Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 2 ผู้อาวุโสศิลา
หลับสนิทอย่างสบายยิ่ง แต่โลกภายนอกเหนี่ยวนำกลิ่นอายของเขาอยู่ตลอดเวลา อาศัยที่เขาหลับลึกอย่างยิ่ง สุดท้ายก็ยังหลับสนิทมาได้
ชายชราร่างผอมเล็กถือไม้เท้ายืนอยู่บนดวงอาทิตย์ดั้งเดิม แล้วตรวจตาตามที่กลิ่นอายของเขาถูกเหนี่ยวนำไป เขามองดูห้วงอากาศอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ไกลๆ เพียงไม่นานเขาก็เห็นว่าที่โลกทิพย์กิเลนบูรพา ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งกำลังสำแดงเขตลวงตรวจตราไปที่เทือกเขาแห่งหนึ่ง… ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังตรวจหาฝูงมารผลาญทำลายอยู่นั่นเอง
“หึๆๆ” ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะขึ้นมา เขาที่ผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูกหัวเราะจนตาหยี “หาได้ยากๆ ที่แท้ก็เป็นเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดที่ปลุกข้าขึ้นมา เขาคิดค้นเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดแปรที่สิบออกมาอย่างนั้นหรือ เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดนี้ก็คือสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญที่สุดในสี่เคล็ดวิชาสืบทอดที่ข้าทิ้งเอาไว้”
สี่เคล็ดวิชาสืบทอด
เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด เคล็ดวิชาสืบทอดเก้าอสรพิษ และเคล็ดวิชาสืบทอดอสูรภูผา
นอกจากเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดที่เน้นด้านวิญญาณเป็นหลักแล้ว เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง เคล็ดวิชาสืบทอดอสูรภูผา และเคล็ดวิชาสืบทอดเก้าอสรพิษนั้นต่างก็เน้นร่างกายเป็นหลัก แม้กระทั่งเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด…นับได้ว่าเป็นสารหล่อลื่นของอีกสามเคล็ดวิชาสืบทอด ทำให้ทั้งสี่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ดูเขตลวงที่เขาสำแดงนั่นสิ จุ๊ๆๆ มีรสชาติทีเดียว ถึงกับมีส่วนของความเป็นเทพจักรวาลอยู่บ้างแล้ว” ชายชราร่างผอมเล็กยิ่งดูก็ยิ่งพึงพอใจ “เดิมทีข้าก็โมโหอยู่บ้างตอนที่ถูกปลุก แต่ได้มาเห็นเจ้าเด็กที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะขึ้นมา
เขามองดูดวงอาทิตย์ดั้งเดิมขนาดมหึมาหาใดเปรียบใต้ฝ่าเท้า “ช่างอบอุ่นเหลือเกิน หลับก็สบายนัก แต่ว่าควรจะออกไปเดินเล่นดูเจ้าเด็กผู้นี้เสียหน่อยดีกว่า”
ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง ชายชราร่างผอมเล็กก็หายลับไป
เมื่อปรากฏตัวขึ้น
ก็มาถึงยังโลกทิพย์กิเลนบูรพาแล้ว คล้ายกับว่าเคลื่อนย้ายแล้วปรากฏขึ้นโดยตรง ห้วงมิติมิได้มีระลอกคลื่นอันใดเลย
ต้องรู้ไว้ว่า…ระยะทางอันห่างไกลเช่นนี้ ถ้าหากเป็นบรรพชนทราย ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ และยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคน พวกเขาต้องอาศัยพรสวรรค์ศาสตร์โบราณจึงจะสามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ โดยทั่วไปแล้วการส่งถ่ายก็เหมือนกับโครงสร้างทางเดินมิติ ความเคลื่อนไหวค่อนข้างใหญ่ การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการเชื่อมโยงผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำ ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวน้อยกว่าอยู่พอสมควร
แต่ชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้กลับมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เลย
“หึๆๆ” ชายชราร่างผอมเล็กมองดูความเคลื่อนไหวของตงป๋อเสวี่ยอิงต่อไป
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง สอดแนมอาณาบริเวณโดยรอบแต่ละแห่งผ่านทรงกลมหมอกดำ ไม่เห็นความพิเศษอันใด ทันใดนั้นก็หยุดอยู่ที่นครแห่งหนึ่ง
ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นไปยังบริเวณใกล้ๆ ก่อน หลังจากนั้นก็เคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏที่เบื้องบนของนครแห่งนี้โดยตรง
นี่ก็เป็นเพียงแค่นครที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งปกครองอยู่เท่านั้น ปราการเมืองกินพื้นที่สองล้านลี้ ประชากรภายใน ก็มิได้นับว่าหนาแน่นนัก ถึงอย่างไรยิ่งเป็นผู้แกร่งกล้า จึงยิ่งทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย พวกเขาจึงอยากที่จะอยู่อาศัย! นครที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งปกครอง… โดยทั่วไปแล้วล้วนมีอำนาจอ่อนแอ ผู้ที่ไม่มีหวังที่จะเข้าสู่เมืองใหญ่จึงอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่ท้องฟ้าเบื้องบนของปราการเมือง เขตลวงได้มาถึงนครที่อยู่เบื้องล่างแห่งนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในปราการเมืองแห่งนี้ทั้งหมดเข้าสู่เขตลวง ในนั้นมีประสบการณ์ของตนอยู่ด้วย
“ไม่มีฝูงมารผลาญทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะจากไปในทันใด
“รีบร้อนอะไรถึงเพียงนี้เล่า ผู้บำเพ็ญอายุขัยยืนยาว อย่ารีบร้อนเกินไปนักสิ ช้าลงหน่อย ช้าลงหน่อย” เสียงหัวเราะหึๆ เสียงหนึ่งลอยมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปร
อะไรกัน!
เขตลวงของเขาเป็นวิธีการอันร้ายกาจเพียงใด ที่เขาถามคือเทพจักรวาลโดยทั่วไป ภายในเขตลวงก็ยังถูกรบกวนเล็กน้อย ต่อให้ไม่ถูกรบกวนก็ต้องถูกตนค้นพบ! ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของการตรวจหาของเขตลวง…จะเทียบมิได้กับอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตน แต่ถึงอย่างไรอาณาเขตกฎเกณฑ์ก็กินพื้นที่เป็นแสนลี้ อาณาบริเวณของเขตลวงก็กว้างใหญ่กว่ามากมายเหลือเกิน
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองตามเสียงนั้นไป ภายในร้านเหล้าขนาดเล็กริมทางในปราการเมือง ชายชราร่างผอมเล็กที่ผอมจนหนังหุ้มกระดูกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่น กินดื่มคำโต
ภาพเหตุการณ์นี้ดูช่างแสนธรรมดา
แต่ต้องรู้ไว้ว่า คนอื่นๆ ทั้งหมดภายในปราการเมืองแห่งนี้ล้วนเข้าสู่เขตลวงกันทั้งสิ้น มีเพียงชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้เพียงคนเดียวที่ยังสามารถดื่มกินอยู่ได้ นี่เป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่ง
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ กลางเวหาก้าวหนึ่งแล้วร่อนลงมาถึงยังด้านข้างร้านเหล้าขนาดเล็กริมทางแห่งนี้แล้วทักทายในทันใด “ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะผู้อาวุโส”
“นั่งสิ นั่งสิ” ชายชราร่างผอมเล็กก้มหน้าก้มตากินต่อไป กินไปพลางพูดไปพลาง “ไม่ได้กินอะไรมานานเกินไปแล้ว ท้องหิวเหลือเกิน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงตรงข้ามในทันที เขาสังเกตผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับตรงหน้าท่านนี้อย่างละเอียด เขตลวงของตนไม่มีทางถูกค้นพบ ด้วยความสำเร็จในด้านเขตลวงของตน…ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถแน่ใจได้ว่านี่จะต้องเป็นบุคคล ‘ระดับเทพจักรวาล’ ที่บำเพ็ญสำเร็จในระดับสูงสุดอย่างแน่นอน! ทั้งยังน่ากลัวว่าจะมีพลังยุทธ์สูงส่งที่สุดในบรรดาเทพจักรวาลอีกด้วย
แต่ว่าเทพจักรวาลมีอยู่เพียงเท่านั้น ตนควรจะต้องรู้จักสิ!
เทพจักรวาลที่เพิ่งบรรลุใหม่อย่างนั้นหรือ ดีร้ายอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ต้องเป็นขั้นอลวนกระมัง แต่ข้อมูลที่ตนรู้ก็ดูเหมือนว่าควรจะบันทึกขั้นอลวนทุกคนเอาไว้แล้ว รวมถึงขั้นอลวนของสำนักทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดาด้วย แต่ว่าตนเองก็ยังมิอาจหาข้อมูลที่ดูเหมือนชายชราร่างผอมเล็กตรงหน้าผู้นี้พบเลยแม้แต่น้อย
“หึๆๆ” ชายชราร่างผอมเล็กก้มหน้าก้มตากิน กินอย่างสุขสันต์เป็นอย่างมาก อาหารจานแล้วจานเล่าถูกเขากินลงท้องไป ในที่สุดทั้งหมดก็ถูกเขากินเสียจนเกลี้ยงเกลา
“สบายเหลือเกิน กินแล้วก็ยังต้องดื่มด้วยสิ อาหารของโรงเหล้าแห่งนี้ยังพอใช้ได้ แต่สุราช่างย่ำแย่นัก” ชายชราร่างผอมเล็กตบท้องตัวเองพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้ามีสุราหรือไม่ เอาสุราชั้นดีมาหน่อยสิ”
“เชิญเลยขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง บนโต๊ะก็มีสุราสามไหปรากฏขึ้นมา
เป็นผู้บำเพ็ญต่างก็สามารถพกพาสุราชั้นเลิศจำนวนมากไว้ได้อย่างสบายๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องไปทั่วทุกหนแห่งในอากาศอันสับสนอลหม่านเพื่อตรวจหาฝูงมารผลาญทำลาย เขาเองก็ชมชอบอาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศ ก็ย่อมได้ลิ้มชิมสุราชั้นเลิศตามที่ต่างๆ ระหว่างทางมามากมาย ในบรรดานั้นก็มีที่ยอดเยี่ยมอยู่บ้างก็ได้เก็บสะสมเอาไว้ สุราสามไหนี้…ต่างชนิดกัน สำหรับราคาก็มีที่แพงกว่าพวกมันอยู่มากมาย ทว่าสุราแพงลิบลิ่วเหล่านั้นมีอยู่มากมายที่เป็นเพียงแค่วัตถุล้ำค่า แต่รสชาติอันแท้จริงนั้น… สามชนิดนี้กลับเป็นสุราสามชนิดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าดีที่สุดแล้ว
“จุ๊ๆ” ชายชราร่างผอมเล็กดื่มสุราไปพลางส่งเสียงจุ๊ๆ ไปพลาง นัยน์ตาที่เป็นสีเหลืองหม่นอยู่บ้างเปล่งประกาย “สุราดี สุราดี คิดไม่ถึงว่าเจ้าดูเหมือนจะยังอายุไม่มาก แต่ก็สามารถหยิบเอาสุราชั้นดีเช่นนี้ออกมาได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูอยู่ข้างๆ มองดูชายชราร่างผอมเล็กดื่มสุรา
รอจนดื่มสุราไปกว่าครึ่ง ชายชราร่างผอมเล็กจึงเงยหน้าขึ้นมองตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมรอยยิ้มร่า “อารมณ์ดีเสียจริงเชียว” พูดแล้วเขาก็โบกมือคราหนึ่ง พรึ่บ สมบัติวิเศษล้ำค่าชิ้นนั้นที่เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บเอาไว้ภายในคลังสมบัติล้ำค่าก็ตกมาอยู่ในมือของชายชราร่างผอมเล็ก
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ในมือของชายชราร่างผอมเล็กก็คือกระจกศิลาบานนั้น ก็คือการชี้นำของกระจกศิลานั่นเองที่ทำให้เขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายได้สำเร็จ หากไม่มีการชี้นำก็เกรงว่าเขาคงยังอยู่ที่ชั้นที่เจ็ดของขั้นรวมเป็นหนึ่ง ความหวังคงน้อยกว่านี้มากนัก
“พลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ เกล็ดแผ่นนี้ไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าอีกต่อไปแล้วล่ะ” ชายชราร่างผอมเล็กยิ้มพลางโบกมือคราหนึ่ง กระจกศิลาก็ลอยละลิ่วไปยังอากาศไกลออกไป จากนั้นก็หายลับไปกลางอากาศ “ให้ผู้ที่ต้องการมันมากกว่าพวกนั้นไปเสียเถิด”
ในตอนนี้กระจกศิลาก็ไม่มีประโยชน์แล้วจริงๆ
เพราะเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปิดทางไปถึงแปรที่สิบแล้ว ออกจากอาณาเขตการชี้นำของกระจกศิลาแล้ว
“นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสทิ้งไว้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“ฮ่าฮ่า เป็นเกล็ดแผ่นหนึ่งที่ข้าสลัดทิ้งเอาไว้” ชายชราร่างผอมเล็กพูดพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าชื่อ ‘ศิลา’”
“ผู้อาวุโสศิลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นทันควัน เขามีความรู้สึกซาบซึ้งกับชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้ ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้จักบุญคุณคน เพราะว่ากระจกศิลาเป็นเหตุ เขาจึงสามารถคิดค้นเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายออกมาได้ มีส่วนช่วยเหลือเขาบนเส้นทางการบำเพ็ญอย่างมหาศาลจริงๆ
……………………………………….