Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 14 พานพบ
หอสุราลิ่วเจินตั้งอยู่ริมถนนยาวต่อเนื่องกันถึงสองสามลี้ หอจำนวนมากเรียงรายกันไป แขกเหรื่อมากมายดุจสายน้ำ คึกคักอย่างไม่ธรรมดา
“คุณชายเสวี่ยอิง ท่านมิได้มาตั้งนานแล้ว รีบเข้ามาเร็วเข้า ข้าจะจัดเตรียมหอฝู่จวินเอาไว้ให้ท่านดีหรือไม่” พ่อบ้านของหอสุราคนหนึ่งรีบกุลีกุจอเข้ามาต้อนรับด้วยตนเอง เพราะหากพูดถึงความสูงส่งของสถานะแล้ว ภายในเมืองอัคคีโชติ คุณชายน้อยอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ ก็จัดอยู่ในอันดับแรกสุดแล้ว หากไปยั่วโมโหคุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้นี้เข้า เกรงว่าทั้งหอสุราก็คงจะต้องปิดตัวลงไป ณ ชั้นล่างของ ‘หอฝู่จวิน’ หอแห่งหนึ่งในหอสุรา รถเกี้ยวและสัตว์มังกรถูกจัดเตรียมไว้ที่นั่น และได้เตรียมผลไม้และเนื้อสัตว์ถาดใหญ่เอาไว้ให้สัตว์มังกร สัตว์มังกรสองตัวก็เขมือบเข้าไปคำโต
ณ ชั้นบนของหอฝู่จวิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่กับผู้อาวุโสเถียนที่โต๊ะหนึ่ง องครักษ์ประจำกายทั้งเก้าแบ่งกันนั่งเป็นสองโต๊ะอยู่ที่มุมด้านข้าง สิงห์เมฆาทะมึนสองตัวก็มีอาหารรสเลิศนานาชนิดอันวิจิตรวางอยู่มากมายเช่นเดียวกัน
“แม้ชื่อเสียงของหอสุราลิ่วเจินจะจัดอยู่ในหลายสิบอันดับแรกได้อย่างพอถูไถ แต่ข้ากลับชมชอบหอสุราของพวกเขาเป็นที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงทานแล้วก็รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจนัก ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งคนหนึ่งทานอาหารก็เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติอันล้ำเลิศ เพราะต่อให้ไม่กินไม่ดื่มเป็นล้านล้านปีก็เป็นเรื่องเล็กน้อย
สาวใช้มีมากมายดุจเมฆ พวกนางส่งอาหารรสเลิศขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
โดยทั่วไปแล้วสาวใช้เหล่านี้ล้วนแต่เป็นระดับเทพโลกาหรือเทพแท้ เนื่องจากเมื่ออยู่ในเมืองอัคคีโชติ พลังระดับนี้ คิดจะหางานดีๆ หน่อยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำได้เพียงวิ่งขาเป็นระวิงเป็นบ่าวรับใช้ปรนนิบัติผู้อื่นเท่านั้น เมื่อสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้วจึงจะสามารถเริ่มทำเรื่องบางอย่างที่มี ‘ความยาก’ ได้บ้าง
……
หลังจากดื่มกินไปครึ่งค่อนชั่วยามแล้ว ทั้งร่างก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ สุขสราญยิ่งนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยๆ ชะงักลง เขาถือจอกสุราแล้วค่อยๆ ละเลียดลิ้มรส พลางมองดูทิวทัศน์บนถนนผ่านหน้าต่าง
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เงยหน้ามองออกไปไกล ห่างจากที่นี่ราวสิบกว่าลี้ คิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดเล็กน้อย
“คุณชายขอรับ” ผู้อาวุโสเถียนเรียก
“กินไปพอประมาณแล้ว ควรไปได้แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น
ผู้อาวุโสเถียน สิงห์เมฆาทะมึนสองตนและเหล่าองครักษ์ประจำตัวกินไปพอประมาณแล้ว แต่ละคนต่างก็ยืดกายขึ้น
******
เหนือถนนห่างออกไปสิบกว่าลี้
รถเกี้ยวอันหรูหราคันหนึ่งแล่นข้ามท้องฟ้ามา มีสัตว์มังกรสีม่วงทองถึงแปดตัวลากอยู่ รอบตัวรถยังมีสาวใช้รูปงามหลายสิบคนอยู่ด้วย ทุกบริเวณที่ผ่านไป เหล่าผู้บำเพ็ญบนถนนต่างก็พากันหลบหลีกไปทางอื่นแต่ไกล โดยมิกล้าแหงนหน้ามอง เนื่องจากผู้ที่อยู่ในเมืองอัคคีโชติมานานหน่อยล้วนรู้ว่า…นั่นคือรถเกี้ยวของ ‘ฉุนอวี้เฟิง’ แห่งหอม่านเมฆ
ในฐานะเจ้าของหอม่านเมฆ แหล่งผลาญเงินที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอัคคีโชติ ฉุนอวี้เฟิงย่อมมีสถานะสูงส่งอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในเมืองอัคคีโชติก็เป็นบุคคลทรงอิทธิพลอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นบรรดาคนตระกูลอ๋องโหว ส่วนใหญ่ก็ล้วนมิกล้าล่วงเกินเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนเลย
ภายในตัวรถอันหรูหรา
เมื่อมองจากภายนอกแล้ว ตัวรถเหมือนจะกว้างเพียงหนึ่งจ้างกว่าๆ แต่ภายในกลับกว้างถึงสิบกว่าจ้าง
บุรุษร่างอ้วนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ด้านข้างมีคนงามคอยปรนนิบัติอยู่ บุรุษอ้วนท้วนคนหนึ่งย่อมเป็นฉุนอวี้เฟิง รอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้าเขา ทำให้ดูเหมือนมีสายลมแห่งวสันตฤดูอาบไล้ ส่วนบุรุษอ้วนท้วนอีกคนมีร่างกายใหญ่โตมาก มีกลิ่นอายเข่นฆ่าอันน่าหวาดหวั่นแผ่กำจายออกมา เพียงชั่วลมหายใจก็มีกระแสอากาศสีดำพวยพุ่งออกมาจากจมูก บรรดาสาวงามข้างกายเขาต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อ
“พี่กาน ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านอีกแล้ว เอาของมาให้ข้าอีกหน่อยเถิด” ฉุนอวี้เฟิงพูดอย่างขมขื่น “หากของไม่พอใช้ วันคืนของข้าก็ต้องทุกข์ทนมากทีเดียว”
“ของมีไม่มาก เดิมทีการแบ่งสรรนี่ก็เป็นเรื่องที่ล่วงเกินผู้อื่นอยู่แล้ว” บุรุษร่างยักษ์อ้วนท้วนพูดเสียงเรียบ
“ข้ารู้ว่าพี่กานก็ไม่ได้สบายเช่นกัน ข้าย่อมไม่ให้พี่กานเสียเปรียบแน่” ฉุนอวี้เฟิงพูดอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้องรีบร้อน” บุรุษร่างยักษ์อ้วนท้วนกลับเฉยชาเป็นอันมาก
“ขอรับๆๆ มาๆๆ ลองลิ้มรสสุราทิพย์เทียนเฉินเถิด นี่เป็นสุราที่ประมุขรัฐของพวกเราออกจากดินแดนจิตโลกาไปพบ ‘ต้นไม้ทิพย์เทียนเฉิน’ ในจักรดาราอลหม่านจึงสามารถหมักสุราชั้นเลิศนี้ออกมาได้ ยากนักที่จะได้มาอยู่ในมือสักหน่อย” ฉุนอวี้เฟิงกวักมือคราหนึ่ง ด้านหน้าก็มีไหสุรากึ่งโปร่งแสงไหหนึ่งปรากฏขึ้น เมื่อมองผ่านไหสุรานี้ไปก็สามารถมองเห็นน้ำสุราสีเขียวทอประกายอยู่ภายในได้ ไหสุรานี้ลอยไปบนโต๊ะยาวตรงหน้าบุรุษร่างยักษ์อ้วนท้วน
“อ้อ สุราทิพย์เทียนเฉินหรือ” บุรุษร่างอ้วนท้วนจึงเผยรอยยิ้มออกมา
“สุราดีๆ” บุรุษร่างอ้วนท้วนนี้เหมือนจะพออกพอใจมาก ดื่มสุราไปพลาง มองด้านนอกไปพลาง รถเกี้ยวนี้เป็นแบบปิดมิดชิด ด้านนอกจึงมองไม่เห็นภายใน ภายในรถกลับสามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างง่ายดาย
เมื่อบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้นี้ได้รับการปรนนิบัติจากสาวงามพลางดื่มสุราชั้นเลิศก็เผยรอยยิ้มออกมา จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
“นั่นมัน…”
บุรุษร่างอ้วนท้วนมองเห็นว่าท่ามกลางกลุ่มคนสองฟากถนนมีหญิงชายคู่หนึ่ง หญิงนางนั้นเป็นเพียงเทพแท้ แต่นัยน์ตาทั้งสองของบุรุษร่างอ้วนท้วนกลับมีอักขระเทพสีแดงไหลเวียนอยู่ ในใจก็อดลอบยินดีมิได้ “แสงทิพย์ที่แผ่ออกมาจากวิญญาณนี้เข้มข้นถึงเพียงนี้ ช่างเป็นยาบำรุงชั้นดีจริงๆ จุ๊ๆ แต่ข้ากลับโชคดีพบเข้าแล้ว”
“หยุดก่อน” บุรุษร่างอ้วนท้วนเอ่ยปาก
“รีบหยุดเร็วเข้า” ฉุนอวี้เฟิงรีบพูดเสียงดัง รถเกี้ยวหยุดลงทันที ฉุนอวี้เฟิงยิ้มประจบประแจงทันที “พี่กาน มีเรื่องอันใดหรือ”
“สตรีนางนั้น” บุรุษร่างอ้วนท้วนชี้ไปทางถนนไกลออกไป “คนที่สวมเสื้อสีม่วง มีปิ่นหยกอยู่บนผมคนนั้น” เขาพูดพลางทำให้ด้านข้างก่อตัวขึ้นเป็นเงาร่างของสตรีนางหนึ่งขึ้นมา
“ข้าต้องการสตรีนางนั้น” บุรุษร่างอ้วนท้วนกล่าว
ฉุนอวี้เฟิงมองออกไปไกล ข่าวสารของเขาในเมืองอัคคีโชตินั้นทั่วถึงมาก คนของอ๋องโหวนั้นจะว่าน้อยก็ไม่น้อย จะว่ามากก็มิได้มากถึงเพียงนั้น เขาล้วนรู้จักทั้งสิ้น มองเพียงปราดเดียวเขาก็มั่นใจได้ว่าสตรีนางนั้นมีพื้นเพธรรมดามาก ต่อให้เป็นตระกูลอ๋องโหว…โดยทั่วไปหากมีพลังเพียงแค่ระดับเทพแท้สถานะก็ต้องต่ำต้อยมาก
“พี่กานวางใจเถิด ข้าจะรีบไปจับตัวนางมาเดี๋ยวนี้” ฉุนอวี้เฟิงพูดยิ้มๆ
บุรุษร่างอ้วนท้วนพยักหน้า
คนภายนอกอย่างเขาคนหนึ่งจะทำเรื่องนี้ก็คงไม่ง่าย แต่ฉุนอวี้เฟิงทำเรื่องนี้ก็กลับง่ายดายมากทีเดียว
……
เหยียนเหวินและบุตรสาวมองเห็นรถเกี้ยวอันหรูหรากลางอากาศคนนั้นแต่ไกลแล้ว เมื่อจำได้ว่าเป็นรถเกี้ยวของเจ้าของหอม่านเมฆ ก็ย่อมหลีกไปข้างทางตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
แต่ทว่า รถเกี้ยวคันนั้นกลับพุ่งตรงลงมาหยุดลงไม่ไกลจากข้างกายของพวกเขาสองพ่อลูกมากนัก
ม่านของรถเกี้ยวเปิดออก เผยให้เห็นบุรุษร่างอ้วนท้วนสองคนซึ่งมีเหล่าสาวงามคอยปรนนิบัติอยู่ นัยน์ตาเรียวเล็กของฉุนอวี้เฟิงเจ้าของหอม่านเมฆเหลือบมองลงไปเบื้องล่างด้วยความเย็นชาเป็นอย่างมาก สายตาจ้องมองตรงไปที่คู่พ่อลูกเหยียนเหวิน “นำสตรีนางนั้นขึ้นมา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ด้านนอกรถกลับมีพลังไม่ธรรมดา
ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ขั้นรวมเป็นหนึ่งสองคนบินลงไปทันที
“โปรดไว้ชีวิตด้วย ท่านเจ้าของหอม่านเมฆ โปรดปล่อยสาวน้อยด้วยเถิด” บุรุษวัยกลางคน ‘เหยียนเหวิน’ คุกเข่าวิงวอน “ข้าเป็นหมอยาของสำนักโอสถตระกูลเหยียน โปรดไว้หน้าข้าด้วยเถิด” เหยียนอวี๋ สตรีที่อยู่ด้านข้างก็ทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยความตื่นตระหนก
“เฮอะ” ฉุนอวี้เฟิงแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่ง สายตาอันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งมองสองพ่อลูกเหยียนเหวินแวบหนึ่ง คร้านจะพูดให้มากความ
เหยียนเหวินตื่นตระหนกเหลือประมาณ จิตใจสับสนวุ่นวายไปหมด
ตัวเขาเองก็เข้าใจดีว่า…ต่อให้เป็นเจ้าสำนักโอสถของพวกเขาเอง แม้จะพอมีสถานะอยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าของหอม่านเมฆก็ไม่กล้าเปล่งเสียง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตัวเขาเป็นแค่หมอยาคนหนึ่งเท่านั้น
“ท่านพ่อ” เหยียนอวี๋ทั้งร้อนรนและตื่นตระหนก เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าของหอม่านเมฆแล้วจะมีจุดจบอย่างไร หากโชคดีก็ถูกแขกของหอม่านเมฆเล่นสนุก หากโชคร้าย เกรงว่าคงจะถูกย่ำยีจนต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
“สวบ”
เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ซึ่งก็คือชายชราอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่ง ชายชราอาภรณ์สีเทาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าคู่พ่อลูกเหยียนเหวิน เมื่อกวักมือคราหนึ่ง ตู้มมม…ระลอกคลื่นอากาศกระทบเข้ากับร่างของสาวใช้ขั้นรวมเป็นหนึ่งสองนางนั้น สาวใช้สองนางนั้นถูกกระแทกเสียงดังตู้มจนกระเด็นถอยไป
“เถียนอี้จือหรือ” สายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งของเจ้าของหอม่านเมฆฉุนอวี้เฟิงเหลือบมองลงมา เมื่อเห็นชายชราอาภรณ์สีเทาผู้นั้นเข้า ก็อดขมวดคิ้วมิได้ เขาจำได้ว่านั่นคือเถียนอี้จือ เค่อชิงของโหวหั่วเลี่ย
ในเวลานี้เอง
รถเกี้ยวอีกคันหนึ่งไกลออกไปก็แล่นข้ามท้องฟ้ามา บนรถเกี้ยวมีหนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ มีสิงห์เมฆาทะมึนสองตนหมอบอยู่ด้านหน้า ด้านหลังก็คือองครักษ์ซึ่งมีท่าทีนิ่งเงียบเย็นชาเก้านาย
“ประมุขหอฉุนอวี้ ทำไมรึ แม้แต่สาวใช้ของข้าท่านก็กล้าแย่งไปอย่างนั้นหรือ” หนุ่มน้อยรูปงามนั่งอยู่ตรงนั้นพลางยื่นมือออกไปลูบขนหลังอันเรียบลื่นของสิงห์เมฆาทะมึนร่างใหญ่โตเบาๆ เขาพูดเสียงเรียบ เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วอากาศ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนบนถนนรอบด้านล้วนมิกล้าเปล่งเสียงออกมา
“คุณชายเสวี่ยอิง” บนใบหน้าของประมุขหอฉุนอวี้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองดูบุรุษร่างอ้วนท้วนข้างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สายตาของบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้นั้นเยียบเย็น พลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงบนรถเกี้ยวกลางอากาศฝั่งตรงข้าม
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้นั้นแวบหนึ่งเช่นกัน
………………………………………