Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 17 โศกเศร้า
ตอนที่ 17 โศกเศร้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่นานนักพวกบรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกาและราชันย์มีดต่างก็ทราบข่าวกันถ้วนหน้า แต่ละคนพากันแตกตื่นที่เจ้าหนุ่มนาม ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ สิ้นใจไปเช่นนี้! โดยเฉพาะบรรพชนโลกา เขารู้ดีว่าอาจารย์ของเขาจะรับตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศิษย์
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจบริเวณกว่าครึ่งของทางเดินโลกาพิศวงไปแล้ว นอกจากรังระดับเกราะทองในครั้งก่อน เขายังพบรังระดับเกราะทองอีกสามแห่ง พวกบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดทั้งตกใจทั้งยินดี ,แต่ก็ต้องทอดถอนใจด้วยเช่นกัน
ทว่าพวกเขามิกล้าชักช้า
จากนั้นบรรพชนทิพย์ บรรพชนห้วงอากาศและราชันย์มีดก็ร่วมมือกันเคลื่อนไหว มุ่งหน้าไปยังทางเดินโลกาพิศวง
“ฟิ้ว”
ภายในทางเดินโลกาพิศวง
ตัวบรรพชนห้วงอากาศเองก็เชี่ยวชาญทางด้านการเคลื่อนย้ายเป็นระยะทางไกลโพ้นอยู่แล้ว บัดนี้ยังศึกษาศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจนสำเร็จ จึงย่อมสบายมากขึ้นเป็นธรรมดา วิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่า ระดับขั้นก็สูงกว่า ขอบเขตในการ ‘สอดส่อง’ ก็ใหญ่กว่าและชัดเจนกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมากนัก
“อยู่ที่นี่” บรรพชนห้วงอากาศถือป้ายคำสั่งอันหนึ่งซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้อยู่ในมือ พลางสัมผัสรับรู้วัตถุคำมั่นของเครื่องหมายมิติ หลังสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาหลายครั้ง เขาก็พาบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดไปถึงมิติแห่งหนึ่งที่ปิดผนึกเอาไว้
ภายในมิติปิดผนึก
บรรพชนห้วงอากาศพบเครื่องหมายมิติที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้
“นี่คือมิติที่ทำเครื่องหมายเอาไว้ รังระดับเกราะทองอยู่รอบๆ บริเวณนี้แหละ” บรรพชนห้วงอากาศเริ่มสอดส่องโดยรอบ แล้วเขาก็ทอดถอนใจ แม้การเคลื่อนย้ายเป็นระยะทางไกลโพ้นของเขาจะสามารถสัมผัสรับรู้บริเวณไกลออกไปได้เช่นกัน แต่กลับเลือนรางเป็นอันมาก ส่วน ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ไม่เพียงสำแดงออกมาสบายมากเท่านั้น แต่ยังสามารถสอดส่องรอบด้านได้ชัดเจนกว่านับพันนับหมื่นเท่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอดส่องในระยะใกล้ ก็เหมือนกับตนไปอยู่ที่นั่นอย่างไรอย่างนั้น
“มองเห็นแล้ว แต่ว่าไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะหาเครื่องหมายมิติอีกสองแห่งเสียก่อน” บรรพชนห้วงอากาศกล่าว “รอให้ข้ามั่นใจในพิกัดของรังระดับเกราะทองครบทั้งสามแห่งเสียก่อน ค่อยเคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน ไม่ลงมือก็แล้วไป แต่ลงมือเมื่อไหร่ก็ต้องทำลายรังระดับเกราะทองทั้งสามแห่งต่อเนื่องกันด้วยความเร็วสูงสุด”
“ดี” บรรพชนทิพย์และราชันย์มีดต่างก็เห็นด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เวลาเป็นล้านล้านปีเพื่อเสาะหาแล้วทิ้งเครื่องหมายมิติเอาไว้ด้วยความยากลำบาก บรรพชนห้วงอากาศมีคำชี้แนะ เมื่อค้นหาจึงง่ายดาย ไม่นานก็มั่นใจทั้งหมดแล้ว
“เคลื่อนไหว”
ภายในมิติของรังระดับเกราะทองแห่งหนึ่ง ฝูงมารผลาญทำลายตนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ภายในมองดูเงาร่างสามสายซึ่งเดินออกมาจากมิติอันบิดเบี้ยวด้วยความตกตะลึง เขาเพิ่งส่งสารไปยังบรรดา ‘อ๋อง’ ทั้งหลาย ผู้บำเพ็ญที่สวมอาภรณ์สีทองผู้นั้นก็ปะทุประกายมีดอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ประกายมีดนั้นโหมซัดทำลายทั้งพื้นที่รังด้วยเสียงดังแหลมในทันใด
หากพูดถึงพลังทำลายล้างแล้ว ในบรรดาราชันย์มีด บรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาทั้งสามคนนั้น ราชันย์มีดแข็งแกร่งที่สุด แน่นอนว่าจอมกระบี่ในตอนนี้สามารถเทียบกับเขาได้แล้ว
“ไปแห่งต่อไป”
พวกเขาทั้งสามรวดเร็วยิ่งนัก อันที่จริงที่บรรพชนทิพย์มาด้วยนั้น ก็เพื่อป้องกันเวลาที่บรรดา ‘อ๋อง’ แห่งฝูงมารผลาญทำลายมา ขอเพียงบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดสองคนร่วมมือกันก็เพียงพอที่จะต้านทานการร่วมมือของบรรดา ‘อ๋อง’ แห่งฝูงมารผลาญทำลายได้แล้ว
“ฟิ้วๆๆ…” ประกายมีดเสียงดังหวีดหวิวดุจกระแสคลื่น ทำลายล้างทั้งพื้นที่รังจนสิ้น
“พวกเราหาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนที่เสวี่ยอิงหานั้นต้องเสาะหาไปทั่วทุกหนแห่งเป็นแน่ ตอนนั้นจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นใช้เวลานานถึงเพียงนั้นก็ยังหารังระดับเกราะทองไม่พบสักแห่ง เสวี่ยอิงหาพบถึงสี่แห่งตามลำดับ ช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย” บรรพชนห้วงอากาศเองก็พบแล้วว่า ระดับขั้นของเขานับว่าสูงแล้ว บริเวณที่สอดส่องก็เป็นบริเวณรอบกายใกล้ๆ จะสำรวจไปทีละแห่งๆ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของทางเดินโลกาพิศวง หากสำรวจก็ต้องสำรวจเป็นเวลานานมาก
หากสำรวจเพียงครู่เดียวก็หยุดพักเพื่อบำเพ็ญ เกรงว่าก็คงจะยืดเยื้อนานยิ่งขึ้นไปอีก อย่างจ้าวภูเขาฉื้อเหมย ตอนนั้นเก็บค่าใช้จ่ายสูงอย่างยิ่งเพื่อสำรวจ แต่กลับมิได้ตั้งใจเหมือนตงป๋อเสวี่ยอิง
จะสำรวจครั้งหนึ่งในชั่วพริบตาก็คือการสำรวจ สำรวจชั่วจอกชาหนึ่งก็คือการสำรวจ ประสิทธิภาพย่อมห่างไกลกันราวฟ้ากับเหว
……
“อะไรนะ”
“ทำลายหมดแล้วหรือ รังระดับเกราะทองทั้งสามแห่งถูกทำลายไปหมดแล้วหรือ”
บรรดาอ๋องของฝูงมารผลาญทำลายที่ได้รับข่าวต่างก็ตะลึงลานไปหมด รวมทั้ง ‘จักรพรรดิจวิน’ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ตื่นตะลึงเหลือแสน พวกเขามาถึงพื้นที่รังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งที่ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งมิตินี้แตกสลายไปก่อนนานแล้ว พวกเขาแต่ละคนมองดูด้วยความตกตะลึง รอบด้านยังมีคลื่นตกค้างจากประกายมีดคมกริบหลงเหลืออยู่
“เป็นราชันย์มีด” จักรพรรดิจวินพูดเสียงต่ำ
“นี่มันเรื่องอันใดกัน เทพจักรวาลในหมู่ผู้บำเพ็ญนี่มันอะไรกัน ไยจึงทำลายรังระดับเกราะทองถึงสามแห่งต่อเนื่องกัน พวกเขาค้นพบได้อย่างไรกัน”
บรรดาอ๋องเหล่านี้พากันตะลึงงันไปหมด ในใจรู้สึกหนาวเหน็บ
เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีว่า พลังระดับยอดสุดของพวกเขาเหล่าฝูงมารผลาญทำลาย เมื่อเทียบกับทางฝ่ายผู้บำเพ็ญแล้วก็เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้พวกเขามีแต่ ‘พลังป้องกัน’ เท่านั้น ต่อให้เข้าไปแทรกซึมในโลกของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ ก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ โดยไม่มีพลังโจมตีซึ่งหน้าเลย ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของพวกเขาก็คือพวกเขาเพิ่มจำนวนขึ้นได้รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ
รังสามารถให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลายได้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย เมื่อจำนวนเพิ่มมากขึ้น จำนวน ‘อ๋อง’ ที่ถือกำเนิดขึ้นก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ครั้งก่อนถูกโจมตีรังระดับเกราะทองไปแห่งหนึ่งก็เจ็บปวดใจมากแล้ว ครั้งนี้ยังสูญเสียรังไปถึงสามแห่งติดต่อกัน
“เหลือแค่สองแห่งสุดท้ายแล้ว”
“รังระดับเกราะทองสองแห่งให้กำเนิดเผ่ามารระดับเกราะทองก็ช้าลงมากทีเดียว ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อใดจึงจะบ่มเพาะรังแห่งที่สาม แห่งที่สี่ขึ้นมาได้…” บรรดาอ๋องของฝูงมารผลาญทำลายในที่นั้นพากันตื่นตระหนก “ที่กลัวที่สุดก็คือบัดนี้พวกเขาทำลายไปสามแห่งต่อเนื่องกัน ไม่แน่ว่าอาจจะพบสองแห่งสุดท้ายอีกก็เป็นได้”
“วางใจเถิด ยิ่งนานไป ความเร็วในการถือกำเนิดรังก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” จักรพรรดิจวินพูดเสียงต่ำ “ตอนนี้พวกเขาเพียงแค่ลดความเร็วของพวกเราลงอย่างมากเท่านั้น ถึงตอนท้าย ความเร็วในการถือกำเนิดของพวกเราก็จะเกินจริงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะสังหารอย่างไรก็สังหารไม่หมด”
******
พวกบรรพชนทิพย์ ราชันย์มีดและบรรพชนห้วงอากาศล้วนกลับไปแล้ว การเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้ช่างแสนสบาย งานใหญ่สำเร็จลุล่วงด้วยดี
“สำเร็จแล้วหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่มองเห็นบรรพชนทิพย์ ราชันย์มีดและบรรพชนห้วงอากาศที่เดินออกมาจากมิติอันบิดเบี้ยวด้านข้าง
“เมื่อนับๆ ดูแล้ว ครั้งนี้พบรังระดับเกราะทองทั้งหมดสามแห่ง ก็ควรจะมอบศิลาปฐมโลกาให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามหมื่นก้อนกระมัง” บรรพชนทิพย์ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่เขาสิ้นใจไปแล้ว ทว่าพวกเราก็มิอาจเอาเปรียบเขาได้ มอบให้คนใกล้ชิดของเขาแทนก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องรีบร้อนให้หรอก พวกเขายังมีพลังอ่อนแอ สำหรับพวกเขาแล้ว มอบสมบัติล้ำค่าให้ไปก็มิใช่เรื่องดีแต่อย่างใด ข้าจะเตรียมการให้เหมาะสมเอง” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว
“อื้ม”
แต่ละคนในที่นั้นพากันพยักหน้า
ยิ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่อยากติดค้าง พวกเขารู้สึกติดค้างตงป๋อเสวี่ยอิง บัดนี้จึงทำได้เพียงชดเชยให้บุตรและภรรยาของตงป๋อเสวี่ยอิงแทนแล้ว
“เอ๊ะ” พวกบรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา จอมกระบี่ ราชันย์มีดและบรรพชนเทียนอวี๋พลันหน้าถอดสีไปทันใด พวกเขาหันขวับไปมองทางทิศหนึ่งไกลออกไปทันที
ที่นั่นก็คือโลกทิพย์โบราณ
เนื่องจากเมื่อครู่พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ
ต้องรู้ไว้ว่า ระยะทางห่างไกลถึงเพียงนี้ ระลอกคลื่นก็ยังทำให้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ จะต้องเป็นระลอกคลื่นที่น่าหวาดหวั่นเพียงใดกัน คิดๆ ดูแล้วพวกเขาก็ตัวสั่นระริกทั้งที่ไม่หนาวแต่อย่างใด
……
ณ โลกทิพย์โบราณ
เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กันเสียจนบริเวณวงกว้างโดยรอบแตกกระจายเสียหายไปหมด ทั้งโลกทิพย์โบราณมีพลังงานอันไร้รูปร่างพยายามคงสภาพเอาไว้ หากมิใช่เพราะจอมเทพศักดิ์สิทธิ์พยายามปกป้องโลกทิพย์โบราณเอาไว้อย่างสุดกำลัง โลกทิพย์โบราณก็คงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไปนานแล้ว
“ตู้ม!”
สัตว์ประหลาดสีดำอันใหญ่โตตัวหนึ่งพังพาบอยู่กลางอากาศ คือร่างจริงของเจ้าศิลานั่นเอง
บัดนี้ลำแสงสีดำสายหนึ่งได้ทะลุผ่านเกราะเกล็ดตรงส่วนท้องของสัตว์ประหลาดสีดำ จากนั้นก็ทะลุออกทางกระดองด้านหลัง ทิ้งรูขนาดมหึมาเอาไว้
ฟิ้ว
เงาร่างสีดำขนาดมหึมาสลายไปแล้วกลายเป็นชายชราร่างผอมเล็ก ส่วนลำแสงสีดำไกลออกไปนั้นก็รวมตัวกันเป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำผู้นั้น ยามนี้สีหน้าของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่น่ามองเอาเสียเลย ส่วนกลิ่นอายของชายชราร่างผอมเล็กก็ออกจะอ่อนแออยู่บ้าง
“เจ้าบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“พลังต้นกำเนิดที่เจ้าสะสมมานั้นมีมากพอตัวทีเดียว แผดเผาร่างแปรทิพย์โบราณจนทำให้ต้นกำเนิดของข้าเสียหายได้” ชายชราร่างผอมเล็กพูดเสียงต่ำ
ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งโกรธทั้งโมโห พลังต้นกำเนิดของร่างแปรทิพย์โบราณของเขาถูกแผดเผาจนสิ้น ต้องพยายามสุดชีวิตจึงสามารถทำให้ตาเฒ่าผู้นี้บาดเจ็บสาหัสได้ “เจ้าศิลา ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บสาหัสแล้ว เกรงว่าพลังคงจะเหลือเพียงสี่ห้าส่วนจนทำอะไรข้ามิได้แล้วกระมัง ยังมีอีก แม้เรื่องครั้งนี้จะเป็นข้าที่จับตัวตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มาทั้งเป็น แต่จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเพราะเจ้าหนุ่มจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นจงใจปล่อยข่าวมาให้ข้า”
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมยหรือ” นัยน์ตาของ ‘เจ้าศิลา’ ชายชราร่างผอมเล็กเริ่มมีภาพจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
“ถูกต้อง เป็นเขา เขาจะประมาทถึงเพียงนั้นจริงๆ ได้อย่างไรกัน ต้องจงใจปล่อยข่าวออกมาให้ข้าเป็นแน่” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าว ก่อนหน้านี้เขาไม่สนใจว่าจะถูกหลอกใช้ แต่ตอนนี้แตกต่างออกไปแล้ว เขาสูญเสียไปมากมายถึงเพียงนี้ กลเม็ดที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างร่างแปรทิพย์โบราณก็ถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว จะให้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อย่างไรกัน
เขามิอาจสังหารได้
แต่เจ้าศิลากลับสามารถสังหารได้!
……………………………………..