Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 3 สถานะ
ชายชราร่างผอมเล็กดื่มสุราพลางถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เท่าที่ข้ารู้ ความสำเร็จด้านเขตลวงของเจ้าในตอนนี้นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญแล้ว ข้าดูแล้วเจ้าก็ยังอายุไม่มาก เหตุใดจึงสามารถบำเพ็ญเขตลวงมาจนถึงระดับนี้ได้เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “เดิมทีการบำเพ็ญก็เป็นการเดินหน้าไปทีละก้าวๆ ยามที่ข้าอ่อนแอ ยามที่เป็นเพียงแค่ชีวิตเหนือธรรมดาก็มีการตระหนักรู้เขตลวงโลกเทียมแล้ว นับว่ามีพรสวรรค์ทางด้านนี้ก็ได้กระมัง! จากนั้นก็ขัดเกลาตนเองและก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ระยะเวลาล้านล้านปีจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็มาถึงระดับนี้แล้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย”
“ใช่แล้ว อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว” ชายชราร่างผอมเล็กแววตาอึมครึม “พูดขึ้นมาตอนที่ข้ายังอ่อนแออย่างที่สุด เป็นเพียงแค่สัตว์ประหลาดด้อยสติปัญญาตนหนึ่งเท่านั้น เวลานั้นคิดถึงเพียงแค่การสามารถหลบหลีกจากการล่าสังหารนานาชนิดให้ได้ คิดแต่จะเอาชีวิตให้รอดตามสัญชาตญาณการใช้ชีวิตเท่านั้น ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็มาถึงตอนนี้เสียแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง
สัตว์ประหลาดหรือ
ด้อยสติปัญญาอย่างนั้นหรือ
‘ผู้อาวุโสศิลา’ ท่านนี้บอกว่ากระจกศิลานั้นคือเกล็ดแผ่นหนึ่งที่สลัดทิ้งออกจากร่างกายของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถคาดเดาได้แล้ว แต่เดิมทีเขาคิดว่าผู้อาวุโสศิลานั้นเลิศล้ำมาตั้งแต่เกิด แต่คิดไม่ถึงว่ายังมีชาติกำเนิดที่ต้อยต่ำกว่าตนอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
“ตาเฒ่าเอ๋ย รำลึกความหลังอยู่ตลอด แม้กระทั่งเรี่ยวแรงในการบำเพ็ญก็ไม่มีแล้ว” ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะ “เจ้าเห็นเขตลวงเป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายในเขตลวงเป็นความจริงหรือไม่”
“มีสติปัญญา มีตัวตน มีประสบการณ์เป็นของตนเอง สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตภายในเขตลวงล้วนต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เขตลวงของข้าในตอนนี้อยู่ห่างจากโลกแห่งความจริงอีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น ถึงขนาดที่ทุกครั้งยามที่สำแดงเขตลวงเสร็จสิ้นแล้วข้าก็เพียงแค่ทำให้เวลาของล้านล้านชีวิตภายในเขตลวงเข้าสู่การหยุดนิ่ง รอให้ถึงเวลาสำแดงครั้งต่อไป สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็สามารถปรากฏตัวต่อไปได้”
ถ้าหากทำให้เขตลวงแตกสลายไปตลอดกาลก็เหมือนกับทำให้ล้านล้านชีวิตภายในนั้นแตกสลายไปด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจตัดใจทำเช่นนั้นได้ลง
มิใช่ว่าเขาโง่งมเกินไป
หากแต่บำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นเช่นเขา ล้านล้านชีวิตภายในเขตลวง กับสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งความจริงก็มิได้แตกต่างกันมากมายสักเท่าใดแล้วจริงๆ มีตัวตน มีความรู้สึก สามารถบำเพ็ญได้… สุขทุกข์โศกเศร้าก็ล้วนมีทั้งสิ้น ดังนั้นเขตลวงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงล้วนเป็นเขตลวงขนาดมโหฬารที่มีเสถียรภาพ เพียงแต่ทุกครั้งล้วนมีสิ่งมีชีวิตเพิ่มเข้าไปเท่านั้น
“เป็นความจริงทั้งหมดอย่างนั้นหรือ พอสำแดงเสร็จสิ้นแล้วก็เพียงแค่ทำให้กาลเวลาภายในเขตลวงหยุดนิ่งเป็นการชั่วคราวอย่างนั้นหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กฟังแล้วก็คิดใคร่ครวญ จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะหึๆ ขึ้นมา “การบำเพ็ญ มีบางเวลาที่พลังจิตวิญญาณมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเชื่อมั่น เจ้าก็สามารถทำสำเร็จได้ เจ้าไม่เชื่อ ก็ยิ่งมิอาจทำได้สำเร็จอยู่แล้ว”
“เอาล่ะ ดื่มกินจนอิ่มหมีพีมันแล้ว ก็ควรไปได้แล้วสินะ” ชายชราร่างผอมเล็กยืดกายลุกขึ้น เข
หัวเราะคิกคักพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่ง “หากมีชะตาต่อกัน บางทีก็อาจได้พบกันอีก”
พูดแล้วชายชราร่างผอมเล็กก็ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ถือไม้เท้าเดินมุ่งหน้าไปไกลอย่างช้าๆ เดินๆ ไปแล้วเงาร่างก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ถึงขนาดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมิทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายจากไปอย่างไร
“ร้ายกาจยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง “ข้าคิดมาตลอดว่าฝีมือทางด้านห้วงอากาศ ในตอนนั้นอันดับที่หนึ่งคือจักรพรรดิเก้าเมฆา ตอนนี้อันดับที่หนึ่งคือบรรพชนห้วงอากาศ! แต่ดูแล้ว ‘ผู้อาวุโสศิลา’ ผู้ลึกลับยากหยั่งถึงผู้นี้ก็ลึกลับยากคาดเดาเช่นเดียวกัน ลำพังแค่วิธีการไปเช่นนี้ก็เหนือกว่าบรรพชนห้วงอากาศแล้ว”
……
ณ สถานที่อีกแห่ง วังทวีสูญ
ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงมากราบคารวะบรรพชนเทียนอวี๋ในทันที
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ตงป๋อเสวี่ยอิง มีเรื่องอันใดจึงได้มาพบข้าด้วยตนเอง” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“ท่านบรรพชนรู้จักคนผู้หนึ่งหรือไม่ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง ข้างกายก็มีรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสศิลาผู้นั้นปรากฏขึ้น ผอมจนหนังหุ้มกระดูก ทั้งยังถือไม้เท้า “พลังยุทธ์ของเขาสูงส่งยิ่ง สำหรับการใช้ประโยชน์จากห้วงอากาศ ข้ารู้สึกว่าเขายังเหนือกว่าบรรพชนห้วงอากาศเสียอีก! จากการประเมินของข้า จะต้องเป็นเทพจักรวาลอย่างแน่นอน ทั้งยังน่าจะจัดอยู่ในระดับแถวหน้าในบรรดาเทพจักรวาลอีกด้วย ไม่กล้าพูดว่าสามารถเทียบเคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับเดียวกันกับบรรพชนโลกาและจอมมารดาเลยทีเดียว”
“โอ้” บรรพชนเทียนอวี๋มองอย่างตกตะลึง เขาเพ่งมองรูปลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้านข้างแล้วก็อดส่ายศีรษะมิได้ “ไม่รู้จัก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย
ถึงแม้ว่าจอมกระบี่จะมีพลังยุทธ์สูงส่ง แต่หากพูดถึงความยาวนานในการใช้ชีวิตและความกว้างไกลของวิสัยทัศน์ บรรพชนเทียนอวี๋กลับเหนือชั้นกว่ามากนัก เขาก็ยังไม่เคยพบเห็นผู้อาวุโสศิลาผู้นี้มาก่อนเลยอย่างนั้นหรือ
“ระดับเทพจักรวาลคนหนึ่ง นอกจากนี้อย่างน้อยก็เป็นระดับเดียวกับบรรพชนโลกาและจอมมารดาด้วยหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ “พลังยุทธ์เช่นนี้ เหตุใดจึงสามารถไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวได้มาโดยตลอดเลยเล่า ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเคยพบเขา พลังยุทธ์ของเขาสูงส่งถึงเพียงนั้นจริงๆ น่ะหรือ เจ้ามิได้ถูกตบตาใช่หรือไม่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “เป็นไปไม่ได้”
“ก็ใช่ ความสำเร็จทางด้านเขตลวงของเจ้า อาณาเขตกฎเกณฑ์ของเจ้า คิดจะตบตาเจ้าอย่างนั้นหรือ ช่างยากเย็นนัก” บรรพชนเทียนอวี๋ฉงนสงสัย “แต่ผู้ที่มีพลังยุทธ์เช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรข้าก็มิเคยพบเจอมาก่อนเลย เพิ่งเคยได้ยินจากเจ้าเป็นครั้งแรกนี่แหละ ช่างน่าประหลาดนัก”
******
ถามบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว หลังจากนั้นก็ไปถามจอมกระบี่ จอมกระบี่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่ปล่อยเรื่องนี้ไปชั่วคราวก่อน ไม่ว่าอย่างไรชายชราร่างผอมเล็กผู้ลึกลับผู้นั้นก็มิได้มีความเกลียดชังอันใดต่อเขา เพียงแต่ว่าตัวตนลึกลับเกินไปหน่อยก็เท่านั้นเอง!
……
ณ โลกทิพย์กิเลนบูรพา
บนยอดเขาสูงตระหง่านอันแห้งแล้งแห่งหนึ่ง ลมภูเขาพัดโชย ชายชราร่างผอมเล็กที่ถือไม้เท้าผู้หนึ่งยืนอยู่บนยอดเขา ทันใดนั้นด้านข้างก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือบรรพชนโลกาผู้มีร่างกายผอมเล็ก สวมอาภรณ์สีเขียวตัวหลวมโพรกตลอดร่าง หว่างคิ้วของบรรพชนโลกามีความเย่อหยิ่ง ถึงอย่างไรต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังยากที่จะทำร้ายร่างกายของเขาได้แม้แต่น้อย ถ้าหากเคราะห์ไม่ดี ก็จะต้องได้เป็นพญามารที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเลยทีเดียว
แต่บรรพชนโลกาที่ปกติเย่อหยิ่งหาใดเปรียบ ในขณะนี้กลับเคารพนบนอบ ค้อมกายทำความเคารพไปทางชายชราร่างผอมเล็กที่อยู่ด้านข้าง “ท่านอาจารย์ ท่านตื่นแล้ว ศิษย์ยังคิดว่ายากนักที่จะได้พบกับท่านอาจารย์อีก” ในขณะนี้บรรพชนโลกาก็ยังยากที่จะควบคุมอารมณ์อยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นอย่างที่สุด
ชายชราร่างผอมเล็กลูบศีรษะบรรพชนโลกาพร้อมรอยยิ้ม
คนทั้งสองมีส่วนสูงใกล้เคียงกัน ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะหึๆ เอ่ยว่า “มารน้อยเช่นเจ้า ตอนนี้ก็เป็นบรรพชนโลกาผู้เลื่องชื่อแล้ว ยังดูเหมือนเด็กน้อยอยู่เลยนะ”
“ข้ายังเป็นเพียงแค่ศิษย์ผู้หนึ่งของท่านอาจารย์ไปตลอดกาลเลยขอรับ” บรรพชนโลกาไม่มีความดื้อรั้นดุร้ายเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกลับมีความอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่เขาเห็นเป็นคนใกล้ชิดจริงๆ มีอยู่ไม่มากนัก ถ้าไม่ตายไปก่อนแล้ว ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีเพียงแค่ท่านอาจารย์ผู้นี้ของเขาเท่านั้น!
“ท่านอาจารย์ เหตุใดจึงตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันเล่าขอรับ” บรรพชนโลกาเอ่ยถาม เขารู้กระจ่างดีว่าท่านอาจารย์ของตนกำลังหลับใหลอยู่ในการบำเพ็ญในห้วงนิทรา ว่ากันตามเหตุผลแล้วหากไม่มีเรื่องสำคัญก็คงไม่ปรารถนาจะตื่นขึ้นมา
“เป็นเพราะเจ้าเด็กที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นน่ะสิ” ชายชราร่างผอมเล็กพูด
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” บรรพชนโลกาประหลาดใจ “พรสวรรค์ของเขาไม่เลวเลยทีเดียว”
“‘สี่เคล็ดวิชาสืบทอด’ เคล็ดวิชาสืบทอดอีกสายหนึ่งของข้าในตอนนั้น เพื่อการรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ร่างกายและวิญญาณรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น… ดังนั้นจึงได้คิดค้น ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ ออกมาโดยอิงจากสัตว์เทวะปีศาจชาด อันที่จริงข้าก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงสักเท่าใดนักหรอก” ชายชราร่างผอมเล็กทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้จะถึงกับบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของข้า ทั้งยังคิดค้นแปรที่สิบที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีมาก่อนเลยออกมาได้อีกต่างหาก”
บรรพชนโลกาได้ฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ “อืม เขตลวงของเขาร้ายกาจจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังได้รับความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ หาข้อมูลจากฝูงมารผลาญทำลายนั้นมาได้ไม่น้อยเลย”
“พวกเจ้าทั้งหลายต่างก็เชี่ยวชาญทางด้านร่างกาย”
ชายชราร่างผอมเล็กมองห้วงอากาศที่อยู่ไกลออกไป ทั้งยังมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังตรวจหาฝูงมารผลาญทำลายอยู่ไกลๆ “แต่เขาคือคนเพียงผู้เดียวที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณ”
“ท่านอาจารย์ ท่านเตรียมการจะรับเขาเป็นศิษย์ เคี่ยวกรำเขาอย่างนั้นหรือ” บรรพชนโลกาถาม
“ก็คิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน” ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะหึๆ “แต่ก็มิได้รีบร้อนหรอกนะ ข้าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาพบเขาเป็นครั้งแรก ก็ยังมิได้รู้จักเขาดีสักเท่าใดนัก รอให้ทดสอบเขาสักหลายคราก่อน สังเกตสังกาให้ดีสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจ”
………………………………………