Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 19 โลกอีกใบ
เงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนกเดือดดาลขึ้นมาในทันใด ชายชราร่างผอมเล็กตรงหน้าผู้นี้สังหารในทันทีอย่างไม่รีบร้อน ทั้งยังรอให้เขาปรากฏตัวขึ้นก่อนแล้วค่อยสังหาร เห็นได้ชัดว่าจงใจหักหน้าเขา นอกจากนี้ เขายังรับศิษย์ไว้ทั้งสิ้นเพียงแค่สองคนในอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ เขาชมชอบ ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ ศิษย์คนเล็กผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าถูกกับอุปนิสัยของเขาเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้มาจากภายนอกคนหนึ่งอย่างเจ้า อยู่ภายในอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ ต่อให้พลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่านี้ก็ต้องถูกกดดันไปถึงขั้นอลวน ขั้นอลวนคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้า ยังจะให้ข้าไว้หน้าเจ้าอีกหรือ” เจ้าศิลา ชายชราร่างผอมเล็กยิ้มเยาะ “ถ้าหากเป็นหยวนและเจ้าเมืองหลัวมาพูดสักคำหนึ่ง ข้าก็ย่อมไว้หน้าอยู่แล้ว เจ้ายังจะให้ข้าไว้หน้าอีกอย่างนั้นหรือ”
“เฮอะ” เงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนกฮึดฮัด “ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ก็ได้แต่อยู่ภายในโลกกำเนิดของเจ้าแห่งนี้เท่านั้นแหละ ออกมาไม่ได้แน่ ยังจะดูแคลนข้าอีกอย่างนั้นหรือ”
เขาเดือดดาลนัก
เขาสำเร็จวิชาศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา สามารถไปยังโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ ได้ ก็ย่อมรอบรู้กว้างไกลเป็นธรรมดา ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับมามากมาย ภายใต้สถานการณ์ปกติ บุคคลระดับขั้นเดียวกันต่างก็มีไมตรีต่อเขาเป็นอย่างดี แลกเปลี่ยนศาสตร์ลับซึ่งกันและกัน ไหนเลยจะคิดว่าตาเฒ่าผู้นี้จะไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ได้
“ไสหัวไป!” ชายชราร่างผอมเล็กพลันตะคอกเสียงหนึ่ง
ปัง!
กระแสอากาศสีดำอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งระเบิดและกดดันจากผิวกายของเขาเข้าไป เงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนกไม่ทันหลบนี้ ก็ถูกแรงกดดันปะทะเข้าจนแหลกสลาย แต่นี่เป็นเพียงแค่ร่างแยกร่างหนึ่งของเขาเท่านั้น เป็นถึงท่านอาจารย์ของประมุขหอหมื่นโลกา เขาก็มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้ว
เช่นเดียวกัน
“อยู่ในถิ่นข้า ยังจะมาวางโตกับข้าอีกหรือ เป็นแค่ผู้มาจากภายนอกคนหนึ่งเท่านั้นเองนะ” นัยน์ตาของชายชราร่างผอมเล็กเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเขาต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตภายในอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้
ทั้งสองต่างก็สามารถสำแดงพลังยุทธ์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้มาจากภายนอกคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีระดับขั้นพอๆ กันกับเขา พออยู่ในโลกนี้พลังยุทธ์ก็อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก
“เฮ้อ”
การต่อสู้และการสังหารที่ผ่านมาก็เพื่อปลดปล่อยเพลิงโทสะภายในใจ ในขณะนี้ ‘เจ้าศิลา’ ชายชราร่างผอมเล็กกลับทอดถอนใจ ไม่ว่าอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิง ศิษย์ที่เขาชมชอบและเห็นความสำคัญผู้นั้นก็ตายไปแล้ว โอกาสมากมายที่ก่อนหน้านี้เขาเตรียมไว้ให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลายเป็นความว่างเปล่า สูญสิ้นไปหมดแล้ว
“หลับไปเสีย หลับไปเสียดีกว่า รอให้ถึงตอนที่อากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้สูญสลายค่อยตื่นมาดูก็แล้วกัน” เจ้าศิลาหดหู่ท้อถอยอยู่บ้าง
“แค่กๆ”
เขากระแอมสองครั้ง การโจมตีอย่างไม่เสียดายสิ่งใดของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำร้ายต้นกำเนิดของเขาเข้าอย่างจังแล้วจริงๆ
“เจ้ามารนั่นช่างโหดเหี้ยมนัก นอกจากนี้ร่างจริงของเขายังมิได้เสียหายอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ร่างแปรทิพย์โบราณที่สั่งสมมาก็หมดสิ้นไปแล้ว เกรงว่าคงต้องถึงเวลาที่อากาศอันสับสนอลหม่านใกล้จะแตกสลายจึงจะฟื้นคืนกลับมาใหม่ได้กระมัง” เจ้าศิลาส่ายศีรษะ ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็หายลับไปไม่เห็นอีก
ณ ดวงอาทิตย์ดั้งเดิม
บนลูกกลมไฟอันใหญ่โตมโหฬารหาใดเปรียบ มีเงาร่างสีดำขนาดมหึมาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เงาร่างสีดำขนาดมหึมาร่างนี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ภายในของดวงอาทิตย์ดั้งเดิม เริ่มต้นเข้าสู่ห้วงนิทรา บำเพ็ญในห้วงนิทรา ทั้งยังรักษาอาการบาดเจ็บภายในห้วงนิทราอีกด้วย
……
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยานั่งอย่างว่างเปล่าอยู่ที่นั่น
พวกเขาเพิ่งจะได้รู้ ก็ทนรับไม่ไหวอยู่บ้าง ท่านพ่อของพวกเขามีพลังยุทธ์เช่นไร ตอนนั้นที่เข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านตอนยังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองเทพแท้ก็ยังไม่ตาย ตอนนี้ไปถึงระดับขั้นสูงสุดถึงขนาดที่สามารถรับมือกับเทพจักรวาลซึ่งๆ หน้าได้แล้ว แต่กลับตายเสียได้อย่างนั้นหรือ ตายด้วยน้ำมือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ นั่นเป็นถึงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ พลังของตัวคนเดียวก็สามารถเทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมดได้แล้ว
ถึงแม้ว่าความเกลียดชังในใจจะพรั่งพรู แต่พี่สาวน้องชายทั้งสองคนต่างก็รู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง พวกเขามิใช่ผู้ล้ำเลิศเปี่ยมพรสวรรค์ร้ายกาจดังเช่นตงป๋อเสวี่ยอิง แม้กระทั่งการเป็นขั้นอลวน พวกเขาก็ยังไม่มีความมั่นใจเลย
“เส้นทางการบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้แหละ มีความยากเข็ญขัดขวางอยู่ ท่านพ่อของพวกเจ้าก็แค่มิได้ผ่านมันไปเท่านั้นเอง” อวี๋จิ้งชิวพูด “แต่ข้าก็ยังภาคภูมิใจในตัวเขานะ เผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาก็มิได้อ้อนวอน มิได้ก้มหัวให้ ในภายภาคหน้าพวกเจ้าสองพี่น้องก็ต้องบำเพ็ญให้ดีๆ ล่ะ ไม่มีผู้ใดกำบังลมฝนให้กับพวกเจ้าอีกต่อไปแล้วนะ”
“อืม”
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างก็พยักหน้า
อวี๋จิ้งชิวพลันสะดุ้งเล็กน้อย เพราะว่าเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางห้วงสมองของนาง ซึ่งก็คือร่างของบรรพชนโลกานั่นเอง “อวี๋จิ้งชิว เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงสามีของเจ่าควรจะได้เป็นศิษย์น้องของข้า น่าเสียดายนัก แต่ท่านอาจารย์ของข้ารับมือกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว โจมตีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างหนัก นอกจากนี้ท่านอาจารย์ของข้าก็ลงมือสังหารจ้าวภูเขาฉื้อเหมยด้วย ต่อไปเจ้าก็ดูแลบุตรชายบุตรสาวคู่นี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงให้ดีๆ เถิดนะ ถ้าหากมีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้” พูดจบแล้วเงารางของบรรพชนโลกาผู้นั้นก็เลือนหายไปจากห้วงสมองของนาง
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมยตายแล้วอย่างนั้นหรือ” อวี๋จิ้งชิวสะดุ้งคราหนึ่ง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สังหารมิได้ แต่ท่านอาจารย์ของบรรพชนโลกาสังหารได้อย่างนั้นหรือ
บรรพชนโลกามีอาจารย์ด้วยหรือ ทั้งยังโจมตีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างหนักด้วยเช่นนั้นหรือ ห้วงสมองของอวี๋จิ้งชิวมีข้อสงสัยมากมายเหลือเกิน ในขณะเดียวกันบรรพชนโลกาก็ยังให้สัญญาว่าหากมีปัญหาก็ให้ไปหาเขาได้ นี่ทำให้อวี๋จิ้งชิวรู้สึกได้ถึงอิทธิพลของสามีตน
อวี๋จิ้งชิวไม่รู้เลยว่า
หลังจากการต่อสู้นี้ แม้กระทั่งจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็ยังนึกเสียใจอยู่บ้าง เพราะว่าการสูญเสียในคราวนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน! ทำให้เขาต้องกบดานเป็นระยะเวลายาวนานยิ่ง
******
ไม่ว่าอย่างไรท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านนี้ คนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นก็หายไปเช่นนี้แล้ว บนเวทีแห่งนี้ก็ไม่มีเงาร่างของเขาอีกต่อไปแล้ว
……
“ปัง”
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะประเมินจากวิธีการของหยวน หยวนก็ควรจะรังเกียจที่จะทำเรื่องชั่วช้า แต่ไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
หลังจากที่กระตุ้นพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาแล้ว
วิญญาณแท้สายหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ภายใต้การห่อหุ้มของพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกา ทันใดนั้นก็ผ่านออกไปจากอากาศอันสับสนอลหม่าน เพราะในขณะนี้ไม่มีวิญญาณแล้ว เหลือไว้เพียงแค่วิญญาณแท้สายหนึ่งที่อ่อนแอที่สุดซึ่งรวบรวมความทรงจำเอาไว้ การรับสัมผัสต่อโลกภายนอกของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อ่อนแอเป็นที่สุด แม้กระทั่งไปจากอากาศอันสับสนอลหม่านไปยังโลกภายนอก เขาก็ฝืนรับสัมผัสได้ถึงพลังอลหม่านของโลกภายนอกที่พรั่งพรู
นั่นคือการพรั่งพรูของพลังแห่งความกดดัน ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่น เขาเข้าใจว่าถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะยังอยู่ ถ้าหากติดเข้าไปในโลกภายนอก กลัวว่าก็จะสูญสลายไปในทันใด
พรึ่บ
ภายใต้การห่อหุ้มของพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกา คล้ายกับเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางพิเศษสายหนึ่งด้วยความเร็วสูง
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ผ่านไปวันสองวัน หรือว่าครึ่งค่อนปีแล้วกันหนอ ระหว่างการเดินทางในเส้นทางอันแปลกประหลาดนี้ วิญญาณแท้สายนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรู้สึกเลอะเลือนต่อเวลาไปเสียแล้ว ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแน่ชัด หรือว่าอยู่ในสถานที่เช่นนี้ กาลเวลาก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด
บางครั้งบางคราว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถรู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นอันใหญ่มหึมาหาใดเปรียบได้อย่างรางๆ นั่นคือระลอกคลื่นที่เทียบเคียงได้กับอากาศอันสับสนอลหม่าน จากนั้นก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เนิ่นนาน… เนิ่นนานยิ่งนัก…
เดินทางอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างที่เดินทาง พลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาก็ค่อยๆ ลดลงช้าๆ อย่างต่อเนื่อง เหลือพลังเก้าส่วน พลังแปดส่วน พลังเจ็ดส่วน พลังหกส่วน…
“หืม นี่มัน!” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลิงโลดด้วยความดีใจขึ้นมา เพราะว่าเขารับสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นขนาดใหญ่อันน่าหวั่นเกรงระลอกหนึ่ง คราวนี้มิใช่การผ่านเฉยๆ หากแต่เป็นการพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว!
“พลังงานถูกใช้ไปเกือบครึ่ง ดูท่าจะมาถึงดินแดนจิตโลกาจริงๆ เสียแล้ว พลังของผู้อาวุโส ‘หยวน’ ผู้ลึกลับท่านนั้นส่งข้ามาได้ไกลถึงเพียงนี้ พลังยุทธ์ช่างสูงส่งลึกล้ำเหลือคณาจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งทวีความมั่นใจว่าสิ่งที่หยวนผู้นั้นพูดเอาไว้คงจะเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
ปัง!
พร้อมๆ กันกับที่ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดก็ปะทะตรงเข้าไป ภายใต้ความคุ้มครองของพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกา วิญญาณแท้สายหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตรงเข้าไปสู่โลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้ อีกทั้งยังเจาะเข้าไปในตัวอ่อนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่อย่างรวดเร็ว ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ว่าตัวอ่อนนี้แฝงไว้ด้วยพลังชีวิตอันกล้าแกร่ง
“ตัวอ่อนที่ยังอยู่ในครรภ์ตัวหนึ่งมีพลังชีวิตอันน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกซึมเข้าไปในตัวอ่อนตามสติรับรู้ วิญญาณแท้สายนี้ของเขาส่งเสียงคำรามคราหนึ่งแล้วพลันสูญสิ้นสติรับรู้ไป
…………………………………………….
(ตอนสุดท้ายของบท)