงต่ำ “เจ้ามารทึ่ม เจ้าสังหารเขา ประเสริฐมาก ให้ข้าได้เห็นหน่อยสิว่าพลังของเจ้ามารทึ่มอย่างเจ้าบำเพ็ญไปถึงระดับใดแล้ว”
“เจ้าอย่าเพิ่งเสียสติไปเลย” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สีหน้าเปลี่ยนแปรไป
ด้านหลังชายชราร่างผอมเล็กกลับมีเงารางสีดำอันใหญ่โตหาใดเปรียบปรากฏขึ้น เงารางสีดำมีกระดองขนาดใหญ่ ส่วนอื่นๆ ของร่างมีเกล็ดซึ่งเหมือนกับศิลาก้อนแล้วก้อนเล่ารวมทั้งศีรษะอันโหดเหี้ยมด้วย
ยามนี้เจ้าศิลามีเพลิงโทสะแน่นเต็มอก
เจ้าหนุ่มคนนั้น เจ้าหนุ่มที่บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นมากคนนั้น เขายังมิทันได้เดินไปสำแดงพลังต่อหน้าศิษย์คนนี้แล้วรับเขาเป็นศิษย์เลย! กลับสิ้นใจไปเช่นนี้เสียแล้ว เขามีเพลิงโทสะแน่นเต็มอกจนต้องระบายออก เขาจะแก้แค้นแทนศิษย์!
“ตู้มมม…”
ร่างแปรทิพย์โบราณสีดำทั้งร่างปรากฏขึ้นแล้ว มันรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แทบจะในพริบตา
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าศิลาที่บ้าคลั่งนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องทุ่มเทสุดกำลังทันที เพราะเขารู้ดีว่าหากไม่ทุ่มเทสุดกำลัง เขาก็อาจถูกสังหารจนตายได้จริงๆ! ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกขมขื่นอยู่บ้าง เขาจับตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมาทั้งเป็นแล้วตระเตรียมสุราชั้นดีให้เขา ท้ายที่สุดทุกสิ่งกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นยอมตายดีกว่ารับปากเขา
ตายก็ตายไปเถิด แม้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะโมโห ทว่าที่แล้วก็แล้วไปเถิด
เพียงแต่ ‘เจ้าศิลา’ ที่น่าหวาดหวั่นผู้นั้นกลับโผล่ออกมาเสียนี่! จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เข้าใจดีว่า ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาเกรงกลัวและปวดหัวด้วยมากที่สุด เพียงแต่เจ้าศิลาที่ักจะหลับใหลอยู่เป็นประจำผู้นี้ นับตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมถือกำเนิดขึ้นมา จนถึงอากาศอันสับสนอลหม่านแตกสลายในท้ายที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าศิลาก็น่าจะเพิ่งเคยตื่นขึ้นมาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เวลาอื่นๆ ล้วนแต่หลับใหล
แต่ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์หวั่นเกรงเจ้าศิลาผู้นี้ที่สุดมาโดยตลอด! อย่างอาจารย์ของพวกประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมย รวมทั้งเจ้าเมืองหลัวผู้ลึกลับยากเกินคาดเดาผู้นั้น…ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ระดับการคุกคามก็สู้เจ้าศิลาผู้นั้นมิได้เลย
แต่บัดนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าศิลาโมโหเสียแล้ว!
ทั้งสำนึกเสียใจ ขมขื่นและจนใจ ต่อให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ยินยอมพร้อมใจยิ่งกว่านี้ก็ทำได้เพียงรับศึกเต็มกำลังเท่านั้น! เขาไม่อยากถูกโจมตีจนตายด้วยความประมาท!
……
และยามนี้ในวังทวีสูญ
บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่และบรรพชนห้วงอากาศทั้งสามคนพบหน้ากันแล้ว บรรพชนห้วงอากาศก็หยิบกำไลเก็บวัตถุนั้นมา
“เสวี่ยอิงก็พูดแล้วว่า เคล็ดลับวิชานี้มิอาจเผยแพร่ไปภายนอกง่ายๆ ผู้ที่พวกเขาเชื่อใจอย่างแท้จริงก็มีเพียงพวกเราสามคนเท่านั้น” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “ข้าและจอมกระบี่ได้ดูแล้ว ทว่าพวกเรามิได้ค้นคว้าทางด้านอากาศมากสักเท่าใดนัก ภายในระยะเวลาสั้นๆ จึงมิอาจฝึกให้สำเร็จได้”
บรรพชนห้วงอากาศหยิบกำไลมา ในใจรู้สึกเศร้าสร้อย
เขาประสบความสำเร็จทางด้านอากาศลึกล้ำเพียงใดกัน เพียงแค่มองคราหนึ่งก็ศึกษาสำเร็จได้ทันทีแล้ว ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานี้ก็ได้เปิดประตูอีกบานหนึ่งของการค้นคว้าอากาศออกมา
แต่ยามนี้เขาไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพียงความเศร้าโศกเสียใจเท่านั้น
“ศิษย์กู่ฉี อาจารย์ไร้ความสามารถ มิอาจปกป้องเจ้าได้ บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงศิษย์เจ้าก็มาสิ้นใจด้วยน้ำมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อีก!” บรรพชนห้วงอากาศรู้สึกชิงชัง “อาจารย์ปู่อย่างข้าไร้ความสามารถ ไร้ความสามารถ! ข้าขอสาบาน…ว่าชั่วชีวิตนี้ แม้ต้องพลีชีพก็จะต้องฆ่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ได้โดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น”
เดิมทีบรรพชนห้วงอากาศนั้นรักใครสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เดิมทีเขาจึงโมโหที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะควบคุมสิ่งมีชีวิตทั้งมวลอยู่แล้ว บัดนี้ทั้งศิษย์และศิษย์หลานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของศิษย์ตนก็ล้วนตายตกไปด้วยน้ำมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่องกัน
“เรื่องมิอาจเนิ่นช้าได้ มิอาจให้เสวี่ยอิงสูญเสียเลือดเนื้อไปเปล่าๆ ได้” บรรพชนห้วงอากาศพูดเสียงต่ำ “เคล็ดลับวิชานี้มิอาจถ่ายทอดไปภายนอกได้ ทว่าพวกเราก็ยังต้องให้พวกบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดมาที่นี่ทันที เพื่อไปทำลายรังระดับเกราะทองสามแห่งที่เสวี่ยอิงพบทิ้งเสีย”
“อื้ม” บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่พยักหน้า
…………………………..