Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 15 อาวุธหอกยาว
คู่พ่อลูกเหยียนเหวินคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ลมหายใจสะดุด ทั้งตื่นเต้นทั้งตื่นตระหนก
พวกเขามองรถสองคันซึ่งมีสัตว์มังกรลากอยู่กลางอากาศอย่างอดมิได้ รถคันหนึ่งหรูหรา ด้านบนมีประมุขหอฉุนอวี้เฟิงและบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้ส่วนบนรถอีกคันหนึ่งมีคุณชายน้อยอิงซานเสวี่ยอิงซึ่งกำลังลูบขนของสิงห์เมฆาทะมึนอยู่ “ท่านพ่อ” เหยียนอวี๋ถ่ายเสียงให้บิดา
“วางใจเถิดๆ คุณชายเสวี่ยอิงมีสถานะไม่ธรรมดา หากเขาเอ่ยปากพูด ประมุขหอฉุนอวี้จะต้องเห็นแก่หน้าเขาอย่างแน่นอน” เหยียนเหวินถ่ายเสียงปลอบบุตรสาว ในใจกลับตื่นตระหนก
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากบนท้องถนนหลบไปอยู่สองข้างทางตั้งนานแล้ว แม้จะมิกล้าเปล่งเสียงโหวกเหวกโวยวายแต่กลับชมดูสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
สองฝ่ายที่ปะทะกันอยู่ด้านบน…
เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของทั้งเมืองอัคคีโชติโดยแท้ ฝ่ายหนึ่งปกครองแหล่งผลาญเงินที่ใหญ่ที่สุด แขกเหรื่อใต้ยังคับบัญชามีเป็นโขยง อิทธิพลยิ่งใหญ่นัก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือคุณชายน้อยเสวี่ยอิงซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่รักของตระกูลอิงซานเป็นสิบล้านปี แม่เฒ่าอิงซานก็ยังให้ความสำคัญเลย
“คุณชายเสวี่ยอิง ข้าจะขอนำสาวใช้ของท่านคนนี้ไปตัดสวาทสักคนจะได้หรือไม่” ฉุนอวี้เฟิงยิ้ม ท่าทางกระตือรือร้นเป็นอันมาก “ข้าย่อมไม่ปล่อยให้คุณชายเสวี่ยอิงผิดหวังแน่นอน”
“เมื่อรู้ว่าเป็นคนของข้าแล้ว ท่านยังจะคิดชิงไปอีกรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วพูดตามอำเภอใจ
ฉุนอวี้เฟิงสีหน้าแข็งค้างไป
ก็แค่สาวน้อยคนเดียวเท่านั้น กลับไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย หากอิงซานจงใจหาเรื่องเพื่อจะได้เรียกผลประโยชน์ ฉุนอวี้เฟิงก็ยินดีมอบผลประโยชน์ให้ และก็นับว่าผูกสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นขึ้นแล้ว ไหนเลยจะไปคิดว่า คุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้นี้เหมือนจะโง่เง่ามาก จะให้สตรีนางหนึ่งลงมือเองจริงๆ!
ฉุนอวี้เฟิงมองไปยังบุรุษร่างอ้วนท้วนด้านข้างแวบหนึ่ง
“ช่วยข้านำหญิงสาวคนนี้มาให้ได้ แล้วข้าจะจดจำน้ำใจของพี่ฉุนอวี้ในครั้งนี้เอาไว้ ส่วนเรื่องของนั่น เราค่อยคุยกันดีๆ ก็ได้” บุรุษร่างอ้วนท้วนถ่ายเสียงพูด
ในใจของฉุนอวี้เฟิงรู้สึกขมขื่น เห็นได้ชัดว่าพี่กานยังคงไม่ยอมแห้
“พี่กาน คุณชายน้อยอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้อ่อนเยาว์เกินไป อ่อนต่อโลกเกินไป เจ้าหนุ่มวัยละอ่อนพรรค์นี้” ฉุนอวี้เฟิงถ่ายเสียงพูด
“ด้วยสถานะของพี่ฉุนอวี้ในเมืองเมืองอัคคีโชติแล้ว เรื่องเล็กเท่านี้ยังทำมิได้อีกหรือ” บุรุษร่างอ้วนท้วนถ่ายเสียงพูด
“เฮ้อ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองอัคคีโชติ สถานะของโหวหั่วเลี่ยนั้นมิอาจสั่นคลอนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอิงซานเสวี่ยอิงเลย คุณชายน้อยผู้นี้ก็พูดแล้วว่าเป็นสาวใช้ของเขา! ข้าจะฝืนชิงตัวมาก็กลายเป็นความผิดของข้าแล้ว นี่ก็เป็นความผิดของข้า เอิกเกริกเกินไป ข้าเอาเปรียบอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ฉุนอวี้เฟิงกล่าว
ฉุดคร่าผู้คน สังหารชาวบ้านทั่วไปสักคนสองคน…
ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของเมืองอัคคีโชติ จำนวนผู้บำเพ็ญภายในมีเป็นล้านล้านคน ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยมากจริงๆ แม้จะพูดจากทางด้านของกฎหมาย หากคนของอ๋องโหวทำแล้ว ก็เพียงแค่ถูกปรับแก้วผลึกจักรวาลบ้างก็เท่านั้น
แต่อันที่จริงแล้วขอเพียงไม่ทำให้เอิกเกริกเกินไป จำนวนที่แย่งชิงมีไม่มากนัก จำนวนการเข่นฆ่าก็ไม่มากนัก ก็คงไม่มีการลงโทษแต่อย่างใด!
เพราะถึงอย่างไรการฉุดคร่าชาวบ้านสักคนหนึ่ง ก็ถูกปรับไม่มากนัก หากเป็นพันเป็นหมื่นคนแล้วถูกปรับขึ้นมาจริงๆ…คนของอ๋องโหวก็คงมิอาจทนรับได้
“ยังไม่ขึ้นมาอีกหรือ ให้บิดาของเจ้ากลับไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะเสียเวลากับพวกเขาอีก จึงออกคำสั่งเสียงเย็นชา
ผู้อาวุโสเถียนจูงบุตรสาวเอาไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงพูดให้สองพ่อลูกว่า “กลับไปกับคุณชายก่อนเถิด ส่วนคนเป็นบิดาอย่างเจ้าคิดอยากไปหาบุตรสาวเมื่อใด ก็สามารถไปเยี่ยมเยียนได้ที่จวนโหว”
“จะรีบไปโดยเร็วหรือไม่” เหยียนเหวินรีบกระตุ้น
“เจ้าค่ะ” เหยียนอวี๋บุตรสาวก็รับคำทันที
สวบ
ผู้อาวุโสเถียนจูงสตรีนางนี้ทะยานขึ้นไปถึงข้างรถเกี้ยวของตงป๋อเสวี่ยอิง นางยืนคอยอยู่ข้างตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างนอบน้อม ราวกับเป็นสาวใช้นางหนึ่งจริงๆ
“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านจะมองประมุขหอฉุนอวี้เฟิงที่อยู่ตรงข้ามกันอีก
สัตว์มังกรสองตัวเปล่งเสียงคำรามออกมา แล้วลากรถเกี้ยวแล่นข้ามท้องฟ้าทะยานมุ่งหน้าออกไปไกลในทันที เหลือเพียงรถของเจ้าของหอม่านเมฆเท่านั้นที่ยังคงอยู่ตรงนั้น
ฟิ้ว
ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงปิดม่านรถ แล้วมองไปทางบุรุษร่างอ้วนท้วนซึ่งมีสีหน้าคร่ำเครียดฝั่งตรงข้าม เขาปลอบประโลมว่า “คุณชายน้อยผู้นี้ยังอ่อนวัยนัก ทำอะไรก็เหิมเกริม แต่เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นพวกเราที่ขาดเหตุผลอยู่แล้ว สู้เขามิได้หรอก ข้าจะดึงดันขัดขวางไปก็ไร้ประโยชน์ หากกล้าลงมือ เกรงว่ากองทัพของจวนโหวหั่วเลี่ยคงจะบุกตรงมาทันที”
ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงก็ถอนหายใจเสียงหนึ่ง
เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตรงไปตรงมา ทำให้ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความอีก
“เฮอะ” สีหน้าของบุรุษร่างอ้วนท้วนเคร่งขรึมขึ้นมา กระแสอากาศสีดำเหนือผิวกายกระเพื่อมไหวช้าๆ แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ไปหอม่านเมฆก่อนเถิด”
“ดีๆๆ” ฉุนอวี้เฟิงกล่าว
ฟิ้ว…
ไม่นานนักรถเกี้ยวอันหรูหราคันนี้ก็เหินทะยานไปอย่างรวดเร็ว เร่งมุ่งหน้าไปทางหอม่านเมฆ
‘เหยียนเหวิน’ บิดาของสตรีที่ยังอยู่ที่เดิมนั้นเห็นเข้าก็ถอนหายใจเสียงหนึ่ง แม้เขาจะพอเดาได้อยู่แล้วว่า ถึงแม้จะไม่สามารถชิงตัวบุตรสาวของตนไปได้ ก็คงจะไม่พาลมาลงเอากับตน เพราะดูท่าแล้ว ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงคงไม่คิดจะฉีกหน้าคุณชายน้อยเสวี่ยอิงจริงๆ
“เคราะห์ดีที่คุณชายเสวี่ยอิงออกหน้าให้ มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้คงยุ่งยากใหญ่แล้วจริงๆ” เขาก็ลอบทอดถอนใจ แม้เมืองอัคคีโชติจะกว้างใหญ่ มีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน บวกกับที่มี ‘ค่าปรับ’ เป็นการลงโทษ และคนของอ๋องโหวที่เข่นฆ่าและฉุดคร่านั้นมีน้อยนัก แต่เมื่อเรื่องเกิดข้นกับตนเอง เขาก็สิ้นหวังมาก ทว่าการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองย่อมดีกว่านอกเมืองอยู่แล้ว
นอกเมืองเป็นโลกที่วุ่นวายเต็มไปด้วยการเข่นฆ่าอย่างแท้จริง อย่างพวกเขาที่เป็นเทพแท้และเทพอากาศทั่วไปเหล่านี้ เกรงว่าหากใช้ชีวิตอยู่ภายนอกก็คงอยู่รอดได้ไม่นานเท่าไหร่ก็คงถูกสังหารแล้ว
“คุณชายน้อยเสวี่ยอิงช่างร้ายกาจจริงๆ”
“ไม่ไว้หน้าเจ้าของหอม่านเมฆเลยแม้แต่น้อย”
“คุณชายน้อยเสวี่ยอิงจะต้องแยแสเจ้าของหอม่านเมฆเสียที่ไหนกัน ด้วยพรสวรรค์ของคุณชายน้อยเสวี่ยอิงแล้ว ต้องมีอนาคตเหลือประมาณอย่างแน่นอน เกรงว่าในภายหน้าคงจะได้รับแต่งตั้งเป็นโหวอย่างแน่นอน!”
“ใช่แล้วๆ จะต้องได้รับแต่งตั้งเป็นโหวแน่ เขาย่อมแตกต่างจากคนของอ๋องโหวคนอื่นๆ อยู่แล้ว”
บรรดาผู้บำเพ็ญแน่นขนัดรอบด้านสัญจรกันต่อไป พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์พลางรำพึงกันอย่างประปราย สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นการปะทะของบุคคลที่แทบจะเป็นระดับสูงสุดของเมืองอัคคีโชติแล้ว หากระดับสูงกว่านี้น่ะหรือ เกรงว่าคงจะต้องเป็นโหวหั่วเลี่ยและฉุนอวี้เว่ยอีแล้ว
……
บนรถเกี้ยว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้น สาวใช้เหยียนอวี๋ที่อยู่ด้านข้างก็รีบพูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณคุณชายเสวี่ยอิงที่ช่วยชีวิตข้าน้อยเจ้าค่ะ”
“ข้าเอ่ยปาก เจ้าของหอม่านเมฆผู้นั้นก็ยังคงคิดจะชิงตัวเจ้าไปอยู่ดี เห็นทีคงจะเป็นความตั้งใจของสหายข้างกายเขาคนนั้นเป็นแน่ มีจิตคิดแย่งชิงอย่างมากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ “จากนี้ไปเจ้าก็เป็นสาวใช้ของข้าไปก่อนก็แล้วกัน หากไม่มีสถานะคุ้มกาย เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะถูกชิงตัวไปอีก”
“เจ้าค่ะ” เหยียนอวี๋กล่าว
นางก็สังเกตเห็นว่าบุรุษร่างอ้วนท้วนข้างกายประมุขหอฉุนอวี้เฟิงผู้นั้นมองนางด้วยสายตาเยียบเย็นและละโมบ
“ผู้อาวุโสเถียน ตรวจสอบดูทีว่าผู้ที่อยู่บนรถกับประมุขหอฉุนอวี้เฟิงในวันนี้คือผู้ใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“น่าจะมิใช่ชาวเมืองอัคคีโชติ กลับไปแล้วข้าจะให้คนในจวนโหวตรวจสอบให้แน่ชัดขอรับ” เถียนอี้จือเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเล็กน้อย
เพียงแวบเดียวเขาก็มองออกแล้วว่าบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้นั้นมีกลิ่นอายร้ายกาจมาก นอกจากนี้ยังเหมือนจะไม่แยแสฉุนอวี้เฟิงสักเท่าใดนัก ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงไม่เห็นอยู่ในสายตาแต่อย่างใด บัดนี้ตัวเขาเองได้ฝึกกระบวนท่าที่สี่และกระบวนท่าที่ห้าของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าสำเร็จแล้ว ทั้งสองกระบวนท่านั้นล้วนเป็นกระบวนท่าที่มีพลังระดับชั้นที่หกแล้ว
ส่วนพลังระดับชั้นที่เจ็ดซึ่งแข็งแกร่งกว่าน่ะหรือ หากมีพลังระดับชั้นที่เจ็ด ก็สามารถแต่งตั้งเป็นโหวได้แล้ว! ดังนั้นแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะบำเพ็ญมาได้แปดพันปี เมื่ออยู่ในเมืองอัคคีโชติกลับเป็นระดับที่สูงอย่างยิ่งแล้ว
ไม่นานนัก
รถเกี้ยวก็มาถึงบริเวณ ‘ชุมชนของล้ำค่า’ ทั่วชุมชนของล้ำค่านั้นมีร้านรวงมากมายซึ่งจำหน่ายของล้ำค่าต่างๆ ทั้งโอสถ วัสดุและอาวุธเป็นต้น มีทั้งระดับสูงและต่ำ อย่างโลกทิพย์ทั้งห้าของอากาศอันสับสนอลหม่านที่ตนจากมานั้น โดยทั่วไปการแลกเปลี่ยนเช่นนี้ก็ล้วนแต่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ครอบครองเพียงลำพัง ทว่าดินแดนจิตโลกานั้นแตกต่างออกไป การแลกเปลี่ยนที่นี่รุ่งเรืองและซับซ้อนกว่า ทั้ง ‘ชุมชนของล้ำค่า’ ถึงขั้นมีค่ายกลใหญ่หมุนเวียนอยู่ ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะช่วงชิงสมบัติล้ำค่าไปจากร้านค้าใดๆ ในชุมชนของล้ำค่าเลย
“คุณชายเสวี่ยอิง ท่านมิได้มาตั้งนานแล้ว”
“คุณชายเสวี่ยอิง รีบเข้ามาเร็วขอรับ”
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึง ผู้ดูแลแต่ละร้านก็ล้วนกระตือรือร้นเป็นอันมาก
เนื่องจากตลอดระยะเวลาพันกว่าปีหลังจากถือกำเนิดขึ้นมา นอกจากเขาจะชอบกินอาหารรสเลิศนานาชนิดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ชมชอบเป็นที่สุดก็คือมาเตร็ดเตร่ในชุมชนของล้ำค่า เดินเล่นตามร้านรวงต่างๆ ชมดูการหลอมอาวุธนานาชนิด ไปจนถึงวัตถุที่ออกมาจากโบราณสถานเก่าแก่ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพบความพิสดารที่แตกต่างกันออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในร้านค้าอันใหญ่โตแห่งหนึ่ง เพิ่งจะเข้ามา เพียงมองปราดเดียวก็เห็นหอกยาวที่แผ่กลิ่นอายโบราณอันโหดเหี้ยมซึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศตรงกลางสุดของร้านเล่มนั้น
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นหอกยาวเล่มนั้น เมื่อสัมผัสรับรู้กลิ่นอายระลอกนั้น นัยน์ตาก็อดเป็นประกายขึ้นมามิได้
“คุณชายเสวี่ยอิง สายตาท่านเฉียบแหลมนัก” พ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็เอ่ยปากขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
……………………………….