Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 5 ประมือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงเหลือแสน
แม้จะรู้ก่อนแล้วว่า จ้าวภูเขาฉื้อเหมยอวดดีและโหดเหี้ยม เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าเทพจักรวาลก็อ้าปากกว้างราวราชสีห์ แต่เรื่องครั้งนี้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็สามารถคว้าโอกาสเล็กน้อยเพื่อบีบบังคับให้เขามอบศิลาปฐมโลกาหนึ่งหมื่นก้อนให้เป็นการชดเชยจนได้ ก็ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะไปสนใจคนสติฟั่นเฟือนพรรค์นี้แล้ว เขาพูดเสียงเรียบว่า “จ้าวภูเขาฉื้อเหมยข้ายังต้องไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายต่อไป จึงขอไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
พูดยังไม่ทันขาดคำ
“คิดจะไปรึ” หลังแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับแปรเป็นแสงสีโลหิตอันเลือนรางสายหนึ่งทะยานตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง นี่ยิ่งทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งรู้สึกประหลาดใจ จ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นี้ถึงกับลงมือเชียวหรือนี่
ยามนี้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับมีแววกระหายสงครามพลุ่งพล่าน เขาจงใจท้าทายถึงขั้นเรียกเอาศิลาปฐมโลกาหมื่นก้อนเป็นการชดเชย อันที่จริงก็เพื่อลงมือกับตงป๋อเสวี่ยอิงสักยกหนึ่ง ถึงขั้นกังวลว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะทุ่มเทไม่เต็มแรงพอ จึงพยายามท้าทายสุดกำลัง “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ ได้ยินมาว่าอานุภาพของบุปผาผลาญทำลายแข็งแกร่งยิ่งนัก เขตลวงของเขาต้องทำให้ข้าใช้พลังจิตถึงเจ็ดส่วนไปต้านทาน เขาจะต้องสามารถสร้างภัยคุกคามต่อข้าได้อย่างใหญ่หลวงแน่นอน!”
“ข้าต้องการความรู้สึกคุกคามเช่นนี้แหละ บางทีการต่อสู้ภายใต้การกดดันจนถึงขีดจำกัดอย่างแท้จริงอาจทำให้ข้าสามารถรู้แจ้งได้ แล้วบรรลุอุปสรรคสุดท้ายจนก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลก็เป็นได้!” ดวงตาทั้งคู่ของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยแดงก่ำ
ถึงระดับสถานะเช่นเขาแล้ว การสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็คือความใฝ่ฝันสูงสุดของเขา!
คิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลน่ะหรือ ต้องมีความรู้สึกคุกคามที่ทำให้ห้ำหั่นสุดกำลัง จึงจะเป็นการเคี่ยวกรำที่ดีมาก
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหมายจะเคลื่อนที่ในพริบตา แต่กลับรู้สึกว่ามิติรอบด้านแข็งค้างจนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ ทำได้เพียงบินย้อนไปด้วยความเร็วสูงเท่านั้น “จ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นี้มีผลสำเร็จทางด้านอากาศที่สูงอย่างยิ่งโดยแท้ แตกต่างกับข้าไม่มากสักเท่าใดนัก!”
เขาถอยกรูดไปด้วยความเร็วสูง จ้าวภูเขาฉื้อเหมยแปรเป็นแสงสีโลหิตทะยานตรงมา
คนหนึ่งรุกไล่ คนหนึ่งหนี เพียงพริบตาเดียวก็เป็นระยะหลายสิบล้านลี้ ระยะห่างระหว่างจ้าวภูเขาฉื้อเหมยและตงป๋อเสวี่ยอิงหดสั้นลงเรื่อยๆ
“ความเร็วก็สูงกว่าข้าเล็กน้อยด้วยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งระแวดระวังมากขึ้น เงาร่างของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยราวกับเงาสีโลหิตอันเลือนราง คล้ายกับสถานะ ‘กลายเป็นอากาศธาตุ’ เป็นอันมาก
“ตู้ม!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมกำลังหนีอยู่หยุดลงอย่างกะทันหัน ด้านหลังมี ‘ปีศาจชาด’ วิหคเทพสีแดงเพลิงขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ปีกใหญ่จนบดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ กระแสอากาศสีแดงเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กำจายและปกคลุมจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นเอาไว้ เขตลวงก็โจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จ้าวภูเขาฉื้อเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขตลวงที่อาศัยวิธีการของศาสตร์โบราณสำแดงการโจมตีออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ขาดสาย ทำให้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยต้องใช้พลังจิตถึงแปดส่วน
“ไม่หนีแล้วหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็หยุดลงกลางอากาศ “เช่นนั้นก็รับกระบวนท่าข้าสักท่าหนึ่งก่อนเถิด”
ทันใดนั้นในมือของเขาก็พลันมีกงล้อทรงกลมหน้าตาพิกลอันหนึ่งปรากฏขึ้น ตัวกงล้อนั้นกึ่งโปร่งใส มันบางมากเสียจนตงป๋อเสวี่ยอิงยากที่จะใช้หน่วยวัดบอกความหนาของมันให้แน่ชัดได้ จากการคาดคะเนของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว…เกรงว่าความบางของมันคงจะไม่แตกต่างกับเส้นผ่านศูนย์กลางของรูทรงกลมหมอกดำมากสักเท่าใดนัก
เรื่องนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตกตะลึงและตั้งตารอคอยขึ้นมา
ที่แท้แล้วพลังของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเป็นเช่นไรกันแน่ เขาเป็นระดับชั้นที่เก้าอย่างไร้ข้อกังขา วิธีการต่อสู้ก็พิเศษ คิดจะไปก็ไปโดยมิมีผู้ใดขัดขวางได้ ทั้งยังมีสถานะอันเร้นลับ ไม่ว่าจะเป็นร่างแยกของเขาวิชาการสะกดรอยใดๆ ก็ล้วนมิอาจตามหาเขาได้พบ ดังนั้นสถานะของเขาก็ออกจะไม่ธรรมดาอยู่บ้างแล้ว
“ไป” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสะบัดกงล้อทรงกลมในมือออกไป
กงล้อทรงกลมกึ่งโปร่งใสพลันแล่นข้ามท้องฟ้าไป
มันบางเกินไปแล้ว
ด้วยความบางที่ไม่แตกต่างกับเส้นผ่านศูนย์กลางของรูทรงกลมหมอกดำมากสักเท่าใดนัก ทำให้มันคมกริบหาใดเปรียบ คมกว่าสมบัติลับหลายชนิด แม้แต่บริเวณที่ผ่านไปก็ยังถูกตัดเฉือน ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถ ‘ตรวจตรา’ ได้ แม้แต่ทรงกลมหมอกดำก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ถูกตัดเฉือนจนเกิดเป็นรอยถากเลย นี่เป็นกระบวนท่าที่น่าหวาดหวั่นอย่างมาก เพียงพอให้จัดอยู่ในระดับชั้นที่เก้าได้แล้ว
เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง บุปผาเก้าใบก็ร่อนลงไปอย่างกะทันหัน
ดอกตูมสีดำร่อนลงไปอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนจะปกคลุมและห่อหุ้มกงล้อทรงกลมเอาไว้อย่างง่ายดาย บุปผาเก้าใบแต่ละดอกห่อหุ้มต่อเนื่องกัน ฟึ่บ กงล้อทรงกลมเฉือนทำลายบุปผาเก้าใบดอกหนึ่งไปอย่างไร้สุ้มเสียง ชั่วขณะที่ทำลายไปนั้นก็ส่งผลให้บุปผาเก้าใบพังสลาย อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นก็ทำให้กงล้อทรงกลมสั่นสะเทือน อานุภาพลดลงอย่างมาก บุปผาเก้าใบดอกที่สองเพียงแค่ถูกเฉือนไปเล็กน้อยก็มลายหายไปจนสิ้น
“หากมิใช่เพราะผลกระทบจากเขตลวงของเขา ข้าก็จะสามารถสำแดงกงล้อแห่งห้วงอากาศออกมาได้มากกว่านี้” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยื่นมือทั้งสองออกไป มือแต่ละข้างมีอาวุธเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นกงล้ออันบางเฉียบอย่างยิ่งทั้งสิ้น นี่คือสมบัติลับอันล้ำค่าอย่างยิ่ง สามารถทำให้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสำแดงพลังการต่อสู้ประชิดตัวอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งออกมาได้ หากเป็นศัตรูทั่วไปแล้ว ตามปกติเมื่อเขาปล่อยกงล้อแห่งห้วงอากาศออกไปสักหลายกระบวนท่าก็สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้แล้ว แต่เนื่องจากครั้งนี้ถูกเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดสิบแปรกดดันอยู่ พลังจิตถึงแปดส่วนของเขาต้องใช้ต้านทานเขตลวง สามารถรักษาการต่อสู้ประชิดตัวเอาไว้ได้ก็ถือว่าทุ่มเทสุดกำลังไปแล้ว
“ฆ่า”
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยทะยานตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง บุปผาเก้าใบร่อนลงมาปกคลุมอย่างต่อเนื่องกัน จ้าวภูเขาฉื้อเหมยโหดเหี้ยมผิดธรรมดา กงล้อในมือทั้งสองเชือดเฉือนตามอำเภอใจ ทำให้บุปผาเก้าใบถูกตัดเฉือนออก
“บุปผาเก้าใบมีประโยชน์ด้านการพันธนาการ ทว่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถูกทำลาย มันสามารถพันธนาการฝูงมารผลาญทำลายระดับชั้นที่เก้าพวกนั้นได้ แต่เมื่อปะทะเข้ากับจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็อ่อนแอเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ กงล้อแห่งห้วงอากาศที่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสำแดงออกมานั้นมีพลังระดับชั้นที่เก้า บัดนี้อาศัยสมบัติลับกงล้อคู่หนึ่ง พลังรบก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
“ทำลาย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
บุปผาเก้าใบอันเรืองรองดอกแล้วดอกเล่าถูกทำลายไป ดอกตูมเบ่งบานแล้วก็ถูกทำลายระหว่างกำลังเบ่งบานนั่นเอง จ้าวภูเขาฉื้อเหมยอดคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวไม่ได้ เขาพุ่งเข้าสังหารอย่างต่อเนื่อง อานุภาพทำลายล้างอันยิ่งใหญ่นั้นทำอะไรมิได้ เขาถึงขั้นถูกบีบบังคับให้ใช้อาวุธมาต้านทาน
บุปผาเก้าใบของตงป๋อเสวี่ยอิงต่อเนื่องไม่ขาดสาย ขณะเดียวกับที่ถูกทำลาย ก็มีดอกใหม่ร่อนลงมาทดแทน
“ถึงกับ ถึงกับเอาชนะไม่ได้หรือนี่” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ่งทวีความอดสูใจ แม้เขาคิดจะต่อสู้กับตงป๋อเสวี่ยอิงสักยกหนึ่งเพื่อเคี่ยวกรำตนเอง แต่เขาก็คิดจะคว้าชัยด้วยเช่นกัน! เขามิได้พ่ายแพ้มาตั้งนานแล้ว เขาคิดเอาเองว่ามีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่งจนไม่เห็นขั้นอลวนคนไหนอยู่ในสายตาเลย แม้แต่เทพจักรวาลบางคนเขาก็ยังดูแคลน
ในสายตาของเขา ก็ล้วนแต่เป็นตัวโง่งมที่จะต้องตายในการทำลายล้างครั้งใหญ่ทั้งสิ้น
เขาถือเอาเคล็ดวิชาสืบทอดทางสายของตนเป็นความภาคภูมิใจ! และคิดเอาเองว่ามีพลังรบที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่วันนี้กลับเอาชนะมิได้เสียนี่
“ถ้าหาก ถ้าหากมิใช่เพราะพลังจิตแปดส่วนได้รับผลกระทบ ข้าจะโจมตีกลีบดอกไม้เหล่านี้ไม่แตกได้อย่างไรกัน” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางมองดูบุรุษหนุ่มอาภรณ์ขาวนอกกลีบดอกไม้สีดำกึ่งโปร่งใสซึ่งกำลังหมุนคว้างดอกแล้วดอกเล่าผู้นั้น
แพ้แล้ว
แม้เขาออกจะไม่อยากยอมรับอยู่บ้าง แต่ก้นบึ้งหัวใจของเขาก็รู้ดีว่า เขตลวงก็เป็นความสามารถส่วนหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง อีกฝ่ายมิได้ใช้สมบัติลับในการต่อสู้เสียด้วยซ้ำ!
“ช่างร้ายกาจโดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ห่างๆ แล้วก็อดลอบทอดถอนใจมิได้ “แม้จะถูกข้ากดดันอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นบุกออกมาจากบุปผาเก้าใบมิได้ บุปผาเก้าใบก็ทำลายอย่างต่อเนื่อง แต่กลับมิอาจทำร้ายเขาได้เลย อาวุธทั้งคู่ของเขาเชี่ยวชาญด้านการป้องกันอย่างยิ่ง นอกจากนี้เหมือนเขาจะมีผลสำเร็จด้านการกลายเป็นอากาศธาตุที่สูงส่งอย่างยิ่ง สูงส่งกว่าข้าเสียอีกกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดเอาเองว่าการกลายเป็นอากาศธาตุร้ายกาจมากแล้ว
เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ห้าสิบ ทั้งยังมีเคล็ดวิชาสืบทอดของจักรพรรดิเก้าเมฆารวมถึงมีเกราะเกล็ดที่แม่ทัพโม่กู่ทิ้งเอาไว้ตอนสิ้นใจคอยช่วยเหลือ ทำให้บัดนี้การกลายเป็นอากาศธาตุของตงป๋อเสวี่ยอิงเยี่ยมยอดอย่างยิ่ง แต่เหมือนว่าจะด้อยกว่าจ้าวภูเขาฉื้อเหมยอยู่บ้าง
………………………………